xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 ก.พ.2550

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพขุนพันธ์

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1.สมเด็จพระบรมฯ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ "ขุนพันธ์"/ปชช.แห่ร่วมนับแสน

เย็น 22 ก.พ.ที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิการฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ "ขุนพันธ์"อดีตนายตำรวจมือปราบจอมขมังเวทย์ชื่อดังของภาคใต้ ณ เมรุวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งบรรยากาศภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารคึกคักตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 21 ก.พ.ก้าวเข้าสู่วันที่ 22 ก.พ. โดยประชาชนจากทุกสารทิศได้ทยอยเดินทางเข้าสู่บริเวณลานวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ "ขุนพันธ์" ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปิดการจราจรในบริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นถนนหลักทั้งหมด เพื่อการรองรับคลื่นประชาชนจำนวนมากที่ทยอยเข้าสู่บริเวณพิธีจนเต็มความจุในบริเวณวัด แม้ในช่วงกลางวันอากาศจะร้อนจัด แต่ประชาชนก็ยังคงทยอยเดินทางเข้ามาจนร่วมแสนคน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารสารวัตร และกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 4 รวมทั้งอาสาสมัครรักษาดินแดน กองปราบอาสาและเหยี่ยวแจ้งอาชญากรรมแต่งเครื่องแบบเข้าร่วมในการดูแลความปลอดภัยกว่า 4 พันคน ส่วนบริเวณลานพิธี ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด เนื่องจากเป็นบริเวณเขตพระราชฐานชั่วคราวได้มีการเตรียมพร้อมในทุกด้านทั้งพลับพลาที่ประทับและบนเมรุชั่วคราว ซึ่งมีการเคลื่อนศพของ "ขุนพันธ์" ที่บรรจุอยู่ในหีบทองสลักลายพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาตั้งอยู่บนจิตกาธานตั้งแต่เวลา 15.00 น.วันที่ 21 ก.พ. ทั้งนี้ ภายในวัดได้มีการจัดสถานที่ไว้ 2 ส่วน โดยบริเวณหน้าลานศาลา 100 ปี เป็นที่ตั้งเมรุ ได้ตั้งเต็นท์สำหรับข้าราชการและแขกพิเศษ ส่วนที่ลานทรายหน้าพระบรมธาตุเจดีย์เป็นเต็นท์ประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าวัดมีการนำวัตถุมงคล หนังสือ และภาพถ่ายของ "ขุนพันธ์" มาตั้งจำหน่ายจำนวนมาก ซึ่งได้รับความสนใจมากถึงกับเบียดเสียดแย่งกันซื้อ ถึงแม้ราคาขยับขึ้นจากเดิมหลายเท่า หลังจากเสร็จพิธีพระราชทานเพลิงศพ ช่วงเวลา 18.00 น.ประชาชนเรือนแสนได้พากันเฮโลเข้าบริเวณหน้าเมรุจนแน่นขนัดหลายคนถึงกับเป็นลมเพื่อรับเหรียญที่ระลึก จนทำให้บรรยากาศดูชุลมุนวุ่นวาย แม้เจ้าหน้าที่จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนอยู่ในความระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากประชาชนต้องการรับแจกเหรียญที่ระลึก ซึ่งเป็นเหรียญรูปเหมือนของ "ขุนพันธ์" ที่เตรียมไว้กว่า 60,000 เหรียญ ปรากฏว่าเหรียญไม่เพียงพอต่อความต้องการของคลื่นมหาชน แต่ทางเจ้าภาพก็ได้จัดทำคูปองแจกให้กับผู้ที่ไม่ได้รับเพื่อนำมารับใหม่ในภายหลัง พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 5 ก.ค.49 ด้วยอายุ 108 ปี เป็นนายตำรวจชาว จ.นครศรีธรรมราช ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักและยอมรับของคนในภาคใต้ ในด้านการปราบปรามโจรผู้ร้าย จนเป็นที่เกรงกลัวของขุนโจรภาคใต้ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สนใจในด้านประวัติศาสตร์คติชนวิทยาและไสยศาสตร์เป็นพิเศษโดยเฉพาะในเรื่องของการเป็นเจ้าพิธีกรรมต่างๆ และเป็นเจ้าพิธีกรรมหลักในการจัดสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชและเป็นผู้ที่เปิดเผยในเรื่องราวของ "องค์จตุคามรามเทพ" จนเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชนทั่วประเทศ

พระบรมฯ เสด็จพระราชทานเพลิงศพ “ขุนพันธ์”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดิน
2."สนธิ"จี้รัฐบาลแจงเหตุให้"ลอดช่อง"ใช้สนามบินอุดรฯ-จวก"ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ"ปกป้องค่าเงินเจ๊ง 1.74 แสนล้าน

รายการ"ยามเฝ้าแผ่นดิน" ซึ่งออกอากาศทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และ เอเอสทีวี เมื่อ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการฯกล่าวถึงเรื่องที่รัฐบาลไทยในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และสมัย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ยอมให้รัฐบาลสิงคโปร์มาใช้ฐานทัพหรือสนามบินทหารของไทยที่กองบิน 23 ที่จังหวัดอุดรธานีเป็นเวลา 15 ปี เพื่อแลกกับเครื่องบินเอฟ 16 รุ่นเก่า 7 ลำ พร้อมโต้แย้งคำอธิบายของ น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศที่ออกมาชี้แจงว่า เป็นแค่การบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูไม่ใช่การทำข้อตกลงเช่าสนามบินว่า หากเป็นการเซ็นเอ็มโอยูจริงทางกองทัพอากาศและรัฐบาลจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนและให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสื่อมวลชนได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม นายสนธิ ยังเชื่อมั่นว่าเป็นการให้เช่าฐานทัพไม่ใช่การทำบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูอย่างที่มีการอ้างกัน โดยได้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเอ็มโอยูกับการทำข้อตกลงว่า เอ็มโอยูจะมีข้อจำกัดด้านเวลาช่วงสั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุไม่เกิน 1 ปี แต่ที่ผ่านมามีการใช้สนามบินมานาน 3-4 ปีแล้ว และที่ผ่านมาถ้าจำกันได้ทางการสิงคโปร์ได้มอบเครื่องบินเอฟ 16 เก่าๆไม่กี่ลำให้ไทยมาใช้ ลักษณะเหล่านี้ถือว่าไม่น่าจะใช่ลักษณะของการเซ็นเอ็มโอยู ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้เปิดเผยให้ชัดเจน ถ้าไม่เปิดเผยจะทำให้สงสัยว่าเป็นข้อตกลง นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณีมีข่าวว่า กองทุนเทมาเส็กจะขายหุ้นที่ลงทุนในเครือชินคอร์ปทั้งหมด 1 แสนล้านบาทและนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที ได้ออกมาเตือนนักลงทุนว่า นี่เป็นการปั่นหุ้นนั้นว่า อยากเรียกร้องให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงบทบาทเพื่อปกป้องนักลงทุน และดำรงความยุติธรรมให้มากกว่านี้ โดยระบุว่าที่ผ่านมากลต.ไม่เคยแสดงท่าทีหรือสร้างความชัดเจนโดยยกตัวอย่างกรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป หรือแม้ล่าสุดเมื่อมีข่าวจะมีการขายหุ้นชินคอร์ป ทางกลต. ก็ยังไม่มีการเรียกเทมาเส็กมาชี้แจงว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพื่อให้นักลงทุนได้ตัดสินใจ กลายเป็นว่าคนที่ออกมาเตือนนักลงทุนไม่ให้ตื่น หรือตกเป็นเหยื่อของการปั้นหุ้นเป็นรัฐมนตรีไอซีที แทนที่จะเป็น กลต.หรือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมันตลกสิ้นดี ส่วนเรื่องหุ้นของไอทีวีตกลงเหลือไม่ถึงหุ้นละ 1 บาทแล้ว นายสนธิกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเวลานี้ทางเทมาเส็กได้ทิ้งไอทีวีไปแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ไอทีวี ยังเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ว่าจะมีการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้เทมาเส็กทั้งหมด แต่มีการทำข้อตกลงให้มีการซื้อคืนภายหลังเป็นบางบริษัทซึ่งจริงๆ แล้วเทมาเส็กไม่ได้ต้องการ ซึ่งสาเหตุที่ทางสิงคโปร์ยอมทำแบบนี้เพราะยังเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ในอำนาจอีกนาน หรือแม้แต่เมื่อมีการยึดอำนาจแค่ 2 เดือนก็ยังเชื่อว่าอีกไม่นาน พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง โดยพยายามซื้อเวลาขอจ่ายค่าสัมปทานค้างจ่ายค่าสัมปทาน 2.2 พันล้านบาท ไปก่อนส่วนค่าปรับ 9.7 หมื่นล้านบาทจะใช้วิธีต่อสู้กันในศาล ซึ่งคงใช้เวลานานหลายปี แต่เมื่อทุกอย่างห่างไกลออกไปทุกทีจึงต้องยอมปล่อย และฟางเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่คือ การร้องขอความคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครอง แต่เมื่อศาลไม่รับฟ้องทุกอย่างก็จบกัน และเชื่อว่าในวันที่ 6 มี.ค.ทางสำนักนายกรัฐมนตรีจะยึดสัมปทานกลับคืนมาแน่นอน นายสนธิ ได้ให้ความเห็นกรณีที่นางอัจนา ไวความดื รองผู้ว่าการธนาคารแห่งปะรเทศไทย (ธปท.) แถลงข่าวปฏิเสธว่า งบการเงินของ ธปท.ในปีที่ผ่านมาได้ไม่ได้ขาดทุนถึง 3 แสนล้านบาท ตามที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวแต่เป็นการขาดทุนทางบัญชีประมาณ 1.74 แสนล้านบาทว่า ไม่จะขาดทุน 3 แสนล้าน หรือ 1.74 ล้าน ก็เป็นการขาดทุนอยู่ดี และเป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลของ ธปท. ขณะนี้เหมือนอยู่ในแดนสนธยา ในการแถลงของ นางอัจนา ไม่มีการแยกแยะข้อมูลตัวเลขให้ชัดเจนว่าเป็นการขาดทุนจากส่วนใดบ้าง นายสนธิ กล่าวต่อว่า นางอัจนาแถลงยอมรับว่า งบดลของ ธปท.ขาดทุนประมาณ 1.74 แสนล้านบาท แต่ก็แถลงเฉยๆ ไม่ทำอะไร เหมือนกับว่าเงิน 1.74 แสนล้านบาทเป็นจำนวนเล็กน้อย และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ในเมื่อการขาดทุนของ ธปท.ครั้งนี้ เป็นกรณีเดียวกันกับที่นางเริงชัย เอาเงินทุนสำรองไปสู้ค่าเงินบาท แล้วทำให้ ธปท.เสียหาย แต่นายเริงชัยถูกฟ้อง แล้วครั้งนี้ทำไมไม่ฟ้องนางธาริษา หรือย้อนไปฟ้อง อดีตผู้ว่าฯ ธปท. คนก่อนคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นายสนธิยังระบุด้วยว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตรวจสอบ แต่อยู่ที่ระบบที่เราทำให้เงินบาทมี 2 ราคา นี่คือหายนะของประเทศชาติ เดี๋ยวนี้มีนักการเมืองขนเงินไปต่างประเทศทุกวัน เงินบาทไปอยู่ประเทศสิงคโปร์แล้วถึงแสนกว่าล้าน ถ้าเขาเอามาโจมตีค่าเงินบาทเราเมื่อไหร่ เราเจ๊งแน่ นายสนธิ ได้ปิดท้ายรายการ โดยระบุว่า การออกมาเตือนประชาชนให้ระวังการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานครว่า เหตุร้ายอาจจะเกิดขึ้นในกรุงเทพฯได้อีก แต่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดจากปัญหาภาคใต้หรือไม่ ตนเห็นด้วยที่รัฐบาลเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่อย่าให้ตระหนก ตนเชื่อว่าการก่อการร้ายจริงๆ ยังมีเป้า หมายอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากมีการก่อการร้ายเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่กระบวนการแบ่งแยกดินแดน

ยามเฝ้าแผ่นดิน:“สนธิ”จี้เอาผิด “ธาริษา”ทำชาติเจ๊งซ้ำรอย“เริงชัย”
“สนธิ”จี้เอาผิด ผู้ว่าฯ ธปท. ทำชาติเจ๊งซ้ำรอย“เริงชัย”ปี 40


3.“สมคิด”ยอมลาออกจากประธานกก.ประสานงานฯ-"สนธิ"ตำหนิยังทำตัวขี่ม้าเลียบค่าย

หลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้รับการแต่งตั้ง เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และถูกกดดันจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เมื่อ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสมคิด ได้เปิดแถลงข่าวขอถอนตัวจากตำแหน่งดังกล่าวแล้วโดยพยายามอธิบายว่า ไม่สบายใจ หากความตั้งใจดีในการที่จะเข้ามาช่วยบ้านเมือง จะกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการ ไม่เข้าใจ แตกแยกมากไปกว่านี้ จึงกราบเรียนปรึกษากับนายกฯว่าอยากให้ยุติความขัดแย้งนี้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เป็นภาระกับท่านนายกฯ จะขอถอนตัวก่อนในช่วงนี้ เพื่อให้ความขัดแย้งนี้หมดไป เพื่อให้บ้านเมือง มีความสงบ เพราะรัฐบาลเหลือเวลาอีกเพียง 7-8 เดือน ก็จะมีการเลือกตั้ง อย่าให้ตนเป็นประเด็นทางการเมืองที่จะเป็นชนวนแห่งความแตกร้าว เพราะใจของตนนั้น ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา คือทำงานให้บ้านเมือง ไม่ใช่ทำงานให้บ้านเมืองวุ่นวาย ท่านนายกฯ ก็อนุญาต พร้อมระบุว่า การถอนตัวครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกดดัน รู้ว่าถ้าดื้ออยู่ต่อ นายกฯต้องออกมาปกป้องแน่นอน แต่ถามว่าบ้านเมืองส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์อะไร ไม่มีตำแหน่ง ตนก็ไปได้ คนระดับรัฐมนตรี หัวหน้าภาคเอกชน เขาก็ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว ฉะนั้นตำแหน่งนั้นไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดเลย นายสมคิด กล่าวด้วยว่า มีผู้คลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของตนกับพ.ต.ท.ทักษิณ อยากบอกว่าหลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ตนไม่เคยติดต่อกับพ.ต.ท. ทักษิณ ท่านมีความคิด มีแนวทางในการดำเนินงานของท่าน ตนก็มีความคิด มีหลักการและมีแนวทางในการดำเนินงานของตัวเองอย่างเป็นอิสระ เด็ดขาด แยกออกจากกันชัดเจน จริงๆ แล้วแนวความคิดของท่านกับของตนนั้นเป็นคนละแนวทาง ซึ่งความแตกต่างของแนวทางและความคิดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่เกิดขึ้นหลายปีก่อนหน้า จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ไว้ใจ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง และอะไรอีกหลายอย่างในภายหลัง พร้อมระบุว่า มีโอกาสได้พบกับพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี 2-3 ครั้ง ซึ่งล่าสุดได้สนทนาและสรุปถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเกิดขึ้นว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์จากต่างประเทศที่มองดูประเทศไทย เพราะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนด้วยการมองเหตุการณ์ และตีความนโยบายเศรษฐกิจ บางนโยบายด้วยความคลางแคลงใจ ไม่เข้าใจ คิดว่าประเทศไทยกำลังย้อนหลัง จะปิดประเทศ ปฏิเสธนักลงทุนต่างประเทศ กำลังจะกลับไปสู่ระบอบเผด็จการหรืออย่างไร ทัศนคติที่ผิดๆ เหล่านี้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งตรงนี้สำคัญอย่างยิ่งจะต้องเร่งทำการชี้แจงให้เข้าใจชัดเจน ก่อนที่จะลุกลามออกไป นี่คือ ที่มาของการมอบหมายภารกิจให้ตนเข้าไปทำงานนั้น ไม่ใช่เพื่อไปกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง หรือวางทายาทแต่อย่างใด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่างถึงการถอนตัวของนายสมคิด ว่า ทราบการถอนตัวของ นายสมคิด เรียบร้อยแล้ว โดยนายสมคิด ได้มาพูดกับตนเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยบอกว่า ไม่อยากให้ตนเดือดร้อน ไม่อยากให้เป็นปัญหา และจะขอลาออก ซึ่งก็เคารพ ในความคิดของนายสมคิด ส่วนจะมองหาคนอื่นที่จะมาทำหน้าที่แทนไว้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณา ส่วนคณะกรรมการฯชุดนี้คงจะต้องยุบไปก่อน เพราะเมื่อนายสมคิด ซึงถือเป็นผู้ที่จะสามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้ลาออกไปก็ต้องยุติ ด้านม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่านายสคิด ลาออกไม่เกี่ยวกับตน ซึ่งตนและนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม ก็พร้อมที่จะทำงานด้านนี้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งใครมาดูแลใหม่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ ผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวถึงนายสมคิดว่า หากนายสมคิด คิดจะเล่นการเมืองต่อไปต้องเลิกกล้าที่จะขอโทษ กล้ายืนหยัด เพราะถ้อยแถลงในวันนี้ยังไม่มีคำใดที่เป็นคำขอโทษ ยังทำตัวขี่ม้าเลียบค่าย ไม่อธิบายความแตกต่างระหว่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทักษิโณมิกส์ที่ตัวเองมีส่วนเป็นผู้สร้างขึ้นมาน่าเสียดายที่นายสมคิดพลาดโอกาสทองนี้ไป คำขอโทษซักคำก็ไม่มี หากพูดมาหลายๆ เรื่องก็น่าจะจบ และหากอธิบายและยอมรับว่าทักษิโณมิกส์มีข้อผิดพลาด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะสมมากกว่า ตรงนี้ตนคิดว่า ประชาชนจะยอมให้อภัยเขา ในขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา และ ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การตัดสินใจลาออกของนายสมคิด เป็นสปิริตทางการเมือง เพราะบทเรียนสำคัญที่สังคมไทยเจ็บปวดคือ เรามีนักการเมืองที่เห็นแก่ตัว คำนึงถึงแต่อำนาจและผลประโยชน์ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่ยอมเสียสละจากเก้าอี้จนทำให้สถานการณ์ สายเกินแก้ แต่น่าเสียดายที่นายสมคิด ไม่ได้แจกแจงจุดยืนและความผิดพลาด ต่อเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิก ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะการบูชาแนวคิดทุนนิยมสุดขั้ว เปิดเสรีทุกๆ ด้าน ทั้งการทำ FTA การขายรัฐวิสาหกิจ และประชานิยมที่กระตุ้นการบริโภคของรากหญ้าจนเป็นหนี้ล้นระบบ ข้อเท็จจริงเหล่านี้สังคมเจ็บปวดมาก นายสมคิดต้องหาโอกาสชี้แจงเพราะเป็นมันสมองของทักษิโณมิกส์ ถ้ายังคิดจะเดินอยู่บนถนนการเมือง อดีตที่เจ็บปวดจะตามหลอกหลอนนายสมคิดอย่างแน่นอนหากไม่ชำระสะสาง ส่วนอนาคตทางการเมืองของนายกสมคิด ล่าสุด 22 ก.พ.ที่ผ่านมา นายพิมล ศรีวิกรม์ เลขานุการส่วนตัวนายสมคิด กล่าวว่า นายสมคิด, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ตนและทีมงานในกลุ่มได้มีการประเมินถึงสถานการณ์การเมือง และความพร้อมในการทำงานด้านการเมืองเต็มตัว ซึ่งเบื้องต้นคาดว่านายสมคิดเองมีความสนใจในการทำงานการเมืองแบบเต็มตัว แต่ที่ยังไม่สามารถระบุความชัดเจนในขณะนี้ว่าจะเป็นไปในแนวทางใดในขณะนี้ก็เนื่องจากต้องรอดูความชัดเจนของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย

“สมคิด” เล็งตั้งพรรคฯ ดึงนักวิชาการ-ส.ส.น้ำดี ร่วมทัพ
“สนธิ” เสียดาย “สมคิด” เคลียร์มลทินไม่จบ - มัวขี่ม้าเลียบค่าย
“สมคิด” อ้างสมานฉันท์ถอนตัว ลั่น! กับ “แม้ว” ทางใครทางมัน!!
ครป.หนุนสปิริต “สมคิด” จี้แจง “ทักษิโณมิกส์” ล่มสลาย


4.เครือข่ายสมัชชาฯตะเพิด "ทหารสิงคโปร์"พ้น"กองบิน 23"-ทอ.อ้างเป็น MOU ไม่ใช่เช่าพื้นที่

ประเด็นการไล่ตะเพิดสิงคโปร์ออกจากประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นน่าสนใจ โดยเมื่อ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายสมัชชาประชาชนภาคอีสาน และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศกว่า 500 คน ได้เดินขบวนไปยังสนามบินกองบินที่ 23 อุดรธานี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกสัญญาให้รัฐบาลสิงคโปร์เช่าสนามบินกองบิน 23 เป็นเวลา 15 ปี เพื่อเป็นฐานฝึกบินของทาหารอากาศสิงคโปร์ หลังจากที่มีการลงนามสัญญาไปเมื่อปี 2547 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลสิงคโปร์ครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ชุมชนได้มีการแจกสติกเกอร์สี่เหลี่ยมรูปเครื่องบินรบด้านบนมีข้อความว่า "THIS LAND" ด้านล่างมีข้อความว่า "NOT FOR RENT"ให้แก่ประชาชนสองข้างทาง พร้อมแจกแผ่นผ้าข้อความว่า "SINGAPORE GET OUT" ด้วย กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้ถือป้ายข้อความต่างๆ อาทิ ทวงคืนกองบิน 23 จากสิงคโปร์, สิงคโปร์เก็ตเอาต์ อย่ามาหาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทย ไสหัวออกไป พร้อมกับมีมีการตะโกนคำว่า "สิงคโปร์...ออกไป"เป็นระยะ พร้อมกับถือป้ายผ้าที่เขียนข้อความว่า "สมัชชาประชาชนอีสานไม่เอาสิงคโปร์"... "สิงคโปร์ ออกไป" โดยแกนนำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีหลายคน อาทิ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์,นายสมศักดิ์ โกสัยสุข,ทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เมื่อเดินทางไปถึงตัวแทนผู้ชุมนุมได้อ่านแถลงการณ์ ประกาศจุดยืนที่จะร่วมกันปกป้องแผ่นดินไทย และทวงคืนสมบัติชาติจากสิงคโปร์และพวก ทั้งดาวเทียม วงโคจรในอวกาศ คลื่นมือถือ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ซึ่งเป็นสมบัติชาติ ที่บริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นบริษัทของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สัมปทานแต่กลับนำไปขายต่อให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของรัฐบาลสิงคโปร์ อย่างฉ้อฉลด้วยเล่ห์เพทุบาย ถือเป็นความไร้ยางอาย ไม่รักชาติ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวของคนไทยแบบ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก โดยร่วมมือกับต่างชาติที่คิดเอาแต่ได้ อย่างกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ จนทำให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และโฆษกรัฐบาลออกมาบอกต่อสื่อว่า คนไทยอยากได้ดาวเทียมที่เป็นสมบัติชาติคืน ฯลฯ หลังจากอ่านแถลงการณ์จบ ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมฯ ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกต่อนาวาอากาศเอก สุรศักดิ์ พุ่มทอง ผู้บังคับการกองบิน 23 อุดรธานี เพื่อส่งมอบให้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ทบทวนยกเลิกการทำพันธะสัญญาทุกฉบับที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ทำกับรัฐบาลสิงคโปร์ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยและความมั่นคงของไทย ส่วนอีกฉบับได้ยื่นถึงนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องให้หยุดความเห็นแก่ตัวที่ทำธุรกิจแบบฉ้อฉล หยุดความพยายามแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน และส่งมอบสมบัติของแผ่นดินไทยกลับคืนมาให้หมด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยังไม่ได้มีการพิจารณาหรือพูดคุยกัน เพราะนโยบายของรัฐบาลจะพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นหลัก ไม่เฉพาะประเทศสิงคโปร์ รวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียนก็จะไม่ให้เกิดผลกระทบต่อด้านความสัมพันธ์ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง ในขณะที่ น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า การฝึกบินของกองทัพอากาศสิงคโปร์ เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ(MOU)ระหว่างรัฐบาลไทย-สิงคโปร์ ที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยพล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็นผบ.ทอ. ในการสนับสนุนด้านการฝึก และการส่งกำลังบำรุงระหว่างกองทัพอากาศไทยกับกองทัพอากาศสิงคโปร์ ไม่ได้เป็นการเช่าพื้นที่กองบินแต่อย่างใด จึงขอให้ประชาชนเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง ขณะที่ พ.อ.มาร์ค โก๊ะ ผู้ช่วยทูตทหารสิงคโปร์ประจำประเทศไทย กล่าวปฏิเสธถึงกรณีที่บทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ อ้างถึงกองทัพบกสิงคโปร์เข้ามาใช้พื้นที่ฝึกในประเทศไทยที่ จ.อุดรธานี และ จ.กาญจนบุรี ในลักษณะเป็นสายลับว่า กองทัพบกสิงคโปร์ ไม่ใช่ "spy" (สายลับ)ตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงที่ได้ทำอย่างถูกต้องระหว่างกองทัพกับรัฐบาลไทย ตนยืนยันว่า มันไม่จริง รวมทั้งกรณีที่มีการพาดพิงว่ากองทัพบกสิงคโปร์เคยให้การสนับสนุนให้กลุ่มกระเหรี่ยง เคเอ็นยู ระหว่างเข้ามาฝึกในค่ายฝึกไทรโยค จ.กาญจนบุรี ก็ไม่เป็นความจริง พร้อมระบุว่า ตอนนี้กองทัพบกสิงคโปร์ยังฝึกอยู่ที่ค่ายฝึกกาญจนบุรีภายใต้แผนการฝึก 207 ซึ่งเป็นการฝึกตามรหัสเครสเชนโด้ รวมถึงการฝึกคอบร้าโกลด์ เป็นการดำเนินการที่ทำกันประจำทุกปี ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างกองทัพของสองประเทศ ซึ่งความสัมพันธ์ของกองทัพอยู่ในระดับดีมาก แม้จะมีปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมาบ้างก็ตาม

อีสานรุกทวงสมบัติชาติ - “อลงกรณ์” แนะซื้อหุ้นชินฯคืนหลังราคาร่วง
ม็อบรักชาติเผาหุ่นนายกฯสิงคโปร์พร้อมผู้ว่าฯอุดร - ร่ายกวีความชั่ว “แม้ว” ไม่ต่างออญาจักรี


5."อ.ธีรยุทธ"ตั้งฉายา"รัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่า" /แนะตั้งคณะกรรมการฯล้าง "ระบอบแม้ว"

ฮือฮากันอีกครั้งหลัง นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)และรัฐบาล พร้อมตั้งฉายารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ว่า เป็น"โรคต่อมความดีโต และต่อมอำนาจโต" เช่นเดียวกับชนชั้นนำทั่วไปของไทยคือ มีความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี ตั้งใจทำงาน มีเจตนาดี ความชั่วย่อมจะต้องแพ้ความดี การเข้ามาทำงานให้กับผู้อื่นถือเป็นความดีของตัวเอง จึงกลายเป็นผู้รับไม่ได้ เป็นผู้ให้จริงๆ เป็นเหตุให้รัฐบาลมีทัศนคติผิดพลาดว่า ตัวเองเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่ประคองสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องสืบทอดเป้าหมายการรื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณ และเมื่อมีอำนาจแล้ว ก็จะยึดติดอำนาจเป็นของตน เกิดอาการหน้าใหญ่ใจโต แต่ละคนต่างใช้อำนาจกันกะปริบกะปรอย ไม่ประสานงานกัน คล้ายคนเป็น "โรคต่อมลูกหมากโต" จึงแก้ปัญหาไม่ตรงเป้าไม่สุดปลายทาง พร้อมระบุว่า คนเริ่มมองรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ต่างจากรัฐบาล เสนีย์-ชวน คือช้าแบบรัฐบาลชวน หลีกภัย และยุ่งเหยิงเป็นฤาษีเลี้ยงลิงแบบรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แต่รัฐบาลชุดนี้เป็น ฤาษีเลี้ยงเต่า ที่ต้วมเตี้ยมคนละทิศคนละทางไปหมด เพราะทั้ง ครม. สภานิติบัญญัติ องค์กรต่างๆล้วนเป็นเทคโนแครตสูงอายุ เชื่อไปคนละทางกัน หรือพูดอีกทางหนึ่งคือ การเมืองไทยเกิดอาการทหารฮึ่มๆ เพราะเป็นจำเลยแต่ไม่มีอำนาจแก้ไข คตส.ฮึดฮัด เพราะขยับตัวไม่ได้ดั่งตั้งใจ ส่วนรัฐบาล แหะๆ คิดว่าตัวเองมาช่วยเป็นรัฐบาลชั่วคราวให้แล้ว พร้อมชี้ว่า ผลเสียที่ปรากฏคือสังคมไทยเริ่มรวนเรและไปสู่ความขัดแย้งใหญ่อีกครั้ง เพราะความกริ่งเกรงเกรงใจรัฐบาลของคนเริ่มหายไป อีก 2-3 เดือนข้างหน้า จะเกิดข้อถกเถียงจากหลายฝ่ายอย่างเข้มข้น การที่พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ก้าวมานำพาอำนาจต่างๆ ให้ถูกทาง ทำให้เกิดการทำงานผิดฝาผิดตัว ผิดหลักการ ผิดเป้าหมาย เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และเกิดผลเสียเชิงสถาบันของประเทศ เพราะถ้ารื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณไม่ได้ ทหาร องค์กร สถาบันต่างๆ แม้แต่ศาล นักวิชาการ สื่อ จะเกรงกลัวต่อภัยของการถูกตามเช็คบิล การพูด คิด จะทำด้วยความโกรธ วิตก ลำเอียง ถ้าสถาบันต่างๆ ของประเทศเกิดอคติเช่นนี้ จะเป็นผลเสียร้ายแรงยิ่งกว่าระบอบการเมืองเสียหายอีกหลายเท่า ซึ่งเมื่อรัฐบาล คมช. องค์กร สถาบันต่าง ๆ ความชอบธรรมลดลง ร่างรัฐธรรมนูญ ผลการสอบสวนของ คตส.,ป.ป.ช. ก็จะลดความขลัง หรือความชอบธรรมลง สร้างปัญหาต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อไป หากถึงขั้นเลวร้าย คมช.กับรัฐบาลขัดแย้งกันเอง จนนายกฯต้องลาออก เกิดปัญหาต้องแสวงหาผู้นำชุดใหม่มาแก้ปัญหาในเวลาที่สั้นลงไม่ใช่เรื่องง่าย และจะส่งผลลดระดับความชอบธรรมของประเทศในอนาคตอีก เลวร้ายสุด คือ กองทัพจะรู้สึกถูกกดดันรู้สึกว่าตัวเองเสียสละแต่ถูกกล่าวร้ายโจมตี จนบางส่วนขาดสติ ถือเป็นข้ออ้างในการสืบทอดอำนาจได้ พร้อมแนะว่า คมช.รัฐบาลควรตระหนักว่า ภารกิจแรกของประเทศคือ ต้องการรื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณ โดยรัฐบาลควรตั้ง"คณะกรรมการรื้อล้างความชอบธรรมของรัฐบาลทักษิณ" มีนายกฯ หรือรองนายกฯ เป็นประธาน นอกจากนี้ นายกฯ ต้องแสดงความเป็นผู้นำใน 5 ด้าน คือ 1. การต่อสู้เชิงการเมืองกับทักษิณ 2. การถอดรื้อความชอบธรรมของทักษิณ 3. การชักชวนคนไทยทั่วประเทศเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อรับมือกับโลกความเสี่ยงยุคใหม่ 4. การระดมสมองนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ เพื่อแก้ปัญหาและเปิดแนวรุกและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 5. เป็นผู้นำในการเข้าถึง เข้าใจปัญหาของชาวบ้าน คนยากคนจน อย่าคงลักษณะปลีกวิเวก เพราะจะทำให้ภาวะวุฒิผู้นำต่ำกว่าที่เป็น นอกจากนี้ ยังมีภารกิจการนำทางความคิดเพื่อปูพื้นฐานทิศทางใหม่ของประเทศให้ชัดเจน โดยด้านเศรษฐกิจต้องประสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจทุนนิยมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือที่เรียกง่ายๆว่า ทุนนิยมแบบพอเพียง ไม่ใช่ทุนนิยมแบบเก็งกำไร หรือทุนนิยมบริโภคฟรีแบบประชานิยม นายธีรยุทธ ยังมองว่า ภายใน 3-5 ปีนี้ กลุ่มอำนาจเก่าไม่มีทางกลับมาได้แน่นอน แต่ปัญหาภายในจะพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากสภาวะปัญหาได้ถูกสะสมอย่าเข้มข้น และแหลมคมจากวิกฤตทักษิณ เป็นเวลามากว่า 1 ปี ดังนั้นสิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้ามีการเคลื่อนไหวของปัญหาอาจนำไปสู่วิกฤตศรัทธาข้างหน้าแต่ก็อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจรัฐบาล เพราะปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชาแดนภาคใต้ มันสะสมมานานหลายรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่สำหรับปัญหาคลื่นใต้น้ำที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าทาง ผบ.ตร.คนใหม่ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ภายใน 2 เดือนเพื่อที่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ด้านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณีที่ นายธีรยุทธ ออกมาวิพากษ์รัฐบาลที่ทำงานล่าช้า ไม่เด็ดขาด ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ยินคำถามก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ และก็รีบเดินตรงไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้านพัก โดยไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น


“ธีรยุทธ” เหน็บ รบ.“ฤๅษีเลี้ยงเต่า” - แนะสวมบท “ขุนพันธ์” ห้ำหั่น “แม้ว”




6.โยกย้ายตร.ระดับ รอง ผบ.ตร.-ผบก. 57ตำแหน่ง/"วิโรจน์"ถูกเด้งไปภูธร 6 สลับกับ"อดิศร

21 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา(สบ.10)รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในวาระการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับรองผบ.ตร.ถึงผู้บังคับการ หลังใช้เวลาในการประชุมกว่า 5 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ตำแหน่งที่มีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย ระดับรองผบ.ตร.- ผบช. จำนวน 15 ตำแหน่ง ระดับรองผบช.–ผบก.จำนวน 42 ตำแหน่ง ประกอบด้วย พล.ต.ท.ชาญวุฒิ วัชรพุกก์ ผู้ช่วยผบ.ตร. ขึ้นเป็นรองผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช รองผบ.ตร. ที่ขอลาออกจากราชการ พล.ต.ท.ธีรจิตร์ อุตมะ ที่ปรึกษา(สบ.9) โยกเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ถาวรศักดิ์ เทพชาตรี ผบช.ประจำ.สง.ผบ.ตร.นรต.24 พี่เขย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ขึ้นเป็นที่ปรึกษา(สบ.9) พล.ต.ท.ศุภวุฒิ สังข์อ่อง ผบช.ภ.4 ขึ้นเป็นที่ปรึกษา(สบ.9) พล.ต.ท.วิโรจน์ จันรังษี ผบช.น. โยกเป็นผบช.ภ.6 พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ภ.6 .โยกเป็นผบช.น. พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร.คู่เขยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โยกเป็นผบช.ภ.9 พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ จเรตำรวจ โยกเป็นผบช.สตม. พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผบช.สตม. โยกเป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ผบช.ภ.3 โยกเป็นจเรตำรวจ พล.ต.ท.วราสิทธิ์ พรเลิศ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ทำหน้าที่หน.สง.ตส.โยกเป็นผบช.ภ.3 พล.ต.ท.วรพจน์ เลิศลักษณา พตร.(สบ.8) โยกเป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต..ญ.พจนีย์ สุนทรเกตุ รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ขึ้นเป็นพตร.(สบ.8) พล.ต.ต.รณรงค์ ยั่งยืน รองผบช.ก. ขึ้นเป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัว เพื่อรอโอนตำแหน่งครั้งต่อไป พล.ต.ต.บุญชอบ คงน้อย รองผบช.ภ.4 ขึ้นเป็นผบช.ภ.4 ขณะที่ตำแหน่งระดับรองผบช. – ผบก .ได้แก่ พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น ผบก.ท่องเที่ยว. ขึ้นเป็นรองผบช.ภ.4 พล.ต.ต.จิตเจริญ เวลาดี ผบก.ตท. โยกเป็นผบก.ท่องเที่ยว. พ.ต.อ.วิษนุ ปราสาททองโอสถ รองผบก.สถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือไอเลีย ขึ้นเป็นผบก.ตท. พล.ต.ต.ประสาทพร บุญเดช ผบก.สท. โยกเป็นกองบังคับการสนับสนุนตชด. ขณะที่พ.ต.อ.จตุรงค์ ภูมิรินทร์ รองผบก.กองตรวงจราชการ 3 จต. ขึ้นเป็นผบก.สท. ส่วนพล.ต.ต.จุติ ธรรมโนวาณิช ผบก.สนับสนุน ตชด. ขึ้นเป็นรองผบช.น. พล.ต.ต.จิรสิทธิ์ มหินทรเทพ รองผบช.น. โยกเป็นรองผบช.ก. พล.ต.ต.ดำริห์ โชติเศรษฐ์ ผบก.จว.มหาสารคาม ขึ้นเป็นรองผบช.ภ.8 ขณะที่ พ.ต.อ.พิภพ เบี้ยวไข่มุข รองผบก.สส.บช.ปส. ขึ้นเป็นผบก. จ.มหาสารคาม พล.ต.ต.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา ผบก.จว.เลย โยกเป็นผบก.จว.อุดรธานี พล.ต.ต.ยุทธนา ปาละนิติเสนา ผบก.จว.อุดรธานี โยกเป็น ผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.วรเวทย์ วินิตเนตรยานนท์ รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ช่วยราชการ บช.ภ.8 โยกเป็นรองผบช.ภ.8 พล.ต.ต.โกสน พัวเวส ผบก.จว.นครนายก ขึ้นเป็นรองผบช.ภ.2 แทนพล.ต.ต.อรรถพร อุทยานานนท์ รองผบช.ภ.2 โยกเป็นรองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบก.ทางหลวง โยกเป็นผบก.จว.นครนายก พล.ต.ต.ณพรรษ เย็นสุดใจ รองผบก.กองตรวจราชการ 5 จต. ขึ้นเป็นผบก.ทางหลวง พ.ต.อ.อภิชาติ เชื้อเทศ รองผบก.น.8 ขึ้นผบก.น.6 โดย พล.ต.ต.วณิช สุรพลชัย ผบก.น6 ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.กรณีปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกย้ายเป็นผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง ผบก.ปศท. โยกเป็น ผบก.วท.2 สลับกับ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผบก.วท2. ที่มาเป็น ผบก.ปศท. พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผบก.จ.เชียงราย เป็น ผบก.จ.แพร่ ขณะที่ พล.ต.ต. ภูมิรา วัฒนปาณี ผบก.จ.แพร่ มา เป็น ผบก. สระบุรี ขณะที่ พล.ต.ต. เชิดชัย ปวโรภาส ผบก. จ. สระบุรี เป็นรองผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.พ.ต.อ.ทรงธรรม อัลภาชน์ รองผบก.จ.อุตรดิตถ์ ขึ้นเป็นผบก.จ.เชียงราย ขณะที่ พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิศักดิ์ ผบก. ประจำสง.ผบ.ตร เป็น รองผบช.ภ.4 พล.ต.ต. อุดมเดช กิปิตถา ณ อยุธยา ผบก.จ.ขอนแก่น เป็น ผบก.จ.เลย

คลอดแล้ว! บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายยุค “เสรีพิศุทธ์” ล้างบางอำนาจเก่า
“เสรีพิศุทธ์” ระบุย้าย “วิโรจน์” เหตุประพฤติตนไม่เหมาะสม


7.แบงก์ชาติ แถลงข่าวไม่ยอมรับทุนสำรองปี 49 ขาดทุน 3 แสนล้าน/ ยันเดินหน้าแทรกแซงบาท

ข่าวฮอตอีกรปะเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บริหารทุนสำรองขาดทุน 3 แสนล้านบาทนั้น โดยเรื่องนี้เมื่อ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าฯ ธปท. เปิดแถลงข่าวด่วน ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ว่า "ขาดทุน" แต่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับงบดุลของ ธปท.ปี 2549 ที่คณะกรรมการ ธปท.เตรียมส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่น (สตง.)ตรวจสอบ พบว่าเมื่อคิดผลกำไรขาดทุนจากเงินสำรองทั้งก้อน จะอยู่ที่ 60,000 ล้านดอลลาร์ เป็นผลที่เกิดจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5 บาท หรือจาก 41 บาท ต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2548 เป็น 36 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2549 ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า เมื่อคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 3 แสนล้านบาท ใช่หรือไม่ นางอัจนา ก็ยอมรับ พร้อมกำชับว่าไม่ใช่ยอดขาดทุนจากการบริหาร แต่เกิดจากค่าเงินดอลลาร์ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะอ่อน หรือแข็งค่าไปที่เท่าไร และธนาคารกลางแถบภูมิภาคอาเซียนก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับแบงก์ชาติ แต่หากไม่ต้องแปลงค่าเงินดอลลาร์เป็นบาท เพื่อส่งให้ สตง. ทาง ธปท.จะมีกำไร ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ เพราะในขณะนี้ยังไม่มีเวลาคำนวณออกมา พร้อมระบุว่า ณ สิ้นปี 2549 ยอดเงินสำรองทางการอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นส่วนที่ ธปท.โดยฝ่ายการธนาคารดูแลจำนวน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ กับส่วนที่อยู่ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือเป็นของทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา คาดว่าหลังจาก สตง.ตรวจสอบแล้วตัวเลขการขาดทุนจากการบริหารบัญชีทุนสำรองจะอยู่ที่ 1.73 แสนล้านบาท ขณะที่บัญชีฝ่ายการธนาคารซึ่งอยู่ในรูปของเงินฝากต่างประเทศขาดทุนอีก 1 พันล้านบาท รวมยอดขาดทุนทั้งสิ้น 1.74 แสนล้านบาท พร้อมย้ำว่า ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเพียงตัวเลขขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการตีราคาเงินสำรองทางการตามมาตรฐานบัญชี สินทรัพย์ต่างประเทศที่เป็นองค์ประกอบของเงินสำรองทางการที่ ธปท.ดูแลยังคงมีอยู่ครบถ้วนและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อวัดในรูปของเงินตราต่างประเทศ การขาดทุนจึงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด ธปท.ยังคงสามารถทำหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพทางการเงินได้ต่อไป นางอัจนา เปิดเผยว่า เงินสำรองทางการปี 49 เพิ่มจากปีก่อน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือจาก 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการเข้าดูแลค่าเงินบาท เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องชะลอการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของค่าเงินบาท หากไม่ดำเนินการคาดว่าค่าบาทจะแข็งค่าเกิน 17% และยอมรับว่า ธปท.ทำได้แค่ชะลอการแข็งค่าของบาท หากไม่แทรกแซงอาจขาดทุนมากกว่านี้ ธปท.ต้องสนับสนุนนโยบายสาธารณะ ไม่เช่นนั้นการส่งออกซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างไร จะขยายตัวได้ 16% หรือไม่ สำหรับงบดุลปี 2548 ธปท.ขาดทุนแค่ 1.7 พันล้านบาท หากเทียบกับปี 2549 ยอดขาดทุนจะสูงถึง 1 หมื่นเปอร์เซ็นต์ ส่วนปี 2550 นางอัจนา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับค่าเงิน ซึ่งตนเชื่อว่าเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าได้ ก็ต้องแข็งค่าได้เช่นกัน นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯธปท. ยืนยันจะเดินหน้าแทรกแซง และดูแลค่าเงินบาท เพื่อไม่ต้องการให้ค่าเงินบาทแข็งค่าโดยไม่มีเหตุผลโดยเฉพาะแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นหลักที่สำคัญไม่ว่าเงินบาทจะแข็งค่าในระดับเท่าใดต้องการให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ธปท.กำลังจะอนุญาตให้เงินลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศ และอายุต่ำกว่า 1 ปี เลือกทำประกันความเสี่ยง กรณีลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนรวม คงประกาศได้ในไม่ช้านี้ โดยใช้วิธีเหมือนกับสินเชื่อ แต่ต้องดูวิธีปฏิบัติว่าคัสโตเดียนจะติดตามอย่างไร

ธปท.ปัดบริหารผิดพลาด-ยอมรับงบดุลปี49 เจ๊งแค่ 1.74 แสนล.
กำลังโหลดความคิดเห็น