คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1."นายกฯ"ไม่สนเสียงค้านเซ็นเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น แล้ว/กก.สิทธิชี้ เป็นสัญญาอัปยศ
ข่าวฮอตในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กับ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ซึ่งประกอบด้วย 1. ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น สำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ 2. ความตกลงเพื่อการปฏิบัติตาม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ตามข้อ 12 ของความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น สำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ และ 3. แถลงการณ์ร่วมในการลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทย และญี่ปุ่น สำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ซึ่งการลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นครั้งนี้ ครอบคลุมความร่วมมือใน 9 สาขา คือ 1) เกษตร ป่าไม้และประมง 2)การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 3) การสร้างเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ 4) บริการการเงิน 5) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อม 7) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 8) การท่องเที่ยว และ 9) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน เดิมการลงนาม JTEPA เจะมีการลงนามตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2549 แต่ต้องเลื่อนออกไป เพราะมีการประกาศยุบสภา เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2549 และมีกระแสการคัดค้านในรัฐบาลชั่วคราวชุดนี้ว่าไม่ควรเซ็น ทั้งนี้ เอเอฟพีรายงานด้วยว่า ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเจรจาโดยอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสริมความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นในประเทศไทยได้ โดย 97% สินค้าส่งออกของญี่ปุ่นให้ไทย และ 92% ของสินค้าส่งออกไทยไปญี่ปุ่นจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตามก่อนนั้น ได้มีเสียงคัดค้านจากกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ วอทช์ มาตลอด โดยเมื่อ 3 เม.ย. กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ วอทช์ ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอดส์ เครือข่ายผู้บริโภค และสลัม 4 ภาค ประมาณ 50 คน ได้ร่วมชุมนุมหน้าสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อแสดงคัดค้านการลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ลงนามกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยได้มีการจัดกิจกรรมคัดค้าน เช่น การเผาหนังสือสัญญาจำนวน 942 หน้า และอ่านแถลงการณ์คัดค้านการลงนามฯ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯ ยืนยันคัดค้านการลงนาม JTEPA และร้องขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. รวบรวมรายชื่อ 20 คน เพื่อยื่นต่อตุลาการรัฐธรรมนูญให้ตีความว่า การลงนาม JTEPA เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พร้อมอ่านแถลงการณ์เพื่อขอยืนยันว่าหนังสือข้อตกลง JTEPA ที่ได้ลงนามในวันนี้ เป็นโมฆะสัญญา และปฏิเสธผลผูกพันใด ๆ ที่สัญญาฉบับนี้มีต่อประชาชนชาวไทย และเรียกร้องให้รัฐสภาญี่ปุ่นยกเลิกการลงนาม ก่อนหน้านี้ นายเสน่ห์ จามริก ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า คกก.สิทธิฯ ได้ติดตามศึกษากรณีการลงนาม JTEPA มาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าภายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นพยายามเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลไทยก็ตอบสนองโดยทำการเจรจาและสรุปกันเองโดยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดข้อตกลงให้ประชาชนได้รับทราบตามที่ภาคประชาสังคมร้องขอ รวมถึงไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา ถือเป็นกระบวนการละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยต่อประชาชนอย่างชัดเจน นายเสน่ห์ กล่าวว่า คกก.สิทธิฯ ได้มีการท้วงติงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ มาโดยตลอด โดยเฉพาะการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งพบว่ามีการจัดทำแบบแอบแฝงรวบรัดของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังเร่งรีบนำเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นวาระเพื่อทราบ และรัฐบาลไม่ได้พิจารณาข้อเรียกร้องของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่ให้ทบทวน 2 ประเด็นหลัก คือ ขยะมลพิษ และสิทธิบัตรจุลชีพ
นายกฯ ย้ำลงนามเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นเปิดมิติใหม่เกิดผลดีทาง ศก.
นายกรัฐมนตรีไทย-ญี่ปุ่น ลงนาม JTEPA แล้ว
2."สนธิ" เตือนจับตาแผน"แม้ว"ดิ้นรนกลับไทยยกข้ออ้างมาสู้คดี
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ดำเนินรายการโดย นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทาง เอเอสทีวี 6 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้ตำหนิ นายนพดล ปัทมะ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ กล่าวหาว่าคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) พยายามสกัด พ.ต.ท.ทักษิณไม่ให้กลับมาเล่นการเมืองว่า นายนพดลเป็นคนไม่มีราคา พยายามเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย โดยอ้างว่าเพื่อต้องการมาสู้คดีอาญาในชั้นศาลที่ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลหากถูกดำเนินอาญา ซึ่งจะมีการนำประชาชนจำนวนนับหมื่นมาชุมนุมล้อมกรอบพ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ เรื่องนี้ จึงอยากจะดูว่า คมช.หรือรัฐบาลจะแก้เกมนี้อย่างไร พร้อมระบุว่า ขอให้จับตาดูว่าเกมนี้จะถูกผลักดันมากขึ้นในเดือนพฤษภาคมจนถึงมิถุนายน เพื่อต้องการให้มาสู้คดีในชั้นศาล โดยให้สังเกตพวกม็อบพีทีวี หรือม็อบต่างๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวในตอนนี้ โดยเป็นไปได้ว่า คพ.ต.ท.ทักษิณ อาจกลับเข้าไทยทางชายแดนไทย ไม่ว่าจะเป็นระนอง หรือทางภาคเหนือ แล้วใช้มวลชนเป็นเกราะกำบังเข้ากรุงเทพฯแล้วอ้างว่ามามอบตัวสู้คดี นายสนธิ ยังได้ตำหนิ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ไประบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะกลับมาหลังเลือกตั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่าจะกลับมาราวปลายเดือนมกราคม ทั้งในตอนแรกที่รับตำแหน่งใหม่ๆ เคยบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรกลับมาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แต่มาเปลี่ยนแปลงภายหลังมีกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับหลังเลือกตั้ง และรีบกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 16 หรือ 23 ธันวาคม จึงอยากจะถามว่ามีใครไปสัญญาอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ลับหลังประชาชน และทรยศต่อชาติและประชาชนบ้างหรือเปล่า นายสนธิ ยังได้เสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจนถึงปี 2552 เพื่อให้มีการปฏิรูปการเมืองให้เสร็จสิ้นเสียก่อน โดยชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการร่างรัฐธรรมนูญจะดีหรือวิเศษเพียงใด หรือมีการเลือกตั้งไปทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่วงจรอุบาทว์ ทำให้นักการเมืองเข้ามาแบ่งผลประโยชน์ และกลุ่มทุนก็กลับเข้ามาครอบงำการเมืองกันต่อไป นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องการเช่าที่ดินของเครือเซ็นทรัลว่าได้รับเงินค่าเช่าเฉลี่ยตกปีละ 7 ล้านบาท และล่าสุดจะต่อสัญญาเช่าใหม่ โดยรฟท.จะขอเป็นปีละ 400 ล้านบาทว่า เซ็นทรัล และ รฟท. ควรพบกันครึ่งทาง โดยเซ็นทรัลเอา 1,000 ล้านบาทไปให้กับ รฟท. ก็จะทำให้ รฟท.สามารถให้ประชาชนนั่งรถไฟชั้น 3 ฟรี ส่วนที่บอกว่าเซ็นทรัลควรจ่าย 1,000 ล้านบาทนั้น เพราะตระกูลเขาร่ำรวย มีเซ็นทรัลหลายสาขา อีกทั้งยังมีธุรกิจโรงแรม ซึ่งนั่นคืออภิมหาเศรษฐี ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงขอยืนยันว่าเซ็นทรัลจะต้องจ่ายค่าเช่าให้กับ รฟท.1,000 ล้านบาทต่อปี ไม่เช่นนั้นคิดว่าน่าจะมีการเอี่ยวกันอย่างแน่นอน นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ นำเอกสารราชการลับที่คณะมนตรีความมั่นคง (คมช.)มีการว่าจ้าง ดร.เชียรช่วง กัลยาณมิตร ให้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและทำประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อลดความน่าเชื่อถือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เอกสารชุดดังกล่าว เป็นการขออนุมัติเพื่อตรวจสอบระบบทักษิณ ซึ่งก็คือการไปเช็คบิลระบอบทักษิณ เลยไปจ้าง ดร.เชียรช่วง น้องชายของพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. และผู้ช่วย ผบ.ทบ. เป็นจำนวนเงิน 12 ล้านบาท ในเวลา 6 เดือน ให้ช่วยวิเคราะห์เชิงรุกให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะแสดงว่า คมช.ทำงานจริงจัง ต่างจากรัฐบาลที่ไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวต่อว่า การว่าจ้างนายเชียรช่วง ให้ทำงานประชาสัมพันธ์เชิงลึกให้ คมช.นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด เพราะจำเป็นจะต้องกำจัดระบอบทักษิณ และที่จริงแล้ววิธีการในลักษณะนี้ ตนรู้เรื่องเป็นอย่างดี ทางคมช.น่าจะมาถาม และตนจะทำให้มากกว่านี้
ยามเฝ้าแผ่นดิน : “สนธิ” เตือนแผน “ทักษิณ” ดิ้นกลับไทย-หนุน คมช.จ้าง “น้องสพรั่ง” ขจัดระบอบแม้ว
3. คตส.ลงมติ ให้สรรพากรเก็บภาษี"โอ๊ค-เอม"หมื่นล้าน/"แม้ว-หญิงอ้อ"ยื้อแจงที่ดินรัชดาฯ
ประเด็นข่าวที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ เมื่อ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการ คตส. กรณี นายพานทองแท้ และ น.ส. พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงการชำระภาษีการจากซื้อขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป กับ บริษัท แอมเพิลริช อิมเวสต์เม้นท์ จำนวน 329.2 ล้านหุ้น โดยหลังประชุม นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการกรรมการ คตส. และนายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ คณะกรรมการ คตส. ในฐานะ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหุ้นชินฯ ร่วมแถลง 2 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังการประชุมคณะกรรมการคตส. กรณี นายพานทองแท้ และ น.ส. พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงการชำระภาษีการจากซื้อขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป กับ บริษัท แอมเพิลริช อิมเวสต์เม้นท์ จำนวน 329.2 ล้านหุ้น โดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีการซื้อขายหุ้นแอมเพิลริช แยกออกเป็น 3 ส่วนคือ 1. กรณีที่บริษัท แอมเพิลริช ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ให้นายพานทองแท้ และ น.ส. พิณทองทา ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาจริงสูงถึง 49.25 บาท 2. กรณีบริษัท แอมเพิลริช จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริตริเวอร์จิ้น ในไอแลนด์ แต่ไม่มีการประกอบการใดๆ นอกจากประกอบธุรกรรมในประเทศไทย 3. กรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ประพฤติมิชอบโดยระบุในหนังสือตอบรับว่าการซื้อขายหุ้นดังกล่าว ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งกรณีนี้ คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบพบว่า การทำธุรกรรมในข้อ 1. เข้ากับคำวินิจของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 คือการนำหุ้นไปจำหน่ายจ่ายแจกให้บุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาบริษัทโดยมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด ย่อมถือว่าบุคคลนั้นมีเงินได้ต้องชำระภาษี ไม่ว่าจะขายในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกรณีนี้ได้รับคำยืนยันจากนายโกเมน สืบวิเศษ เลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้มาชี้แจงแล้วว่าการซื้อขายหุ้นดังกล่าว เข้าตามกรณีนี้ กรณีการนำหุ้นบริษัทตัวเองมาขายให้กรรมการบริษัท โดยไม่ชำระภาษีสร้างความเสียหายแก่รัฐ จึงต้องเสียภาษี อนุกรรมการตรวจสอบพบว่า การขายหุ้นครั้งแรกจำนวน 329.2 ล้านหุ้น จะต้องมีภาระภาษีเงินได้ในส่วนของนายพานทองแท้ จำนวน 2,845,681,856.74 บาท ขณะที่ น.ส. พิณทองทา ต้องชำระ 2,845,534,320.96 บาท รวมเป็นเงิน 5,691,216,177.70 บาท พร้อมระบุว่า ถ้าหากทั้งสองคนไม่ชำระเงินดังกล่าวให้ตรง ตามกำหนดเวลา อาจจะต้องถูกยึดทรัพย์ เว้นแต่จะมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน และวงเงินก็จะขยายขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์ ในวันเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่สรรพากรแจ้งว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ได้ไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภงด.90 ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 สำนักงานสรรพากร สาขาปทุมวัน 1 อาคารศรีจุลทรัพย์ 2 แล้ว แต่เป็นการยื่นเพราะทั้งสองคนทำธุรกิจส่วนตัว ได้แก่ร้านถ่ายรูป She@Mood กับบริษัทฮาวคัมฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น บริษัท แอมเพิลริช แต่อย่างใด ด้านนายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ กรมสรรพากรคงต้องรอให้ คตส. ส่งข้อมูลมาให้ โดยกรมฯ จะนำมาพิจารณาประกอบกับข้อมูลที่มีอยู่เพื่อทำการประเมินภาษี ซึ่งการประเมินต้องใช้เวลาและต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ ที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูล และออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชี้แจงก่อน ซึ่งยังไม่แน่ใจว่ามูลค่าภาษีจะเป็นอัตราเดียวกับที่ คตส. คำนวณหรือไม่ เพราะต้องตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อน แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร แจ้งเพิ่มเติมว่า หากข้อมูลของ คตส. มีความชัดเจนแล้วกรมสรรพากรก็ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกบุคคลทั้งสองมาชี้แจงอีก รวมทั้งไม่ต้องแจ้งเตือนว่าต้องมาเสียภาษีเพิ่มเติมหรืออื่นๆ โดยสามารถดำเนินการประเมินภาษีได้ทันที ซึ่งหากบุคคลทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งให้มาเสียภาษีแล้วไม่มา เสียภาษีภายใน 30 วัน จะถูกคิดเบี้ยปรับเพิ่มเป็น 2 เท่าของวงเงินภาษีที่มีการประเมิน อย่างไรก็ดีบุคคลทั้งสองมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีได้ แต่หากไม่มาดำเนินการใดๆ ก็จะถูกยึดทรัพย์ ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และตระกูลชินวัตร กล่าวว่า จากการประชุมหารือระหว่างทีมกฎหมายของตนและทนายของบุตรสาวและบุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่าการยื่นแบบประเมินภาษี ภ.ง.ด.90 ในการซื้อขายหุ้น บริษัท แอมเพิลริช ไม่มีรายการคำนวณเสียภาษี เนื่องจาก 1.บุคคลทั้ง 2 คนมีตัวแทนไปยื่นเสียภาษีแต่ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากไม่มีภาระทางภาษี รวมทั้งการซื้อขายหุ้นที่กระทำระหว่าง บริษัทแอมเพิลริช กับบุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำในต่างประเทศ 2. การขายหุ้นที่กระทำระหว่างนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ที่ขายให้กับ เทมาเส็ก ของสิงคโปร์กระทำในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมสรรพากรและการตรวจสอบยังไม่ยุติ โดยยืนยันได้ว่า บุตรทั้ง 2 ของ ไม่มีเจตนาที่จะปกปิดหรือจงใจ ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 3.การดำเนินการทางธุรกรรมในการขายหุ้นดังกล่าวปฏิบัติตาม คำวินิจฉัยของกรมสรรพากรที่ได้ระบุว่าไม่มีภาระทางภาษี ดังนั้นที่ผ่านมา นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา จึงไม่ต้องเสียภาษีกับกรมสรรพากร จำนวน 5.8 พันล้านบาท รวมถึงค่าปรับที่คณะอนุกรรมการฯ ของ คตส. คำนวณจากฐานภาษีการซื้อขายหุ้นดังกล่าว อย่างไรก็ดีหาก คตส.มีข้อข้องใจตนและทีมทนายก็จะใช้เหตุผลดังกล่าวชี้แจง ส่วนกรณีการซื้อที่ดินย่านรัชดาของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คณะกรรมการ คตส.ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกล่าวว่า ที่ผ่านมา คตส.ได้มีมติ แจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ซึ่งในวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้ส่งผู้แทนมายื่นหนังสือถึง คตส. เพื่อขอขยายเวลาในการเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปอีก 30 วัน จากเดิม ที่ต้องเข้าชี้แจงในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนจะประชุมเพื่อพิจารณาหนังสือขอเลื่อนดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ได้ขอขยายเวลามาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนก็ประชุมและมีมติให้เลือนการเข้าชี้แจงในวันดังกล่าว
คตส.ฟัน “โอ๊ค-เอม” จ่ายภาษีหมื่น ล.- ลั่นเบี้ยวเจอยึดทรัพย์ - ยัดคุก
“โอ๊ค-เอม” ดื้อแพ่ง! สู้เลี่ยงภาษี 5.8 พัน ล.- โบ้ยสรรพากรรับเคราะห์
คตส.จ่อเชือด! “แม้ว-หญิงอ้อ” งาบที่ดินรัชดาฯ ต้น พ.ค.นี้
4.ชาวสงขลา-นครราชสีมา ร่วมพลังปกป้อง"ป๋าเปรม"ด้วยชีวิต
การรวมตัวกันเพื่อแสดงพลังมวลชนคนรักพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ดูร้อนแรงขึ้นตามลำดับ หลัง มีผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่และโจมตี พล.อ.เปรม โดยเมื่อ 6 เม.ย. ที่ลานพระราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา คณะศิษย์เก่าโรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา ผู้ปกครองนักเรียนฯ อาจารย์ นักเรียนและพลังมวลชนกว่า 1,000 คน ได้รวมตัวกันเพื่อแสดงพลังมวลชนคนรักพล.อ.เปรม โดยมีนายอุทิศ ชูช่วย นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลา ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลาเป็นแกนนำในการรวมพลังมวลชนในครั้งนี้ นายอุทิศ กล่าวว่า การรวมตัวกันครั้งนี้เพื่อแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์ ในการยกย่องเชิดชูเกียรติ พล.อ.เปรม ในฐานะนักเรียนมหาวชิราวุธ ซึ่งเป็นผลผลิตอันสำคัญยิ่งของสถาบัน และเป็นผู้มีคุณค่ายิ่งต่อสังคม เกื้อกูลและบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองนานัปการ เป็นคนดีศรีมหาวชิราวุธ เป็นตัวอย่าง แบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ปัจจุบันและอนุชนรุ่นหลังที่จะดำเนินรอยตาม"ป๋าเปรม" จากพลังมวลชนทั้งหมดได้เคลื่อนขบวนออกจากโรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา ไปตามถนนสายต่างๆ โดยถือแผ่นป้ายผ้าให้กำลัง พล.อ.เปรม มีข้อความว่า"หยุดพาดพิง...ป๋า" "ชาวสงขลารักและภูมิใจในตัวป๋า" "การเมืองอย่ายุ่งกับป๋า" "เกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน" "ป๋าเปรม ร่ำรวยคุณงามความดี""ป๋าเปรม รักชาติ รักแผ่นดิน" เป็นต้น เพื่อเป็นการแสดงพลังให้คนทั้งประเทศรู้ว่า ชาวมหาวชิราวุธ และประชาชนชาวสงขลา จะปกป้องคนดีศรีมหาวชิราวุธและเอกบุรุษของชาวสงขลา วันเดียวกันนี้ ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม)ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มคนโคราชรักป๋าเปรม นำโดยนายไพบูลย์ พฤกษ์พนาเวศ เจ้าของโรงแรมราชพฤกษ์ แกรนด์โฮเทล และสมาชิกสภาเทศบาลนครนครราชสีมา,นายกฤตย์ ขวัญโภคา ประธานชมรมคนสงขลา(โคราช)และกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย กว่า 50 คน ได้ร่วมชุมนุมพร้อมชูป้ายให้กำลังใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยเรียกร้องให้กลุ่มผู้ไม่หวังดี ยุติการกระทำในการจาบจ้วง ล่ารายชื่อถอดถอนประธานองคมนตรี และให้ยุติการชุมนุมสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติโดยเร็ว พร้อมกันนี้กลุ่มคนโคราชรักป๋าเปรม ได้ตั้งโต๊ะรับลงรายชื่อเพื่อให้กำลังใจ พล.อ.เปรม ที่บริเวณด้านหน้าลานอนุสาวรีย์ย่าโมด้วย ซึ่งได้มีบรรดาข้าราชการ นักธุรกิจ พ่อค้า นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป เดินทางมาร่วมลงนามให้กำลังใจ พล.อ.เปรม อย่างต่อเนื่อง จากนั้นกลุ่มคนโคราชรักป๋าเปรม ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ ต่อหน้าอนุสาวรีย์ย่าโม มีสาระสำคัญระบุว่า คนโคราช และคนทั่วทุกภูมิภาคที่อาศัยอยู่ใน จ.นครราชสีมา มีความรัก ห่วงใย และปรารถนาดีต่อ พล.อ.เปรม รู้สึกเจ็บปวด ไม่สบายใจและ อึดอัดใจทุกครั้งที่ได้รับข่าวสารในทางที่ไม่ดีนำเสนอทางสื่อ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าไม่ใช่เรื่องจริง ตลอดชีวิตของป๋าเปรม ได้อุทิศให้กับประเทศชาติ และรับใช้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่เริ่มมีผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่และโจมตี พล.อ.เปรม ว่า เนื้อหาสาระของการชุมนุมต้องถูกกำกับโดยกฎหมาย ซึ่งตนอยากให้คนที่ไปร่วมชุมนุม หรือขึ้นปราศรัยใช้จิตสำนึกว่า อะไรควร อะไรไม่ควร เพราะตำแหน่งประธานองคมนตรีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะมาดำเนินการกันทางการเมือง จึงอยากให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบ ส่วนการต่อต้าน คมช.และรัฐบาลนั้นทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ อะไรถูกไม่ถูกมีความไม่ชอบมาพากลอย่างไรก็เสนอข้อมูลได้ แต่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูดด้วย พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มต่างๆ ยังคงยืนยันจะนัดชุมนุมที่สนามหลวงว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ได้ประสานกับกรุงเทพมหานคร (กทม.)แล้วว่า หากผู้ชุมนุมดำเนินการอยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็ต้องจัดสถานที่ให้คนเหล่านั้นได้ชุมนุมกัน ส่วนจะมีการสกัดม็อบที่จะเดินทางมาจากต่างจังหวัดหรือไม่ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ดูแลอยู่แล้ว ถ้าเป็นม็อบในลักษณะที่รับเงินเข้ามาในกทม.ก็ต้องจัดการ ด้านนายสุทิน คลังแสง รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า คณะติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองพรรคไทยรักไทย ได้ประชุมหารือมีข้อสรุปที่เชื่อได้ว่าจะมีการทำรัฐประหารในอนาคตอันใกล้ โดยมีปัจจัยบ่งชี้ 3 ประการ คือ 1. เกิดความแตกแยกและขัดแย้งระหว่าง คมช. รัฐบาล และสนช. ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 2.มีกลุ่มบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวสอดรับกับ คมช.,สนช.,ส.ส.ร.และสื่อบางฉบับในลักษณะสร้างเงื่อนไข และยุยงให้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนการทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 และ 3. กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีเป้าหมายชัดเจนที่จะล้มล้างรัฐบาล และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี พรรคไทยรักไทย เห็นว่าหากความพยายามของกลุ่มบุคคลดังกล่าวบรรลุเป้าหมาย สามารถทำการรัฐประหารได้อีกครั้ง จะทำให้ประเทศชาติเสียหายเพิ่มขึ้นทวีคูณ และดำดิ่งสู่วิกฤติไม่จบสิ้นด้านนายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยรักไทย กล่าวเสริมว่าเราจะรณรงค์ต่อต้านการปฏิวัติ ทุกจังหวัด อำเภอ และ ตำบล ทั่วประเทศ โดยจะร่วมกันลงชื่อคัดค้านการทำรัฐประหาร เสนอให้ประชาชนทุกจังหวัดเป็นโจทย์ฟ้องผู้ที่ทำการปฏิวัติ ทั้งนี้ได้นำเรื่องเสนอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรค รับทราบแล้ว ซึ่งก็เห็นชอบในหลักการ และจะดำเนินการกันในเร็วๆนี้ โดยหากมีการปฏิวัติซ้ำเกิดขึ้นจริง นายจาตุรนต์ จะเป็นคนนำในการยื่นฟ้องผู้ก่อการ คิดว่าตรงนี้จะเป็นภูมิต้านทานในการปกป้องประชาธิปไตยได้
ประมวลภาพชาวสงขลาแต่งเหลืองให้กำลังใจ "ป๋าเปรม"
ชาวโคราชลุกฮือให้กำลังใจ “ป๋าเปรม” - จี้ “ม็อบป่วน” หยุดทำลายชาติ
5."แมงเม่า"ฟ้องบอร์ดไอทีวีเรียก 5 หมื่นล้าน/ปชป.จี้ สปน.-กรมประชาฯแจงเงินบริหาร“ทีไอทีวี”
ประเด็นข่าวที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งในรอบสัปดาห์คือ กรณีผู้ถือหุ้นรายย่อยไอทีวี โดยนายสุพงษ์ ลิ้มธนากุล ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานทนายความโดยนายสุภวุฒิ กำเงิน เป็นผู้รับมอบอำนาจ เตรียมสำนวนฟ้องต่อศาลแพ่งให้ดำเนินคดีกับอดีตผู้บริหารไอทีวีกลุ่มดังกล่าว ในข้อหาประเมินเลินเล่อจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของไอที และจะเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากอดีตผู้บริหารไอทีวีรวม 9 ราย ซึ่งประกอบด้วย นายบุญคลี ปลั่งศิริ อดีตประธานกรรมการบริษัท นายอนันต์ ลี้ตระกูล อดีต ประธานกรรมการตรวจสอบ นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ อดีตกรรมการตรวจสอบ นางสริตา บุญนาค อดีตกรรมการตรวจสอบ ส่วนที่เหลือเป็นอดีตกรรมการอีก 5 คน คือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสมประสงค์ บุญยะชัย นายดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ นางศิริเพ็ญ สีตสุวรรณ และนายทรงศักดิ์ เปรมสุข อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นายสุพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ถือหุ้นไอทีวีอยู่ประมาณ 100,000 หุ้น ได้รับความเดือนร้อนพฤติกรรมที่ประมาทและเลินเล่อของผู้บริหารจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทจนถูกสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ยึดสัมปทานคืน จึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากอดีตผู้บริหารไอทีวีเหล่านี้ แต่เมื่อไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบ จึงต้องอาศัยอำนาจและบารมีของศาลยุติธรรมต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลหลังเทศกาลสงกรานต์นี้ พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารกลุ่มนี้ทำการเพิกเฉย ไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท หรือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยแต่อย่างใด เพราะหากออกมาดูแลอย่างเต็มที่ความสูญเสียคงไม่เกิดกับบริษัทและผู้ถือหุ้นรายย่อยแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้บริหารยังปฏิเสธความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง และยังลอยนวล มีหน้ามีตาในสังคม ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากศาล ในขณะเดียวกัน เมื่อ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ อดีต ส.ส. จ.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมประชาสัมพันธ์ ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการดำเนินงานสถานีโทรทัศน์ ทีไอทีวี ในฐานะเจ้าของสัมปทานภายหลังจากยึดคืนจากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยขอให้แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการควบคุมดูแล การบริหารจัดการสถานีโทรทัศน์ของรัฐแห่งนี้ให้สาธารณชนได้เข้าใจ ทั้งนี้สืบเนื่องจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ในหลายประเด็น อาทิ ความโน้มเอียงในการนำเสนอข่าว เรื่องของเงินทุนในการดำเนินการ การกำกับดูแล ฯลฯ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า รัฐบาลและ สปน. รวมทั้งกรมประชาสัมพันธ์ต้องรีบชี้แจงกับสังคมว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นต้นมา การบริหารจัดการสถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นอะไร ใครได้สิทธิ์เข้าไปผลิตรายการบ้าง นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เคยบอกว่าเรื่องของพนักงานจะทำเป็นสัญญาจ้างระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับกลุ่มบุคคล ค่าใช้จ่ายเดือนละ 20 ล้านบาท ตอนนี้มีสัญญาจ้างหรือจ่ายกันไปหรือยัง นอกจากนี้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการโฆษณามีการบริหารจัดการอย่างไร มีปัญหาในทางปฏิบัติอย่างไรและจะแก้ไขกันอย่างไร ทั้งหลายเหล่านี้ถ้ายังคลุมเครืออยู่ก็จะทำให้ไม่สบายใจกับทุกฝ่าย
จี้ปลัด สปน. - กรมประชาฯ แจงเงินบริหาร“ทีไอทีวี”
ฟ้องอดีตบิ๊ก ITV เรียก 5 หมื่นล.
6."พงศ์โพยม" ตั้งเป้าสงกรานต์ปีนี้ตายไม่เกิน 354 คน/ครม.ไฟเขียวหยุดเล่นน้ำสงกรานต์ยาว 5 วัน
ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับวันสงกรานต์วันปีใหม่ของไทย โดยเมื่อ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเพื่อวางมาตรการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ที่ประชุมมีการกำหนด 6 มาตรการหลัก ได้แก่ 1. ด้านการป้องปรามผู้กระทำผิด เน้นการจับกุมผู้กระทำผิดกฎจราจร ซึ่งมีแนวโน้มก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน 2. ด้านการควบคุม เน้นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมคน รถ ถนนและสิ่งแวดล้อม 3. ด้านการอำนวยความสะดวกเพื่อแก้ไขปัญหาจัดระบบจราจรและปรับปรุงสภาพเส้นทางให้มีความปลอดภัย 4. ด้านการรณรงค์ กระตุ้นเตือนปลูกจิตสำนึกกลุ่มเป้าหมายให้ร่วมกันลดอุบัติเหตุทางถนน 5. ด้านการกู้ชีพ กู้ภัย เน้นความรวดเร็วในการถึงจุดเกิดเหตุ และประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย 6. ด้านการรายงานและประเมินผล เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการสั่งการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2550 ในส่วนกลาง ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และในระดับจังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ ทุกพื้นที่ พร้อมกล่าวว่า คำขวัญในการรณรงค์ปีนี้ กำหนดไว้ว่า “ตั้งสติก่อนสตาร์ท ดื่มไม่ขับ ขับไม่ซิ่ง ง่วงไม่ขับ” โดยเป้าหมายจะมีการตั้งไว้เป็นการภายใน แต่จะไม่เอามาเปรียบเทียบกับจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อลดความตึงเครียดของผู้ปฏิบัติงาน สำหรับวันหยุดสงกรานต์ปีนี้ เริ่มวันที่ 13 เม.ย. แต่ประชาชนจะเริ่มทยอยออกจากกรุงเทพฯ ล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน ดังนั้นจะมีการตั้งด่านตรวจเข้มการบังคับใช้กฎหมายบนถนนสายหลัก ในวันที่ 11-12 เมษายน และวันที่ 17-18 เมษายน 2550 ส่วนถนนสายรอง เน้นหนักในวันที่ 13-16 เมษายน 2550 นายพงศ์โพยม กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายคาดคะเนอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ 2550 ควรลดลงจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 โดยจำนวนครั้งของอุบัติเหตุไม่ควรเกิน 3,997 ครั้ง ผู้เสียชีวิตไม่เกิน 354 คน บาดเจ็บไม่ควรเกิน 4,517 คน ด้านนางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ได้ออกประกาศห้ามขายสินค้าเครื่องฉีดน้ำ ที่มีลักษณะเป็นกระบอกสูบและใช้แรงอัดกระแทกน้ำในกระบอกสูบโดยตรงเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 36 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากมีผู้บริโภคบางกลุ่มนำอุปกรณ์มาเล่น จนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ อาทิ นำน้ำบรรจุในถุงพลาสติกแล้วปาใส่กัน การนำเครื่องเล่นฉีดน้ำที่เป็นกระบอกสูบทำด้วยท่อพีวีซี หรือพลาสติก ซึ่งใช้แรงอัดกระแทกน้ำในกระบอกสูบโดยตรงมาเล่น ความแรงของน้ำเมื่อกระทบกับผิวหนังหรือ ดวงตาทำให้เกิดอาการอักเสบ บาดเจ็บ หรือเครื่องเล่นฉีดน้ำที่มีลักษณะดังกล่าวถือว่า เป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อร่างกายผู้บริโภค หากผู้บริโภคพบเห็นการจำหน่ายเครื่องเล่นดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน สคบ.1166 ด้านนพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำว่า การเล่นน้ำสงกรานต์ควรเล่นในช่วงเวลาสั้น ไม่ควรเล่นทั้งวัน และอยู่ในชุดเดียวกัน ถ้าเปียกน้ำแล้วควรเปลี่ยนชุด เป็นวิธีป้องกันโรคทางเดินหายใจ ส่วนผู้ที่เป็นไข้หรือโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงไม่ควรออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ ทั้งหมดนี้เป็นโรค และภัย ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในช่วงวันสงกรานต์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากประชาชนไม่เข้าใจอย่างเพียงพอ ตั้งอยู่ในความประมาท จึงขอฝากเตือนให้ระมัดรังโรคและภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ด้วย ด้านนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมมีมติให้เพิ่มวันหยุดเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก 1 วัน คือ วันที่ 17 เม.ย. จากเดิมให้หยุดระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน รวมเป็น 5 วัน ทั้งนี้ เป็นไปตามแบบแผนที่ถือปฏิบัติกันมาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยการเพิ่มวันหยุดดังกล่าวเพื่อส่งเสริมให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่คนไทยได้มีวัฒนธรรม และประเพณีที่ดี โดยเฉพาะการส่งเสริมสถาบันครอบครัว การอยู่ร่วมกัน การสร้างความอบอุ่นในครอบครัว การดูแลพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เยาวชน ลูกหลาน ส่งเสริมความรักความสามัคคีในครอบครัวและชุมชน
สอบสวนกลางจัดกำลัง 3 พันนาย ดูแลสงกรานต์
ครม.ไฟเขียวข้าราชการหยุดเล่นน้ำสงกรานต์ยาว 5 วัน
7."ศิริราช"เจ๋งผ่าตัดแยกแฝดสยามหัวใจติดกันรอดทั้งคู่รายแรกของโลก
ข่าวฮือฮาอีกข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแถลงข่าวการผ่าตัดแฝดสยาม ซึ่งมีหัวใจติดกันได้สำเร็จมีชีวิตรอดทั้งคู่เป็นรายแรกของโลก คือ ด.ญ.ปานตะวัน และ ดญ.ปานวาด ธิเย็นใจ บุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล โดยมี ทีมแพทย์สหสาขาวิชา อาทิ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์ และคณะ ผศ.นพ.มงคล กล่าวว่า เด็กแฝดปานวาดและปานตะวัน เกิดเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.49 เวลา 18.37 น. โดยการผ่าคลอดเมื่ออายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ ทั้งคู่มีน้ำหนักแรกคลอดรวมกันประมาณ 3,570 กรัม มีลำตัวด้านหน้าติดกันตั้งแต่บริเวณทรวงอกลงมาถึงผนังหน้าท้อง จากการตรวจร่างกายภายนอก พบว่าเด็กมีบริเวณที่ติดกัน ขนาด 17 x 8 ซ.ม. และได้ทำการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูง พบว่า ทารกมีอวัยวะภายในที่ติดกัน 2 ส่วน คือ มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง รวมทั้งมีหัวใจเชื่อมต่อกันด้วย โดยหัวใจห้องบนขวาของแฝดพี่ ปานตะวัน เชื่อมกับหัวใจห้องบนซ้ายของแฝดน้อง ปานวาด และมีเลือดจากปานตะวันไหลผ่านมายังปานวาดตลอดเวลา เมื่อหัวใจมีลักษณะติดกันดังกล่าว คณะแพทย์จึงได้ทำการสวนหัวใจด้วยสายสวนติดบัลลูนเพื่อเข้าไปปิดบริเวณรอยเชื่อมต่อของหัวใจ เสมือนเป็นการแยกหัวใจชั่วคราว ปรากฏว่าไม่เกิดผลเสียต่อทั้งคู่ จึงสามารถวางแผนการผ่าตัดได้ โดยกำหนดการผ่าตัดในวันที่ 20 ก.พ.50 ขณะที่ทารกอายุได้ 8 เดือน และมีน้ำหนักตัวรวมกัน 10.9 กิโลกรัม พร้อมระบุว่า จากการค้นรายงานทางการแพทย์ เด็กแฝดตัวติดกันจะมีโอกาสเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอดสูง แต่ก็มีโอกาสรอดชีวิตภายหลังคลอด สำหรับแฝดที่มีหัวใจติดกัน พบว่าเคยมีการผ่าแยกแต่เสียชีวิต หรือรอดเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถผ่าแยกและรอดชีวิตทั้งคู่ แต่ยังคงต้องดูแลแฝดน้อง ปานวาดในเรื่องหัวใจอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะมีปัญหาเรื่องการหายใจและยังมีรูรั่วที่หัวใจห้องบน ซึ่งต้องรอให้หัวใจแข็งแรงมากกว่านี้จึงสามารถผ่าตัดเย็บอีกครั้งได้ ทั้งนี้ แฝดตัวติดกันจะพบได้น้อยมาก ประมาณ 1 ต่อ 50,000 ราย 1 ต่อ 100,000 ราย ของการตั้งครรภ์ปกติ ดังนั้นเมื่อเกิดเด็กแฝดตัวติดกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และน่าสนใจไม่เฉพาะวงการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย
ศิริราชเจ๋งผ่าแยกแฝดสยามหัวใจติดกันรอดรายแรกโลก
ศิริราชสุดเจ๋ง! ผ่าตัดแฝดสยามหัวใจ-ตับติดกัน สำเร็จครั้งแรกของโลก