คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1.วีรบุรุษคนจน“สุวิทย์ วัดหนู”เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน/เก็บศพไว้ 100 วันก่อนฌาปนกิจ
ข่าวคราวที่ได้คับความสนใจอีกเรื่องหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันของนายสุวิทย์ วัดหนู ที่ปรึกษาษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 โดยเรื่องนี้นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป.เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนขณะที่นายสุวิทย์ นอนหลับอยู่ที่บ้านพัก หมู่บ้านเคหะธานี ถ.สุขาภิบาล 3 แขวงและเขตสะพานสูง ได้เกิดช็อกและหมดสติ นางสุวรรณี วัดหนู ภรรยา ซึ่งนั่งดูทีวีอยู่บริเวณใกล้ๆ ได้ยินเสียงสามีหายใจติดขัดจึงวิ่งมาดู แต่พบว่านายสุวิทย์ ได้หมดสติไปแล้วจึงได้เรียกให้เพื่อนบ้านช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้พยายามปั๊มหัวใจและให้ยากระตุ้นหัวใจอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยแพทย์แจ้งว่านายสุวิทย์ ได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ที่บ้านก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ด้านนางสุวรรณี วัดหนู กล่าวว่า เมื่อช่วงก่อนเกิดเหตุ นายสุวิทย์ สามีไปประชุมและเดินทางกลับมาบ้านช่วงประมาณเวลา 23.00 น. จากนั้นได้รับประทานอาหาร และนั่งดูทีวี ประมาณเที่ยงคืนก็เข้านอน โดยบ่นกับตนเองว่าปวดหลัง ตนจึงนวดให้แต่ก็ไม่หาย จากนั้นขอยานอนหลับกินและเข้าห้องน้ำ ก่อนกลับมาเข้านอนและหลับเป็นปกติ แต่ตนแปลกใจเพราะมีเสียงกรนผิดปกติ จากนั้นเวลาประมาณตี 1 กว่า จึงเปิดไฟดูและเขย่าตัว แต่ไม่มีการโต้ตอบ จึงได้ตะโกนบอกเพื่อนบ้านเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแพทย์บอกว่า เสียชีวิตแล้ว นางสุวรรณี กล่าวอีกว่า ปกตินายสุวิทย์เป็นคนแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว แต่ก็ไม่เคยไปตรวจสุขภาพ ส่วนเรื่องปวดหลังเคยเป็นมา 3 ครั้งแล้ว โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แต่ไม่ยอมไปหาหมอ เพียงขอยานอนหลับกิน ส่วนสาเหตุมาจากความเครียดเรื่องการเมืองหรือไม่ นางสุวรรณี กล่าวว่าไม่ทราบ แต่ปกตินายสุวิทย์ชอบดูข่าว โดยเมื่อไม่พอใจเรื่องอะไร ก็จะนั่งบ่นและครั้งล่าสุดได้บ่นเกี่ยวกับประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี โดยนายสุวิทย์ บอกว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น สำหรับการบำเพ็ญกุศลศพของนายสุวิทย์ ล่าสุด คืนวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ณ วัดสามัคคีบรรพต ต.บางสะเหร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมศพของ นายสุวิทย์ วัดหนู เป็นคืนที่ 7 ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย หลังจากนั้นได้ทำการเคลื่อนย้ายศพไปยังศาลาจันทนี เพื่อเก็บศพไว้อีกจำนวน 100 วัน โดยทุกวันพระจะมีการนิมนต์พระสวดพระอภิธรรมศพ จนกว่าจะถึงวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2550 ทั้งนี้ เจ้าภาพแจ้งว่าในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันฌาปณกิจศพ นายสุวิทย์ วัดหนู จะมีนายอนันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีประชุมเพลิง
นายสุวิทย์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2495 อายุ 54 ปี ตลอดเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา นายสุวิทย์เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและคนจนมาโดยตลอด นายสุวิทย์เป็นหนึ่งในอดีตคนเดือนตุลา เคยเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนช่างกล แต่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามแกนนำคนตุลาจนต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่า จากนั้นเมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งได้ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนมาตลอด เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์พันธมิตรชุมนุมประท้วงขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ ก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำดังกล่าว
“สำราญ” เชิดชู “สุวิทย์ วัดหนู” วีรบุรุษคนจน
พันธมิตรฯ แอลเอร่วมไว้อาลัย “สุวิทย์ วัดหนู” - รดน้ำศพเย็นนี้ที่วัดบ้านเกิด
ญาติรับศพ “สุวิทย์ วัดหนู” เผยบ่นก่อนตาย “นายกฯ ต้องมาจากเลือกตั้งเท่านั้น”
โรคหัวใจล้มเหลวปิดตำนานชีวิต “สุวิทย์ วัดหนู” นักต่อสู้เพื่อ ปชต.
2."สนธิ"ย้ำรัฐบาลทำผิดกม.กรณีอุ้มทีไอทีวี/ชี้มะกันอยู่เบื้องหลังป่วนใต้
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ออกอากาศทาง ASTV เมื่อ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ดำเนินรายการ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ โดยนายสนธิ กล่าวถึงปัญหาของทีไอทีวีว่า เมื่อเริ่มต้นผิดพลาดแล้วทุกอย่างก็ผิดไปหมด เหมือนกับการติดกระดุมเสื้อเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิดอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่าไม่ว่าทางนายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะพยายามเสนอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรองรับการจัดตั้งหน่วยงานบริการในรูปแบบพิเศษ หรือ เอสดียู ก็ไม่มีความหมาย เพราะยิ่งแก้ก็ยิ่งผิดเหมือนลิงแก้แห เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น พร้อมชี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 16 มี.ค.คนไอทีวีที่เข้ามาใช้คลื่นทีไอทีวีก็ยังเป็นคนเถื่อน และผู้บริหารทั้งปลัดสำนักนายกฯรวมทั้งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ก็มีความผิด คนเหล่านี้มีความผิดถึงขั้นลักทรัพย์ อาจจะต้องติดคุกกราวรูด หากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่หรือเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้หากทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)รับเรื่องที่ทางกลุ่มเครือข่ายประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ นายสนธิได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุการก่อการร้ายว่าหลังจากที่เกิดความรุนแรงต่อเนื่องว่า อาจมาจากการเชื่อมโยงกับประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลังผ่านทางประเทศตัวแทนบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เพื่อผลประโยชน์ทางด้านทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในทะเลบริเวณนั้นจำนวนมหาศาล รวมทั้งต้องการควบคุมจุดยุทธศาสตร์การเดินเรือในช่องแคบมะละกา นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายๆ ประเทศ เช่น การโค่นล้มรัฐบาลนายโมซาเดกในอิหร่านที่มีนโยบายยึดสัมปทานน้ำมันของประเทศตะวันตก แล้วตั้งพระเจ้าซาห์ขึ้นครองประเทศแทน การโค่นล้มรัฐบาลที่มีแนวทางสังคมนิยมของนายอายันเดในชิลี แล้วสนับสนุนนายพลปิโนเชต์เข้าไปยึดอำนาจ ตนยังเชื่อว่ามีประเทศตะวันตกให้เงินสนับสนุนอย่างลับๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีหลายคำถามที่ตอบไม่ได้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างกรณีของกบฏอาบูซายาฟในฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่บินลาเดนก็เกิดขึ้นมาเพราะการสนับสนุนจากซีไอเอของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำไมจะเกิดขึ้นไม่ได้ นายสนธิ ยังได้เตือนกลุ่มอำนาจทางการเมืองที่กำลังวางหมากแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่ในเวลานี้ว่า กำลังนำสถาบันไปเสี่ยงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมทั้งเตือนรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ว่า ถ้าคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะวางมือก็ขอให้ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเชื่อถือไม่ได้ส่วนใน กรณีที่นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนางธาริษา โดยยืนยันที่จะให้ ธปท.คงมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ต่อไปนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ไม่รู้นายฉลองภพ ไปหลงอะไรกับนางธาริษา มาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์นั้น ถือเป็นมาตรการที่ ดร.ฉลองภพไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก รวมทั้งคนนอกรัฐบาลก็อยากให้ยกเลิกหรือปรับปรุงมาตรการนี้ เพราะเห็นว่า เป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นนายฉลองภพ ต้องออกมาชี้แจงว่า เห็นด้วยเพราะอะไร
ยามเฝ้าแผ่นดิน : “สนธิ” เสนอมุมมองใหม่ – มะกันชักใยกลุ่มป่วนใต้
3.ศาลสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัว"นพ.ประกิตเผ่า"/ญาติฟ้องกลับ"เปมิกา"เรียก 27 ล้านบาท
คดีที่พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สบ.3 สน.บางซื่อ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชาชื่อดัง แอพพลายด์ฟิสิกส์ ที่ถูกควบคุมตัวใน รพ.ศรีธัญญา โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ยังคงได้รับความสนใจจากประชาชน โดยเมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา นายวิชัย ช้างหัวหน้า รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และนายพิทักษ์ เริ่มก่อกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีดังกล่าว หลังจากนั้นศาลไต่สวนพยานปากสุดท้ายแล้ว ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำเบิกความของคณะแพทย์ผู้ตรวจรักษา ทั้งของโรงพยาบาลศรีธัญญาและสถาบันกัลยาณราชนครินทร์ รวมทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยจิตเวช ที่ร่วมตรวจรักษา นพ.ประกิตเผ่า รวมทั้งการที่ศาลเข้าเผชิญสืบด้วยตนเอง ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าผู้ถูกคุมขังป่วยด้วยอาการทางจิตจริง ดังนั้น การที่โรงพยาบาลศรีธัญญาควบคุมตัว นพ.ประกิตเผ่า ไว้จึงไม่เป็นการควบคุมโดยมิชอบ แต่เป็นการควบคุมเพื่อเป็นการตรวจรักษา คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนัก พิพากษายกคำร้อง ส่วนสารเอฟริดีน ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของอาการป่วย ด้าน นพ.ประกิตพันธ์ พี่ชาย กล่าวว่าเบื้องต้นคงจะให้ นพ.ประกิตเผ่า รักษาอยู่ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ต่อไปก่อน จนกว่าจะดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาการเคลื่อนย้ายต้องถูกมัดตัว ซึ่งครอบครัวไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ส่วนถ้า น.ส.เปมิกา จะขอเข้าเยี่ยมให้อยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์ ว่าจะเห็นสมควรหรือไม่ อย่างไร แต่อาการของน้องชายจะหายได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ในเวลา 1 เดือน ถ้าไม่ถูกกระตุ้นอีก พร้อมกับได้ขอร้องสื่อมวลชนให้นำเสนอข่าวตรงกับความเป็นจริง อย่าบิดเบือน โดยเฉพาะเรื่องพ่อ ที่ขณะนี้ยังแข็งแรงดีและทำงานอยู่ แต่รับความเครียดไม่ค่อยได้ จึงไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว จึงขอความเห็นใจจากสื่อด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อ 13 มี.ค. ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นายทองหลาง แพงศรีละคร ทนายความของ นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ศิวพร หรือเปมิกา เหลืองเรณูกุล หรือ วีรชัชรักษิต เป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว จำนวนทุนทรัพย์ 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี บ่ายวันเดียวกันนางเพลินจิตร นพ.ประกิตพันธ์ และนางอลิสา เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.เพื่อให้ช่วยดูแลเรื่องคดี โดยเฉพาะที่มาของสารอีเฟรดีน ที่ตรวจพบในร่างกาย นพ.ประกิตเผ่า กว่า 200 เท่า ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รับปากจะดูแลคดีให้ด้วยความเป็นธรรม พร้อมแนะนำว่าไม่ควรให้ข่าวสื่อมวลชน เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้อง พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะเป็นผู้พิจารณาและดำเนินการ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ในขณะเดียวกัน ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำหนังสือชี้แจงเรื่องข้อเท็จจริงของการตรวจพบสารอีเฟดรีน (ephedrine) ในปัสสาวะ นพ.ประกิตเผ่า โดย ศ.นพ.สมิง เก่าเจริญ หัวหน้าศูนย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า จากข้อมูลเบื้องต้นไม่แน่ชัดว่า ผู้ป่วยได้รับยา ephedrine แต่ยาแก้หวัด pseudoephedrine ผู้ป่วยรับประทานทุกวัน เนื่องจากเป็นโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยมีความผิดปกติมาเป็นเวลาหลายเดือนและหลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็ตรวจไม่พบสารดังกล่าวอีก ทำให้น่าเชื่อว่าสารดังกล่าวไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงหรือสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดอาการทางจิต น่าจะเป็นปัจจัยเสริมมากกว่า
ศาลยกคำร้อง “เปมิกา” ขอปล่อยตัว “หมอเผ่า” ชี้ป่วยทางจิตจริง!
“เปมิกา” ถูกฟ้องแล้ว! เรียกค่าสามีรวม 27 ล้าน
4.โจรชั่วยิงถล่มรถตู้โดยสารเจ็บ 2 ดับ 8/ประกาศเคอร์ฟิว 2 อ.ในจ.ยะลา
ประเด็นข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณี 14 มี.ค.ที่ผ่านมาเกิดเหตุคนร้ายมากกว่า 10 คนได้ก่อเหตุยิงถล่มรถตู้โดยสารประจำทางสายเบตง-หาดใหญ่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เบตง ทัวร์ (2007) อย่างโหดเหี้ยม ก่อนเข้าไปจ่อยิงหัวผู้โดยสารทีละคนเสียชีวิตถึง 8 ราย สาหัส 2 ราย โดยเหตุเกิดบนถนนสายบันนังสตา-ยะหา บริเวณบ้านอุเบ็ง หมู่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา สำหรับผู้บาดเจ็บสาหัส 2 คนถูกรักษาตัวโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ได้แก่ 1.นายอับดุลเราะมัน คาเดะ อายุ 40 ปี คนขับรถ 2.นางศุภวรรณ แซ่ลู่ ครูโรงเรียนเบตงสุภาพอนุสรณ์ อ.เบตง ส่วนผู้เสียชีวิต 8 รายได้แก่ 1.นายประวิช ชมพูทอง 2.น.ส.วิลาศิณี ชมพูทอง อายุ 16 ปี 3.นายอำนวย บัวบุตร 4.นางสาย บัวบุตร ภรรยาของนายอำนวย, 5.น.ส.กีรติ แซ่ลู่ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ 6.ส.ต.สิทธิพงศ์ หนูน้อย ทหารสังกัดกองพันปืนใหญ่ที่ 5 จ.สงขลา, 7.นางประจวบ แซ่ลิ่ม อายุ 40 ปี และ 8.หญิงไทยไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 40 ปี จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ต้องออกประกาศเร่งด่วน เพื่อควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้า 4 ฉบับ คือ 1.ประกาศห้ามประชาชนแต่งกายคล้ายหรือเลียนแบบเครื่องแต่งกายของทหาร ตำรวจ เนื่องจากที่ผ่านมา คนร้ายมักก่อเหตุโดยอาศัยการแต่งกายเลียนแบบทหาร แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ 2.ประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือเคอร์ฟิว ในพื้นที่อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ระหว่างเวลา 20.00-04.00 น. 3.ให้เจ้าของบ้านที่ให้ที่พักแก่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่บุคคลในภูมิลำเนา ให้เจ้าของบ้านมีหน้าที่ต้องแจ้งหน่วยทหารที่อยู่ใกล้เคียงและจะต้องพกบัตรประจำตัวประชาชน หรือใบเหลือง เพื่อแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ และ 4.ห้ามประชาชนพกพาหรือมีวิทยุสื่อสารไว้ในครอบครอง เนื่องจากพบว่าที่ผ่านมา คนร้ายมักใช้วิทยุสื่อสารติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎหมาย สำหรับสถานการณ์ล่าสุด หลังจากได้ประกาศเคอร์ฟิว เจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยที่ ต.ปะแต อ.ยะหา และได้ควบคุมวัยรุ่นต้องสงสัยที่ก่อเหตุคนร้ายยิงถล่มรถตู้ได้ 6 คน ในส่วนของประชาชนใน จ.ยะลานั้น หลังเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงขึ้นในพื้นที่ ก็ได้ออกมารวมพลังกันต่อต้านการก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะในส่วนของประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามทั้ง จ.ยะลา นั้นได้ร่วมกันประกอบพิธีละหมาดฮายัติ เพื่อขอความสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยการประกอบพิธีละหมาดดังกล่าวกระทำขึ้นทั้งหมด 456 มัสยิดในจังหวัด ด้านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ "นายกฯ พบสื่อทำเนียบฯ" ครั้งที่ 5 เมื่อ 15 มี.ค.ว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรง มีการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยม ตนได้มอบหมายให้นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย ลงไปดูแล ซึ่งรับปากที่จะลงไป รวมทั้งได้พูดกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการยิงผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ และจะต้องไปดูแลให้เหตุการณ์ลดลง รวมทั้งดูแลเรื่องการทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากขึ้น เพราะหากปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในลักษณะเช่นนี้ขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งกันต่อไปได้ในอนาคต พร้อมระบุว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน เพื่อให้ความคุ้มครองดูแลประชาชน โดยภายในสิ้นเดือนนี้จะมีการเพิ่มกำลังทหารพรานลงไป 20 กองร้อย ส่วนกำลังตำรวจขณะนี้ก็ขาดกำลังคนในระดับต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตร 3,000 คน และระดับสัญญาบัตรขาด 300 คน ซึ่งเราจำเป็นต้องปรับกำลังพลลงไป ในช่วง 6 เดือนที่รัฐบาลแก้ไขปัญหา เราพยายามที่จะค่อย ๆ ปรับและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ แต่เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า วันนี้เอาไปเพิ่มอีก 3,000 คน พรุ่งนี้เพิ่มอีก 20 กองร้อย มันทำไม่ได้ เพราะคนที่จะลงไปต้องรู้เรื่อง ต้องมีการฝึกเพื่อให้ทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ไม่ไปสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอีก นายกฯ ยังได้ปฏิเสธกระแสข่าวว่านายกรัฐมนตรีเตรียมที่จะสั่งปลด พล.อ.ไวพจน์ ศรีนวล ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติว่า ตนไม่ได้สั่งปลด ความจริง พล.อ.ไวพจน์ ได้เคยพูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะขออยู่เพียงแค่ 6 เดือน ทางกระทรวงกลาโหม ได้ขอตัวกลับไป ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนการพิจารณาหาคนที่จะมาแทนนั้น ก็กำลังพิจารณาอยู่
กองทัพภาค 4 ประกาศเคอร์ฟิว อ.ยะหา-บันนังสตา
บรรยากาศรดน้ำศพเหยื่อรถตู้เศร้าสลด – ชาวเบตงร่วมประณามโจรใต้
โจรชั่ว! ถล่มรถตู้ยะลาดับ 8 - จนท.ปะทะเดือดขณะเข้าช่วยเหลือ
5. คตส.เรียก"อ้อ-พี่ชาย"รายงานตัว 26 มี.ค.นี้/ "แม้ว-ศรีสุข”ถูกเรียกชี้แจงทุจริตซีทีเอ็กซ์ 26 มี.ค.นี้
ความคืบหน้าในการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยังคงได้รับความสนใสจากประชาชน โดยเมื่อ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.กล่าวถึงการดำเนินการในคดีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหินว่า กำหนดการส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นั้น ทางสำนักอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ส่งหนังสือมายังคตส.แล้ว โดยกำหนดให้มารายงานตัวต่ออัยการ ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษที่ 4 ถนนรัชดาภิเษกซึ่งหากทั้ง 3 คน ไม่ยอมไปรายงานตัวตามวันเวลาที่อัยการนัด จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนการรายงานตัว ทางคตส.จะพิจารณาว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร หรือยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับในกรณีเลี่ยงหมายศาล ทั้งนี้ผู้ต้องหาต้องยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมระบุว่า ในขั้นตอนต่อจากนี้ทั้ง 3 คนมีสิทธิ์ขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยต้องเตรียมหลักทรัพย์ค้ำประกันให้พร้อม ซึ่งไม่ทราบว่าศาลจะขอให้ใช้หลักทรัพย์เท่าใด คตส.คงไม่ติดใจในการคัดค้านการปล่อยตัว ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ส่วนเรื่องพยานก็ต้องแล้ว แต่ทางอัยการในฐานะโจทก์จะพิจารณาว่าจะให้ใครเป็นพยานในชั้นศาล คตส.ก็พร้อมจะไปเป็นพยาน ถ้าอัยการแจ้งมา ส่วนกรณีคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมิ มีนายอำนวย ธันธรา เป็นประธาน ได้มีหนังสือนัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม และนายศรีสุข จันทรางศุ อดีคบอร์ด บทม.มารับทราบข้อกล่าว พร้อมชี้แจงข้อกล่าวหาทั้งนี้ ตามระเบียบของ คตส.ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน จะมาด้วยตัวเองหรือส่งตัวแทนมารับทราบข้อกล่าวหาก็ได้นั้น เมื่อ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ และ นายไกรเมธ วรศะริน ทนายนายศรีสุข จันทรางศุ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแทน โดยนายสมพร ให้สัมภาษณ์หลังการรับฟับข้อกล่าวหานาน 3 ชั่วโมงว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX 9000 ได้แจ้งข้อกล่าวหาเป็นจำนวนมาก โดยอนุกรรมการไต่สวนฯได้นัดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาชี้แจงในวันที่ 29 มี.ค. เวลา 10.30 น. ส่วนจะมาด้วยตัวเองหรือชี้แจงเป็นลายลักษณะอักษร ตนขอปรึกษากับคณะทำงานฝ่ายกฎหมายก่อน ส่วนความผิดที่ถูกกล่าวหามี 2 ประเด็น คือ 1.เรื่องของสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ออกแบบ และปรับเปลี่ยนระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และสัมภาระผู้โดยสาร รวมถึงเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดระหว่าง บทม. กับกิจการร่วมค้าไอทีโอ ส่วนกรณีที่ 2. สัญญาจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX 9000 จากบริษัท จีอีอินวิชั่นโดยตรง ส่วนของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคมที่ถูกคตส. ชี้มูลคดีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 9000 และต้องมารับทราบข้อกล่าวหาในวันศุกร์ที่ 16 มี.ค.ปรากฏว่าล่าสุดนายสุริยะได้ติดต่อมายัง คตส.ว่าขอเลื่อนการเข้ารับ ทราบข้อกล่าวหาเป็นวันที่ 29 มี.ค.นี้อันเป็นวันเดียวกับที่ คตส.นัดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาชี้แจงกับอนุกรรมการไต่สวนคดี CTX 9000 ในวันเดียวกันนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม น้องเขย พ.ต.ท. ทักษิณ อดีตบอร์ด ทอท. ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX พร้อมกล่าวว่า การอนุมัติจัดซื้อของบอร์ดทำไปด้วยความถูกต้อง แต่การชี้แจงรายละเอียดจะขอไปให้ข้อมูลกับ คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ แต่ยืนยันว่าบอร์ดทำทุกอย่างถูกต้อง นายสมชาย ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังการชี้แจงกับอนุกรรมการไต่สวนฯว่า อนุกรรมการฯตัดให้ตนมาชี้แจงข้อกล่าวหาในวันที่ 28 มี.ค.ซึ่งตนพร้อมให้ ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เชื่อว่าจะชี้แจงข้อกล่าวหาได้ทั้งหมด ส่วนขั้นตอนต่างๆ ในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX นั้น สามารถตรวจสอบจากเอกสารได้
น้องเขย “แม้ว” โวยติดร่างแห CTX - ลั่นแจง คตส.28 มี.ค.นี้
“แม้ว-อดีตบอร์ด ทอท.” ส่งทนายรับทราบข้อหาโกงซีทีเอ็กซ์แล้ว
“แม้ว-สุริยะ” ส่งทนายรับข้อหา - โกงซีทีเอ็กซ์ แทนวันนี้
6.ไอซีที โต้เงินประกันฉาว 33 ล้านซุกสิงคโปร์รับเป็นเงินของรัฐร่วมเอกชน
ข่าวฮอตอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีการโอนเงินประกัน 33 ล้านเหรียญของไทยคม 3 ในสมัยที่คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ เป็นปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปยังบัญชี Escrow ประเทศสิงคโปร์นั้น 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ไอซีทีได้มีการแถลงข่าว โดยนายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงไอซีที ได้มอบหมายให้นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงไอซีที ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานฯ เป็นผู้ชี้แจง นายไชยยันต์กล่าวว่า เรื่องค่าสินไหมกรมธรรม์ประกันภัยดาวเทียม การพิจารณาในช่วงนั้นได้ผ่านการเห็นชอบร่างสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ก่อนที่กระทรวงไอซีทีจะลงนามในร่างสัญญา ซึ่งกระทรวงได้ดำเนินการเป็นไปตามข้อสัญญาดำเนินการกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ทุกขั้นตอน โดยในสัญญานั้นระบุว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมระหว่างรัฐ และเอกชน ไม่ใช่เงินราชการฝ่ายเดียว ซึ่งนักกฎหมายของกระทรวงพิจารณาแล้วเห็นว่า การนำเงินไปใช้ตามกรอบของสัญญาจึงนำเงินในบัญชีไปสู่การออมทรัพย์เพื่อสร้างดาวเทียมใหม่ และเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมชั่วคราว สำหรับขั้นตอนการพิจารณานั้น ไม่เคยมีฝ่ายการเมืองแทรกแซง โดยยึดปฏิบัติตามกรอบสัญญาเคร่งครัด หลังจากนั้นทางบริษัทประกันได้โอนเงินไปยังธนาคารกรุงเทพ สาขาสิงคโปร์ ที่กระทรวงไอซีที และบริษัท เปิดบัญชีประเภท เอสโคร แอคเคาน์ เอาไว้ ซึ่งบัญชีประเภทนี้ การใช้จ่ายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งกระทรวงไอซีที และบริษัทชินแซท พร้อมทั้งเห็นชอบให้ตั้งธนาคารกรุงเทพ เป็นคนกลาง หรือเอสโคร เอเจนต์ เพื่อทำการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยจ่ายตรงไปยังดาวเทียมอินเทลแซท และผู้จัดสร้างดาวเทียมไทยคม 5 นายไชยยันต์ กล่าวอีกว่า การที่ไม่โอนเงินเข้าคลังก็เห็นว่าเงินที่โอนมาเป็นเงินสกุลดอลลาร์ หากโอนมาไทย และโอนไปยังต่างประเทศ จะทำให้ค่าเงินผันผวนและมีค่าใช้จ่ายสูง อาจทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยไม่ควร ซึ่งค่าเงินช่วงนั้นมีอัตราที่ผันผวน ด้านคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจ่ายจากธนาคารในประเทศสิงคโปร์ และการประกันการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่จะเป็นค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมชั่วคราว การซ่อมแซมดาวเทียมที่ชำรุด หรือการจัดซื้อดาวเทียมดวงใหม่ จะดำเนินการในสกุลดอลลาร์สหรัฐ จึงจำเป็นต้องคงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่บริษัทประกันภัยชดใช้ให้ เนื่องจากหากเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท และเปลี่ยนจากสกุลเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจ่ายเป็นค่าเช่าสัญญาดาวเทียมชั่วคราวแล้วจัดหาดาวเทียมดวงใหม่ จะทำให้ยอดเงินใหม่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่ำกว่ายอดเงินค่าสินไหมทดแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่าง ดังนั้น การนำเงินสินไหมทดแทนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาในประเทศไทย จะสร้างความเสียหายต่อราชการโดยไม่จำเป็นจากสาเหตุส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน พร้อม ยืนยันว่า ทำตามเงื่อนไขข้อสัญญา และพร้อมรับผิดชอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ เพราะเราทำงานเป็นทีม เรื่องนี้เป็นการทำงานที่ตรงไปตรงมาจริง ๆ ถ้าทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะตรวจสอบก็ต้องไปตรวจสอบที่กระทรวงไอซีที เพราะเอกสารทั้งหมดอยู่ที่นั่น ตนพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ เพราะเรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอนของทางราชการ และตนก็ทำตามข้อสัญญาที่กระทรวงคมนาคมทำไว้กับ บริษัทชินแซทเทลไลท์ แต่ภายหลังโอนมาเป็นภารกิจของกระทรวงไอซีที
“ทิพาวดี” โบ้ยทีม กม.ไอซีที ไฟเขียวโอนเงินประกันไทยคมพันล้าน
7.“ทิพาวดี” โยน ขรก.รับผิดชอบภาคปฏิบัติดูแลทีไอทีวี/แฉ"เอสดียู"ส่อผิดระเบียบ
ประเด็นการรัฐบาลอุ้มไอทีวี ยังคงเป็นข่าวฮอตในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย 15 มี.ค.ที่ผ่านมา คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ระบุถึงความคืบหน้าในการดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานบริการรูปพิเศษ (เอสดียู) เพื่อบริหารจัดการสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี หลังจากที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้หรือร่วมกับผู้ผลิตรายการในสถานีฯ ว่า ในการดำเนินการนั้นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และอธิบดีกรมบัญชีกลาง จะเป็นผู้ดำเนินการ โดยตนได้ให้นโยบายและทิศทางดำเนินการไปแล้ว อย่างไรก็ตามในระดับปฏิบัติ ก็จะเป็นหน้าที่ที่ฝ่ายข้าราชการประจำจะดำเนินการต่อไป พร้อมยันว่า จะไม่ตอบโต้เรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าอุ้มพนักงานสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเดิม เพราะสังคมกำลังสับสนและกำลังบอบช้ำไปเรื่อยๆ ดังนั้นจึงขอยืนยันว่า เมื่อเป็นข้าราชการก็จะต้องทำงานอย่างซื่อตรง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นจาก 4 ฝ่าย ทั้งสื่อมวลชน นักวิชาการ เอ็นจีโอ และภาคประชาชน โดยมี นางดรุณี หิรัญรักษ์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นประธานฯ ด้านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าในรายการ นายกฯ พบสื่อทำเนียบ ครั้งที่ 5 กล่าวถึงนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารทีไอทีวีว่า การดำเนินการในช่วงสั้น ๆ ขณะนี้ได้มอบหมายให้คุณหญิงทิพาวดี ไปดำเนินการตามมติ ครม.แล้ว โดยสิ่งที่จะทำคือการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว คุณหญิงทิพาวดีจะรายงานให้ตนทราบภายใน 1 เดือน ในขณะที่แหล่งข่าวจากผู้จัดรายการซึ่งเช่ารายการจากไอทีวีเดิม กล่าวว่า สิ้นเดือนนี้ไม่รู้จะจ่ายเงินค่าเช่าเวลาสถานีทีไอทีวีให้กับใคร เพราะสัญญาเดิมนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว ขณะที่ยังไม่มีสัญญาใหม่จากกรมประชาสัมพันธ์ หรือ วิธีปฎิบัติจากทางการ ดังนั้นผู้จัดรายการหลายรายจึงรู้สึกว่า การจัดการของรัฐบาลมั่ว และส่อเค้าว่าจะไม่มีรายได้ตามที่คาดหวังไว้ ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการทีไอทีวีที่สปน.พยายามหาทางออกด้วยการเสนอให้ ก.พ.ร.พิจารณาตั้งองค์กรพิเศษหรือที่เรียกว่า SDU เข้ามาบริหารจัดการนั้น เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมาได้ถูก คณะกรรมการ กพร. ตีตกไปเพราะ กพร. แค่เห็นด้วยในหลักการ แต่ให้กรมประชาสัมพันธ์ไปทำเรื่องให้ถูกต้องตามขั้นตอนและกฎเกณฑ์ของกฎหมายและระเบียบเสียก่อน และจะมีการพิจารณาใหม่ในวันที่ 19 มี.ค.นี้ แต่เบื้องหลังที่แท้จริง คณะกรรมการก.พ.ร.หลายคนเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวเหมือนเป็นความดันทุรังของรัฐบาล เพราะการจัดตั้งเอสดียูผิดกฎหมายผิดระเบียบอย่างชัดเจน
ปลัด สปน.ลุยอุ้มไอทีวีดัน ครม.แก้ระเบียบรองรับเอสดียู
“ทิพาวดี” โบ้ยปลัด สปน.รับผิดชอบทีไอทีวี - ไม่โต้อ้างสังคมสับสน