xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-13 พ.ค.2550

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1.แรกนาขวัญปีนี้ พยากรณ์ว่า น้ำท่า มังสาหาร ผลาหาร ภักษาหาร ธัญญาหาร บริบูรณ์ดี


10 พ.ค.ที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปี 50 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ด้านทิศใต้ โดยมีฤกษ์การไถหว่านอยู่ในช่วงเวลา 08.19-08.59 น. สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายบรรพต หงษ์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นเทพีคู่หาบทอง และคู่หาบเงิน ในปีนี้ เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ น.ส.รัตน์ติยา แจ้งจร เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6 ว สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ น.ส.คมจันทร์ สรงจันทร์ นักวิชาการเกษตร 5 กรมวิชาการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ น.ส.นุชจรี วัชรวงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการเกษตร 5 กรมส่งเสริมการเกษตร และน.ส.พันธ์ทิพย์ จารุเสน นักวิชาการตราวจสอบบัญชี 6 ว กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ นอกจาก พระยาแรกนา และเทพีคู่หาบทอง เทพีคู่หาบเงินจะเป็นส่วนสำคัญในพระราชพิธีนี้แล้ว ยังมีพระโคแรกนาขวัญ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานคัดเลือกพระโคจำนวน 2 คู่ เพื่อใช้ในการประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ โดยในปีนี้กรมปศุสัตว์ได้คัดเลือกพระโคจำนวน 2 คู่ คือ พระโคแรกนา 1 คู่ ได้แก่ พระโคเทิด และพระโคทูน พระโคสำรอง 1 คู่ ได้แก่ พระโคโรจน์ และพระโคเลิศ ซึ่งในปีนี้พระโคกินข้าว ข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร บริบูรณ์ดี พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าบริบูรณ์พอสมควร มังสาหาร ผลาหาร ภักษาหาร ธัญญาหาร บริบูรณ์ดี ส่วนการเสี่ยงทายผ้านุ่งของพระยาแรกนา ได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า ปีนี้น้ำมีปริมาณดี ข้าวกล้าในนาได้ผลบริบูรณ์ดี พระราชพิธีนี้ เป็นพระราชพิธีเก่าแก่ที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล โดยจะจัดให้มีขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี ประกอบไปด้วยพิธีกรรม 2 พิธีที่กระทำร่วมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคลอันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว เพื่อที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงมีจุดมุ่งหมายประการสำคัญเพื่อสร้างสิริมงคล บำรุงขวัญเกษตรกรให้เกิดความมั่นใจในการทำนา และมีความเชื่อมั่นว่าพืชพันธุ์ที่ลงทุนทำการเพาะปลูกนั้นจะได้ ผลผลิตดี มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอต่อความต้องการ รวมไปถึงทางราชการหรือผู้ปกครองบ้านเมือง ให้การดูแลเอาใจใส่ ส่งผลให้การเกษตรกรรมของประเทศย่อมพบกับความเจริญรุ่งเรือง

แรกนาขวัญพระโคกินข้าว - ข้าวโพด - หญ้า พยากรณ์ มังสาหาร ผลาหาร ภักษาหาร ธัญญาหาร น้ำบริบูรณ์ดี

2."ท่านผู้หญิงพูนศุข"ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยหัวใจวายเฉียบพลัน

02.00 น. ของวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาของนายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ทั้งนี้ ท่านผู้หญิงพูนศุข มีอาการทางโรคหัวใจจึงได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาในค่ำวันที่ศุกร์ที่ 11 พ.ค. ซึ่งเป็นวันปรีดี พนมยงค์ (วันคล้ายวันเกิดนายปรีดีครบรอบ 107 ปี) อาการของท่านผู้หญิงได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ กระทั่งได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา 02.00 น. สิริอายุ 95 ปี 4 เดือน 9 วัน นายศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายของท่านผู้หญิงฯ เปิดเผยว่า การจัดการเกียวกับพิธีศพของท่านผู้หญิงจะเป็นไปด้วยความเรียบง่ายที่สุด ไม่มีการวางพวงหรีด ไม่มีการสวดพระอภิธรรม ตามที่ท่านผู้หญิงได้สั่งเอาไว้ก่อนเสียชีวิต โดยท่านได้ทำการบริจาคสรีระเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว การจัดการเรื่องพิธีศพของท่าน จึงมีเพียงพิธีมอบสรีระของท่านให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อช่วงเช้า 12 พ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับการไว้อาลัยจริงๆ นั้น บุตร-ธิดาของท่านผู้หญิงฯ และมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ จะจัดขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ โดยจะนิมนต์ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) มาแสดงปาถกฐาธรรม ในงานด้วย หากสุขภาพของท่านเจ้าคุณฯ เอื้ออำนวย

"ท่านผู้หญิงพูนสุข พนมยงค์"ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว

3.“สนธิ”เตือนไม่เกิน 5 เดือนศก.วิกฤติ/จวก"รัฐบาล"กลัวความจริงส่งคลื่นป่วน“ยามเฝ้าแผ่นดิน”
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี ช่อง News 1 เมื่อ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ดำเนินรายการ นายสนธิ ลิ้มทองกุล  โดยขณะที่นายสนธิ กำลังวิพากษ์วิจารณ์มาตรการออกพันธบัตรของรัฐบาลอยู่นั้น ผู้ชมที่รับชมรายการผ่านจานดาวเทียมไม่สามารถรับชมได้ เป็นเหตุให้นายสนธิ ต้องประกาศขอหยุดจัดรายการชั่วคราว ก่อนที่จะกลับมาจัดต่อ เมื่อสัญญาณเริ่มกลับมาปกติในเวลาประมาณ 21.00 น. อย่างไรก็ตาม หลังจากนายสนธิ ดำเนินรายการต่อ ยังคงปรากฏว่าสัญญาณผ่านดาวเทียมยังคงถูกรบกวนเป็นระยะๆ ซึ่งทางเอเอสทีวี ได้แสดงกราฟสัญญาณดาวเทียมที่ถูกรบกวนด้วย ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายๆ กับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนกระทั่งในช่วงเบรกสุดท้ายรายการ ซึ่งนายสนธิ เปลี่ยนประเด็นไปอธิบายถึงข้อหาทรยศชาติของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สัญญาณดาวเทียมจึงกลับมาปกติ ไปจนกระทั่งจบรายการ นายสนธิ ได้ออกมากกล่าวถึงกรณีนี้ว่า รัฐบาลกำลังกลัวว่าตนจะพูดความจริง เหมือนกับรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นประชาชนต้องตัดสินใจเองว่า จะเป็นคนใบ้หรือถูกปิดตาอยู่อย่างนี้หรือไม่ ตนเชื่อว่า ความจริงที่พูดมานั้นมันสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ได้ชัดเจนที่สุด ในช่วงสุดท้าย ของรายการ นายสนธิ ได้กล่าวถึงการถูกรบกวนสัญญาณดาวเทียมว่า มีการกลั่นแกล้งโดยการตัดสัญญาณ ซึ่งไม่ทราบว่าใครทำ แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าไม่ปกติ เนื่องจากเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเขาหวั่นไหวในคำพูดของเรา แต่เราก็ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ของเราต่อไป ทั้งนี้ในการดำเนินรายการ นายสนธิ ยังกล่าวถึงความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เข้ามากลับทำให้บ้านเมืองแย่เกินที่เยียวยา ตนเชื่อว่าอีกไม่เกิน 4 - 5 เดือน เศรษฐกิจของประเทศจะพังทลายลงจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ ตนมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ต้องเห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีแน่ แต่สังคมนี้เป็นสังคมของความเกรงอกเกรงใจกัน สังคมพี่น้อง แต่เราจะให้ความเกรงอกเกรงใจนี้เกิดขึ้นเหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอีกหรือ เราต้องเลิกเกรงอกเกรงใจกับเรื่องที่กำลังจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ พร้อมตำหนิ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ไม่สนใจและละเลยดำเนินการเอาผิดกับ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ โดยบุคคลทั้งสองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็งค่าเงินบาท อีกทั้งยังดำเนินนโยบายในการบริหารเงินอย่างผิดพลาด ขณะเดียวกันยังมีมาตรการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม รัฐบาลชุดนี้จึงดูเหมือนจะรู้เห็นกับการกระทำความผิดของธนาคารแห่งประเทศไทย ความเสียหายตรงส่วนนี้เกิดขึ้นจากที่ผู้นำไม่เข้าไปดำเนินการอะไร ปล่อยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการโดยไม่มีการตรวจสอบ นายสนธิ ยังกล่าวถึงปัญหาของสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีว่า ตนยืนยันว่า ไม่มีความต้องการที่จะเข้าไปประมูลสัมปทานคลื่นความถี่ของไอทีวี เราประกาศเจตนารมณ์ไว้แล้วว่า จะไม่สนใจฟรีทีวี จะดำเนินการตามนโยบายเดิม เชื่อว่าประชาชนจะให้ความสนใจ เห็นได้จากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ระบุยอดผู้ชมเอเอสทีวีนั้นสูง ดังนั้นเมื่อทีไอทีวีมีปัญหา รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบตนเคยเตือนไว้แล้วทั้งการรับพนักงานไอทีวี หรือแม้กระทั้งให้ทบทวนคำสั่งศาลปกครองสูงสุด แต่รัฐบาลกลับทำตรงกันข้าม ทำผิดกฎหมาย ปล่อยให้พนักงานซึ่งเป็นคนเถื่อนเข้าไปใช้ทรัพย์สินของแผ่นดินออกอากาศ โดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ตนเคยถามไปแล้วแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียว นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลทักษิณลดค่าสัมปทานให้กับไอทีวี 120 ล้านบาทต่อปีว่า กรณีดังกล่าวทำให้รัฐเกิดความเสียหายกว่า 1 หมื่น 7 พันล้านบาท จากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยให้มีโฆษณาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้ตกลงกันไว้ ส่งผลให้ไอทีวีมีกำไรเพิ่ม 4 หมื่นกว่าล้านบาท อีกทั้งสายการบินแอร์เอเซีย ซึ่งให้บริการ 120 เที่ยวบินต่อวัน ได้บินทับเส้นทางการบินของการบินไทย จนภายหลังได้มีการยกเลิกเส้นทางการบินของการบินไทยเส้นทางกรุงเพทฯ-ภูเก็ต และกรุงเทพฯ-กระบี่ แล้วเอาแอร์เอเชียเข้าไปเสียบแทน ซึ่งทั้งหมดนี้คือการทรยศประชาชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นโทษของความไม่โปร่งใสของการซุกหุ้นนั้น ฐานความผิดปกปิดทรัพย์สินก็คือ จะต้องถูกจำคุก 15 ปี

"สนธิ"จวกขิงแก่กลัวความจริง - ส่งคลื่นป่วน"ยามเฝ้าแผ่นดิน"
“สนธิ”ชำแหละข้อหา“แม้ว”ทรยศชาติ – โทษจำคุก 15 ปี


4."พล.อ.สนธิ”รับหนังสือสมัชชาปชช.อีสานฯร้องปลดนายกฯ /"สุรยุทธ์"ย้ำไม่ลาออก

ประเด็นสมัชชาประชาชนอีสาน 19 จังหวัด ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. เพื่อให้ปลด พล.อ.สุรยุทธพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เป็นประเด็นข่าวที่น่าสนใจโดยเมื่อ 8 พ.ค.ที่ผ่านมานายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชาประชาชนอีสาน 19 จังหวัด พร้อมเครือข่ายจำนวนกว่า 50 คนเดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพบก เพื่อยื่นหนังสือดังกล่าว โดยพล.อ.สนธิ ได้เดินทางมารับหนังสือด้วยตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เมื่อมีผู้มายื่นหนังสือเรียกร้องต่อ คมช. พล.อ.สนธิ จะมอบหมายให้ พล.ต.วีรัน ฉันทศาสตร์โกศล เลขานุการกองทัพบก เป็นผู้แทนรับมอบ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า มาเพื่อให้ ประธาน คมช.กรุณาเสียสละเพื่อบ้านเมืองครั้งใหญ่ โดยการใช้อำนาจของท่านในการถอดถอน นายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว ถ้าจะเสี่ยงกับรัฐบาลปัจจุบันอีก 6-7 เดือน แม้จะบอกว่าสถานการณ์นิ่ง แต่ก็จะเสี่ยงมาก เพราะนายกรัฐมนตรี มีทัศนะว่า ถ้าบ้านเมืองเกิดเหตุการณ์บานปลายจนควบคุมไม่ได้ ท่านถึงจะยอมพ้นจากหน้าที่ จากนั้น กลุ่มสมัชชาประชาชนอีสาน 19 จังหวัดได้เดินทางไปยังบ้านสีเสาเทเวศร์ ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ พล.อ.เปรมเสนอแนะต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ ให้ทบวนการทำงานในหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นผู้มารับหนังสือดังกล่าวแทน โดย พล.ร.ท.พะจุณณ์ กล่าวว่า ขอให้ทุกคนใจเย็น ๆ และช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เมื่อถามว่า พล.อ.เปรม เป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.ร.อ.พะจุณณ์ กล่าวว่า เรื่องของบ้านเมือท่านเป็นห่วงเสมออยู่แล้ว แต่ก็ขอให้ใจเย็น ๆ ช่วยกันแก้กัน ด้านนาย ประพันธ์ คูณมี สมาชิกสภานิติบัญญัตแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่าที่ผ่านมา สนช.จำนวนมากไม่พอใจการทำงานของ พล.อ.สุรยุทธ์ เพราะทำงานเหมือนเป็นเครื่องมือคอยเช็ดล้างให้กับระบอบทักษิณ โดยเฉพาะการนำกฎหมายที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยทำไว้ขุดเอามาใช้ เช่น กฎหมายภาษีมรดก โดยไม่ใช่ความคิดของตนเองมาบริหารประเทศ และไม่มีกฎหมาย ที่เป็นเรื่องเป็นราว และไม่ให้ความสำคัญกับกฎหมายอื่นๆ เลย และเรื่องที่ทำขณะนี้ก็ไม่เข้าท่า ทำให้ สนช.อาจจะประท้วงโดยการลาออก เพราะเริ่มมีกระแสความไม่พอใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แหล่งข่าวจาก สนช. เปิดเผยว่า มีกลุ่ม สนช.ประมาณ 20 คน จะยื่นหนังสือลาออก เพื่อประท้วงนายกฯ เพราะไม่พอใจการทำงานโดยเห็นว่า เป็นผู้นำเกียร์ว่างอย่างแท้จริง เนื่องจากช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ ไม่มีผลงานให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ สมาชิก สนช.ยังมีการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารว่า หากอยากให้การลาออกของนายกฯ ได้ผลจริงๆ ต้องให้ สนช.ประมาณ 10 คนลาออก เกี่ยวกับเรื่อง กระแสข่าวการปลด พล.อ.สุรยุทธ์ นี้ล่าสุดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ. สนธิ กล่าวว่า ก็ยังไม่มีใครคิดจะไปปลดท่านนายกรัฐมนตรี เมื่อถามว่า ยืนยันว่าจะไม่มีการปลด พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ก็ไม่ได้เคยคิดเลย พวกเราเขียนกันไปเองทั้งนั้น ด้านพล.อ.สุรยุทธ์ ยืนยันอีกครั้งว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ แม้จะมีแรงกดดันจากหลายฝ่าย เพราะเชื่อว่ายังสามารถทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้ พร้อมระบุว่า กลุ่มที่กดดันให้ลาออกเป็นกลุ่มผลประโยชน์เพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ขณะเดียวกันเมื่อถูกถามว่ามีทหารเก่าที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ร่วมกดดันด้วยนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

"สุรยุทธ์"ยันอยู่ครบวาระซัดกลุ่มผลประโยชน์กดดัน
“พล.อ.สนธิ” ยันเคลียร์ใจ “สุรยุทธ์” แล้ว ชี้รัฐบาลมีเวลาน้อยไม่เปลี่ยนตัวนายกฯ
“สนธิ” โต้ข่าวปลด “สุรยุทธ์” ย้ำไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก
รายงานพิเศษ : เมื่อ ปชช.บอกว่า “หมดเวลา” สุรยุทธ์!!
สมัชชา ปชช.วอน “สุรยุทธ์” เสียสละ - เผย “สนธิ” ประเมินข้อมูลใหม่


5.อภ.จวก“ยูเอสเอฯ” โคตรโกหก/อดีตทูตมะกันประณามไทยใช้ CL

กรณีองค์การยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น( USA for Innovation)โจมตีการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) ของไทย เป็นประเด็นข่าวที่ได้รับความสนใจตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน ในฐานะประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม พร้อม นพ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีววิทยาโมเลกุล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ภก.วันชัย ศุภจัตุรัส รักษาการผอ.องค์การเภสัชกรรม นพ.สมบัติ แทนประเสริฐสุข ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวตอบโต้ องค์การยูเอสเอฯหลังเผยแพร่ข้อมูลยาจีพีโอเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคเอดส์ ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมว่าเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และระบุการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดลเมื่อพ.ศ.2548 จากที่ศึกษากับผู้ป่วย 300 คน พบมีการดื้อยาระหว่าง 39.6-58 % ซึ่งเป็นการดื้อยาเอดส์ที่เลวร้ายที่สุดในโลก โดย นพ.วิชัย สิ่งที่ยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่นพาดพิงถึงยาจีพีโอเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมไม่เป็นความจริง และยืนยันว่ายาจีพีโอเวียร์ได้มาตรฐานและไม่มีการดื้อยามากตามที่มีการกล่าวหา ซึ่งมีผลการศึกษายืนยันชัดเจนซึ่งการพัฒนายาจีพีโอเวียร์ ให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นกับผู้ใช้ยาชื่อสามัญที่ผลิตในประเทศ ได้ทำการศึกษาชีวสมมูล(Bioequivalence Study) เทียบกับยาต้นแบบที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง พบได้ผลดีเท่ากัน โดยตัวเลขผู้ป่วยดื้อยาจีพีโอเวียร์ที่องค์การยูเอสเอฯกล่าวหานั้น เป็นการบิดเบือนผลการตรวจ เนื่องจากข้อมูลที่ได้เป็นการตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะดื้อยา จึงทำให้ตัวเลขสูง พร้อมระบุว่า น่าประหลาดที่องค์กรฯ นี้ใช้วิธีนี้จับแพะชนแกะ ก่อกวนและพยายามทำให้เราไขว้เขวในการทำซีแอล ซึ่งจุดยืนหลักของเราคือการทำให้คนสามารถเข้าถึงยา และเราคงไม่จำเป็นจะต้องดำเนินการตอบโต้ทุกๆประเด็น แต่จะให้อภ.ดูข้อกฎหมายอย่างละเอียดว่าเกิดผลกระทบอย่างไรกับไทยบ้าง จากนั้นจึงจะทำหนังสือขอให้มีการระงับโฆษณาชิ้นนี้หรือดำเนินการฟ้องร้องต่อไป รวมทั้งจะส่งข้อมูลข้อเท็จจริงต่างให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องด้วย นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ใช้ยาจีพีโอเวียร์ตามปกติจะไม่มีการส่งตรวจเชื้อดื้อยาทุกราย เนื่องจากค่าตรวจมีราคาแพงมาก แพทย์จึงพิจารณาส่งตรวจเฉพาะรายที่รับประทานไประยะหนึ่งแล้ว น่าสงสัยว่าจะดื้อยาจึงส่งตรวจ วัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาให้ยากลุ่มใหม่ซึ่งมีราคาสูงกว่ามาก จึงทำให้ตัวเลขการดื้อยาสูง และตัวเลขการดื้อยาดังกล่าวไม่ใช่อัตราการดื้อยาจีพีโอเวียร์ แต่เป็นตัวเลขการดื้อยาของผู้ป่วยเฉพาะกลุ่มที่แพทย์สงสัยว่าดื้อยาเท่านั้น การนำเสนอตัวเลขที่กล่าวมา จึงเป็นการตีความผิด หรือจงใจทำให้เข้าใจผิด จึงขอผู้ป่วยเอดส์ไทยวางใจยาจีพีโอเวียร์ได้ ด้านรศ.ดร.วสันต์ กล่าวเสริมว่า งานวิจัยที่ถูกกล่าวอ้างถึงเป็นการตรวจเฝ้าระวังการติดเชื้อการดื้อยาต้านไวรัสเอดส์ ตั้งแต่ปี 2543- 2550 โดยใช้วิธีการตรวจทางชีวโมเลกุล ผู้ป่วย 300 คน พบมีการดื้อยาระหว่าง 39.6-58 %เป็นตัวเลขที่เป็นจริงแต่มีการแปลงข้อมูลผิด ถือว่าไม่ตรงตามข้อเท็จจริงนัก เนื่องจากในช่วงปี 2543 เป็นช่วงที่ผู้ป่วยยังรับประทานยาเม็ดเดี่ยว 3 เม็ด โดยยาที่เป็นที่รู้จัก เช่น ยาเอแซดที ซึ่งในปี 2545 -2546 มีผู้ป่วยดื้อยา 50-60% ขณะที่ยาจีพีโอเวียร์เป็นยาสูตรค็อกเทลที่เพิ่งจะมีการนำมาใช้ในประมาณปี 2547 หรือ 2-3 ปี ที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้น จีพีโอเวียร์จึงไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของการดื้อยา เนื่องจากไม่สามารถแยกได้ว่า การดื้อยา มาจากยาตัวใด นอกจากนั้นสาเหตุของการดื้อยายังขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยในการกินยาของผู้ป่วยที่จะต้องกินยาให้ตรงตามกำหนดด้วย ด้านนายสุรพงษ์ ชัยนาม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายต่างประเทศ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่า มูลนิธิ USA for Innovation ซื้อพื้นที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่นพื่อโจมตีรัฐบาลไทยอย่างรุนแรงในการไม่ดูแลผู้ป่วยเอดส์ว่า ตนไม่แปลกใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะคาดไว้แล้วว่า บ.อีเดลแมน จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีรัฐบาลไทย มันทำให้ตนรู้สึกขำกับวิธีการดังกล่าวและไม่อยากสนใจ เพราะ บ.อีเดลแมน จะรับจ้างทำงานแบบนี้โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง พยายามใส่ความเท็จอย่างเดียวเพื่อประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง ส่วนการตอบโต้นั้น ต้องดูก่อนว่ามีการกล่าวหาและโจมตีประเทศไทยอย่างไร หากกล่าวหาอย่างไร้สาระก็ไม่ควรจะสนใจ และตนเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจเช่นกัน หากบางคนเชื่อถือเรื่องแบบนี้แสดงว่ามีอคติ ซึ่งอดีตนักการเมืองคนนั้นไร้อำนาจรัฐในการปกป้องตัวเอง แต่มีทุนก็ใช้เวทีต่างประเทศ สื่อต่างประเทศ โจมตีรัฐบาลไทยว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เคยพูดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในยุคของตัวเองเลย และยังจ้างบ.เอเดลแมน ซึ่งมีอดคติและพยายามใช้ทุกหนทางโจมตีรัฐบาลไทย เพราะการตรวจสอบคดีต่างๆที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้วใกล้งวดเข้ามาจึงต้องใช้วิธีนี้ต่อสู้ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ USA For Innovation ได้จัดทำเว็บไซต์www.thailies.com เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทย และกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยโกหกใน 10 เรื่องว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของไทยขึ้นบนเว็บไซต์ www.mfa.go.th ของกระทรวงแล้ว เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าถึงข้อมูลอีกด้านหนึ่งด้วย นอกจากนี้กำลังพิจารณาว่าจะใช้มาตรการอื่นๆ ต่อไปโดยร่วมมือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง สิทธิในการแสดงความคิดเห็นควรอยู่ภายใต้ขอบเขตและควบคู่กับจริยธรรม การกล่าวหาแบบนี้ก็บ่งบอกให้เห็นว่า ผู้ที่นำเรื่องขึ้นโพสต์บนหน้าเว็บไซต์มีความรับผิดชอบเพียงใด ด้านนายอี. แอชลีย์ วิลส์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท วิลเมอร์เฮลล์ จำกัด ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และเคยดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในหลายประเทศ รวมถึงเคยเป็นผู้แทนสำนักงานการค้าสหรัฐฯ(USTR) กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาชื่อเสียงและความเชื่อมั่นต่อไทย ในสายตาของนักลงทุนสหรัฐฯ ลดลงไปมาก ทั้งกรณีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ซีแอล ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว หากประเทศไทยยกเลิกการใช้ซีแอล เชื่อว่าทางสหรัฐฯ รวมถึงประชาคมโลก จะต้องแสดงความตอบรับที่ดี และมีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องมีมาตรการที่จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงตัวยาด้วย

อัดล็อบบี้ยิสต์ตัวแสบโคตรโกหก อภ.ยัน “จีพีโอเวียร์” มีคุณภาพ
จวกล็อบบี้ยิสต์ “แม้ว” เหิม ซื้อโฆษณาโจมตีไทยทำ CL


6."อ้อ"ส่งทนายยื่นฟ้อง"นาม" จงใจพูดให้ศาลริบทรัพย์/ประธาน คตส.ลั่นเรื่องขี้ผง เตรียมฟ้องกลับ

การซื้อขายที่ดินย่านรัชดา ของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ โดยเมื่อ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้ดูแลคดีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดา ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ประธานอนุกรรมการไต่สวนการซื้อขายทีดินย่านรัชดา ของคุณหญิงพจมาน เพื่อขอให้ทบทวน แก้ไข เพิกถอน มติที่ประชุมของคณะอนุกรรมการไต่สวน ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ เนื่องจากการกระทำที่ผ่านมาของ คตส. มีการบีบบังคับให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีดังกล่าว อีกทั้งยังมีการแนบแบบคำร้องส่งไปให้กองทุนฟื้นฟูด้วย ซึ่งตาม มาตรา 66 ,67 และ 69 กำหนดให้ผู้ที่รับเรื่องมีหน้าที่รับเรื่องอย่างเดียว ไม่ใช่ส่งแบบคำร้อง และข้อเท็จจริงไปให้กองทุนฟื้นฟูเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ และ ยังระบุว่าหากไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษ ก็จะถูกดำเนินคดีตาม มาตรา 157 นอกจากนี้ นายพิชิต ยังได้ได้ยื่นฟ้องคดีอาญา ที่ศาลอาญา ต่อนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ในข้อหา ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90, 91, 157 และ มาตรา 200 ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนนัดแรกในวันที่ 23 ก.ค. เวลา 09.00 น. โดยนายพิชิต อ้างว่า นายนาม กลั่นแกล้งหล่าวหาว่า คุณหญิงพจมาน และพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 และนายนาม ได้บีบบับคับขู่เข็ญกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ประมูลขายที่ดินให้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่มีความประสงค์ และไม่สมัครใจเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ เนื่องจากเห็นว่าการซื้อขายที่ดินชอบด้วยกฎหมาย และไม่เกิดความเสียหาย แต่นายนาม ยังชี้นำ บังคับขู่เข็ญว่าจะนำเรื่องเข้ารายงานต่อรัฐบาล และคมช. เพื่อดำเนินการต่อกองทุนฟื้นฟูฯ ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ หวั่นไหวกลัวจะถูกดำเนินคดี จึงได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ด้านนายนาม ยังกล่าวถึงกรณี นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของตระกูลชินวัตร ออกมาระบุว่า คตส.ไม่มีอำนาจใช้กฎหมายอาญา มาตรา 33 เสนอให้ศาลริบทรัพย์ในคดีการซื้อขายทีดินย่านรัชดา ของคุณหญิง พจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ประเด็นนี้ คตส.ได้ยืนยันมาตั้งแต่ชั้นรับตรวจสอบ และมีการตั้งอนุกรรมตรวจสอบ และผ่านอนุกรรมการไต่สวนเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง คตส.ยืนยันว่า การซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมีความผิดตาม มาตรา 100 อย่างชัดเจน ดังนั้นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่ถูกต้องก็สมควรริบทรัพย์นั้นเสีย การที่นาย นพดล ออกมาระบุว่า คตส.ไม่มีอำนาจเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะ คตส.ทำงานในรูปแบบคณะกรรมการ ซึ่งการจะดำเนินการอย่างไรต้องผ่านมติของที่ประชุม และเรื่องนี้ที่ประชุมก็มีมติแนวทางเดียวกัน ไม่ได้ตัดสินด้วยคนเพียงคนเดียว ส่วนกรณีคุณหญิงพจนมาน ฟ้องประธาน คตส.นั้น ขณะนี้ตนได้รับสำเนาคำฟ้องเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างการศึกษา หากจะฟ้องกลับก็จะฟ้องในข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงาน ซึ่งถือเป็นโทษทางอาญา ยอมความไม่ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่คิดจะฟ้องเพราะเป็นเรื่องไร้สาระ คิดว่าเป็นเพียงการออกมาขู่เท่านั้น ด้านนายอุดม เฟื่องฟุ้ง ประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดา กล่าวว่า ใครจะฟ้อง ใครจะกล่าวหา หรือ มายื่นหนังสือปลด คตส.ออกจากตำแหน่งก็ทำกันไป ส่วนตัวไม่คิดจะฟ้องกลับใคร ส่วนกรณีทนายของคุณหญิงพจมาน ออกมาระบุว่า คตส.ไม่มีอำนาจในการริบทรัพย์นั้น ถือเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ยืนยันว่า คตส.ได้พิจารณาไปตามข้อกฎหมาย โดยเห็นว่าการซื่อขายทีดินแปลงดังกล่าว มีการกระทำผิดกฎหมาย

“แม้ว-เมีย” สู้ยิบตา! ฟ้อง “นาม” - ประวิงมติ คตส.งาบที่รัชดาฯ
“นาม” ลั่นขอต่ออายุตามมติ ครม. ย้ำริบคืนที่ดิน “หญิงอ้อ”


7.ทำพิธีเคลื่อนย้ายศพ 7 ทหารกล้าสมเกียรติ/สหรัฐฯกดดันไทยจัดเลือกตั้งอ้างช่วยดับไฟใต้

หลังทหารชุดปฏิบัติการจิตวิทยา 7 นาย เสียชีวิตจากการถูกลอบวางระเบิดของคนร้ายขณะออกปฏิบัติหน้าที่งานมวลชนในพื้นที่ ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อบ่ายวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา นั้น ล่าสุด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ประกอบพิธีส่งศพกลับภูมิลำเนาแล้วเมื่อ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพิธีเป็นไปอย่างสมเกียรติ โดยมีผู้บังคับบัญชา และเพื่อนทหารร่วมพิธีส่งศพประมาณ 300 คน โดยเมื่อรถบรรทุกหีบศพถึงบริเวณท่าอากาศยานปัตตานี มีสารวัตรทหารช่วยกันแบกหีบศพทหารทั้ง 7 นายผ่านแถวผู้บังคับบัญชา เพื่อนทหาร และกองเกียรติยศ พลแตรเป่าแตรนอน โดยศพของทหาร 5 นาย ประกอบด้วย พ.ต.วีระพล แย้มอำพล จ.ส.อ.ราชันย์ รื่นโกสุม ส.อ.นรินทร์ เครือโสม ส.อ.สมบัติ ผาจันทร์ และ ส.อ.สมศักดิ์ ฝ่ายทะแสง ได้เคลื่อนย้ายด้วยเครื่องบินซี 130 ของกองทัพอากาศ เพื่อส่งกลับไปยังหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ส่วนศพ จ.ส.อ.วีรชน ศรีเกิด และ จ.ส.ต.สมเกียรติ จงจิต เคลื่อนย้ายด้วยเฮลิคอปเตอร์กลับบ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งทหารทั้งหมดสังกัดกองพัน ปจว.กรมรบพิเศษ ที่ 2 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ.เมืองลพบุรี โดยพ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการสูญเสียนายทหารทั้ง 7 นายว่า เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับชุดปฎิบัติการนี้ด้วยดี แต่ยังถูกผู้ก่อการร้ายควบคุมให้เกิดความกลัว ถือเป็นความสูญเสียอีกครั้ง สำหรับการส่งศพนายทหารที่เสียชีวิตนั้นได้มีการส่งกลับภูมิลำเนาอย่างสมเกียรติ และกองทัพจะพิจารณาตอบแทนคุณงามความดีของทหารชุดนี้อย่าสมเกียรติ ด้านพ.ต.อ.มาโนช อานันต์ฤทธิ์กุล ผกก.สภ.อ.ระแงะ เชื่อว่า การลอบวางระเบิดทหารทั้ง 7 นายเป็นฝีมือของแนวร่วม RKK ที่แฝงตัวอยู่ในพื้นที่เพื่อตอบโต้การทำงานของเจ้าหน้าที่และสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทราบกลุ่มคนร้ายที่ลอบวางระเบิดทหารทั้ง 7 นายแล้วมีอยู่ 3 คน คือ นายอันวา กือแน เป็นผู้ประกอบระเบิด นายรอกิ ดิง เป็นผู้วางระเบิด และนายอาแวฮาโร นาแซ เป็นผู้ชี้เป้า ทั้ง 3 คนเป็นชุดผลิตและวางระเบิดมือหนึ่งในพื้นที่ จ.นราธิวาสและมีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี เนื่องจากเป็นชุดที่ทำหน้าที่ทั้งผลิตระเบิดและวางระเบิดในหลายพื้นที่ โดยก่อนที่คนร้ายจะลงมือปฏิบัติการครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทราบข่าวและแจ้งเตือนให้ทหารในพื้นที่ระวังตัวแล้วเนื่องจากคนร้ายทั้ง 3 คนมีแผนที่ระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะหน่วยลาดตระเวนและชุดมวลชนสัมพันธ์ เนื่องจากการทำงานของทหารดังกล่าวจะมีตารางเวลาที่ชัดเจน ในการเดินทางลงพื้นที่ ซึ่งง่ายต่อการตกเป็นเป้านิ่งให้กลุ่มคนร้ายลงมือปฏิบัติการ ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เป็นเหมือนการสู้รบกันเหมือนกับการรดน้ำต้องมีเปียกเราเข้าใจปัญหานี้ดี นายทหารทุกคนก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว ซึงทหารหน่วยรบพิเศษที่เข้าไปทำงานเกี่ยวกับมวลชนก็จะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านในลักษณะอย่างนี้ เพราะเรามีกำลังพลน้อยรวมถึงระยะทางเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถซุ่มโจมตีได้ หากขาดมาตรการในการถูกลวงก็จะเป็นปัญหามากขึ้น โดยก่อนหน้านั้นเมื่อ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา พลจัตวา จอห์น ทูแลน เจ้าหน้าที่อาวุโสรับผิดชอบกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า เวลานี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายหลายอย่างหลายประการ เราต้องการที่จะยืนอยู่เคียงข้างกับท่าน ในขณะที่ท่านร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ และจัดการเลือกตั้งต่างๆ ของท่าน พร้อมระบุว่า มีเพียงรัฐบาลที่เป็นธรรมและถูกต้องชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงจะสามารถยังความพ่ายแพ้ให้แก่การก่อการร้าย ซึ่งกำลังคุกคามวิถีชีวิตของเรา และเราต้องฟื้นคืนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของพวกเรา เพื่อที่จะสามารถประคับประองความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองในเอเชียเอาไว้ เขากล่าวต่อว่า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหมายถึงการก่อความไม่สงบที่กำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2,100 คนแล้วในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา

“ผู้การฯนรา” ส่ง ตร.หาข่าวโจรใต้ฆ่า “ทหารหมวกแดง” 7 นาย
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าส่งศพทหารกล้า 7 นายกลับภูมิลำเนา
มะกันเร่งไทยรักษาสัญญาจัดการเลือกตั้ง เชื่อดับไฟใต้ได้แน่

กำลังโหลดความคิดเห็น