xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 1 -7 ม.ค.2550

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงทำการบินเครื่องบินโบอิ้ง 737-400

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1.พระบรมฯ ทรงขับโบอิ้ง เที่ยวบินมหากุศลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม/ยอดเงินค่าตั๋วพุ่ง 80 ล้านบาท


5 ม.ค. ที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ,พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ใน"เที่ยวบินพิเศษมหากุศล สายใยรักแห่งครอบครัว ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทรงทำการบินด้วยพระองค์เอง โดยเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 หรือ นามพระราชทานเครื่องบินว่า"ศรีสุราษฎร์"เป็นเที่ยวบินพิเศษทีจี 8870 จำนวน 149 ที่นั่ง ระยะทาง 353 NM. ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงเป็นนักบินที่ 1 และมีกัปตันอัษฎาวุธ วัฒนางกูร เป็นนักบินที่ 2 ส่วนเที่ยวบินเสด็จกลับ มีกัปตันอภิรัตน์ อาทิตย์เที่ยง เป็นนักบินที่ 2 ด้วยเที่ยวบิน ทีจี 8871 กัปตันอัษฎาวุธ วัฒนางกูร สรุปถึงผลการบินของเที่ยวบินพิเศษมหากุศล หลังจากถึงสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ว่า การบินปกติดี ราบรื่น และกล่าวถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารว่า พระองค์ทรงมีพระวิริยะและทรงตั้งใจในการบินมาก และไม่ทรงตื่นเต้นเลย กัปตันอัษฎาวุธ กล่าวว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงเตรียมพระองค์มาเป็นเวลา 1 ปี ทรงมีเที่ยวบิน 1,800 ชั่วโมง โดยทรงเลือกโบอิ้ง 737-400 ทรงทำการฝึกบินวันละ 2-3 ชั่วโมง ควบคู่กับการศึกษาจากตำราด้วย สำหรับผู้ที่โชคดีได้โดยสารเที่ยวบินพิเศษมหากุศลครั้งนี้ จะต้องบริจาคเงิน 1 ล้านบาท เป็นค่าตั๋วโดยสาร ซึ่งจะนำรายได้จากการขายตั๋วโดยสารไปใช้ในโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว โดยเที่ยวบินนี้ นอกจากจะมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปด้วยแล้ว ยังมีนักธุรกิจใหญ่ นายธนาคาร และนักการเมืองเป็นจำนวนมาก อาทิ นายชาติศิริ โสภณพนิช นพ.ปราเสริฐ ประสาททองโอสถ,บวรศักดิ์ อุวรรโณ ,นิพนธ์ พร้อมพันธ์ ,ขรรธ์ ประจวบเหมาะ,ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล,พิไลพรรณ สมบัติสิริ,ระริน และเมตตา อุทกะพันธุ์ โดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวในฐานะที่เป็นตัวแทนของคณะเดินทางว่า ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นความปลาบปลื้มของพวกเราที่ได้ ตามเสด็จฯในเที่ยวบินพิเศษ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีพระกรุณากับผู้ประสบอุทกภัย และโดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเที่ยวบินนี้ยังมีโอกาสโดยเสด็จพระราชกุศล ตามโครงการสายใยรักของครอบครัวอีกด้วย ที่ผ่านมาเคยตามเสด็จฯ โดยเครื่องบินพระที่นั่งหลายครั้ง จึงทราบดีว่าทรงพระปรีชา เพราะทรงเคยลงสนามบินที่สั้นกว่านี้ในเวลากลางคืนได้อย่างราบรื่น ส่วนครั้งนี้ที่สนามบินเชียงใหม่ จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายได้จากค่าตั๋วครั้งนี้ถึง 80 ล้านบาท

พระบรมโอรสาธิราชฯทรงขับโบอิ้ง เที่ยวบินพิเศษมหากุศลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
2."สุรยุทธ์"แจงเหตุบึ้มกรุงฯไม่ใช่ฝีมือโจรใต้/"สนธิ"ยันไม่มีปฏิวัติซ้อน

ข่าวฮอตในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่พ้นกรณี เหตุบึ้ม 8 จุดในกรุงเทพฯ เมื่อ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อ 4 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมการรักษาความปลอดภัย ซึ่งได้มีการแบ่งมอบพื้นที่รักษาความปลอดภัยให้กับส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะ สตช.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลในพื้นที่กทม. ขณะเดียวกันหน่วยข่าวก็มีข้อมูลว่า จะมีการใช้ความรุนแรงก่อการในพื้นที่ โดยได้แจ้งให้ทราบว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.49 ใน 2 พื้นที่ คือหน้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และห้างซีคอนสแควร์ ซึ่งทั้งสองแห่งก็เกิดเหตุการณ์ตามที่สายข่าวรายงาน เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นตนได้ติดตามสถานการณ์ และเห็นว่าเหตุการณ์ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัสหลายคน จึงได้เดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ และหลังจากนั้นได้ไปรับฟังสถานการณ์จากศูนย์ปฏิบัติการข่าวสำนักข่าวกรองแห่งชาติในคืนนั้น สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม 45 คน โดยเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัส 15 คน และบาดเจ็บเล็กน้อย 27 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากที่ได้รับรายงานต่างๆ ที่สมบูรณ์ในด้านการตรวจวิเคราะห์นิติวิทยาศาสตร์ ของระเบิดที่ใช้ และวิธีการจุดระเบิด ซึ่งอาจจะดูใกล้เคียงกับทางภาคใต้ แต่ในรายละเอียดแล้ว ขอยืนยันจากการตรวจสอบนี้ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็ยืนยันได้ว่าทั้งหลักฐานวัตถุระเบิด ห้วงเวลาน่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางภาคใต้น้อยมาก ปัญหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ผู้ไม่หวังดี และผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ กทม.เอง ส่วนการติดตามสอบสวนหาผู้กระทำผิดนั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าในบางจุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เร่งดำเนินการอยู่ เนื่องจากได้รับข้อมูลบางส่วนจากประชาชนและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย พยานหลักฐาน ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมเร่งรีบทำงานอยู่ อย่างไรก็ตามยืนยันว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงเหตุที่เกิดขึ้น และเป็นห่วง พร้อมกับหาทางป้องกัน จึงได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม.และมีมติที่สำคัญออกมา เพื่อหามาตรการป้องกันเหตุให้กับประชาชน โดยการมอบพื้นที่รับผิดชอบภายในประเทศให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ด้านนายประพันธ์ คุณมี สนช.กล่าวว่า จะต้องรีบจัดการโดยเด็ดขาด เหตุการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเชื่อมโยงกันได้หมด ทั้งการเผาโรงเรียน การเปิดเว็บไซต์ และการเกิดระเบิด เชื่อว่าเป็นฝีมือคนกลุ่มเดียวกัน เราจะสมานฉันท์ทั้งพรรคและโจรไปพร้อมกันหรืออย่างไร ถึงเวลาแล้วที่รับบาลต้องเอาจริงเอาจังไม่เปิดพื้นที่ให้กับคนที่โกงบ้านเมือง มิเช่นนั้นหากอำนาจเก่าฟื้นคืนมาบ้านเมืองก็จะไม่มีวันสงบสุข และหากไม่ทำอะไรกลุ่มที่เคยสนับสนุนรัฐบาลก็จะทนไม่ไหว และอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ในวันเดียวกันนี้มีข่าวลือตลอดทั้งวันว่า จะเกิดการปฏิวัติซ้อน กระทั่งเวลา 19.30 น. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคมช.ยันว่าไม่มีใครปฏิวัติ ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่าเคลื่อนกำลังทหารจากทัพภาคที่ 2 เข้าในกทม.นั้น ก็ไม่มีเช่นกัน ส่วนที่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มีการข่มขู่วางระเบิดทั่วกทม.จำเป็นจะต้องมีการประกาศเคอร์ฟิวห้ามประชาชนออกจากบ้านหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมีการประกาศอะไร เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ยังสามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ กทม.ได้อยู่ และทางกองทัพก็จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ให้ตื่นตระหนกกับข่าวที่เกิดขึ้น ยืนยันว่ากองทัพยังสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะขณะนี้ไม่เห็นมีอะไม่ต้องเป็นห่วง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคมช.กล่าวถึงกระแสข่าวปฏิวัติซ้อนและการเคลื่อนกำลังพลพร้อมรถถังเข้ากรุงว่า มีความเป็นไปได้ว่ามีรถจีเอ็มซีบรรทุกกำลังพลเคลื่อนมาจากต่างจังหวัดเพื่อสับเปลี่ยนกำลังพลเข้าลงไปทำหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้กำลังพลมีความสดอยู่เสมอ รวมถึงเพื่อเป็นการเพิ่มกำลังพลลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่หลังจากเกิดเหตุวางระเบิดในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามตนไม่สามารถระบุได้ว่าหน่วยใดเคลื่อนย้ายกำลังพลไปที่ใด เนื่องจากในแต่ละกองทัพมีอิสระในการสับเปลี่ยนกำลังพล ซึ่งส่วนกระแสข่าวว่าทางคมช.จะมีการปฏิวัติซ้ำหรือปฏิวัติตัวเองนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเป็นการปล่อยข่าวของกลุ่มผู้ไม่หวังดี หวังสร้างความวุ่นวายเพื่อดิสเครดิตคมช. เนื่องจากความสัมพันธ์ในคณะคมช.ขณะนี้ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ด้านพล.ท.สุเจตน์ วัฒนสุข แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังเข้ามาใน กทม.ตามที่เป็นข่าว ซึ่งขณะนี้พบว่ามีกลุ่มคนที่พยายามออกปล่อยข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน เพราะขณะนี้ประเทศกำลังต้องการความสมาฉันท์ แต่คนที่มุ่งทำลายต้องการให้เกิดความแตกแยก จึงอยากขอร้องสื่อมวลชนอย่าตกเป็นเครื่องของขบวนการเหล่านี้

คมช.เชื่อกลุ่มเสียผลประโยชน์ปูดข่าวปฏิวัติซ้อน
“สนธิ” ย้ำชัด!!..ไม่เคยคิดปฏิวัติซ้อนเพื่อดันตัวเองขึ้นสู่อำนาจ
นายกฯ แจงเหตุบึ้มเตือนรับมือภัยแบบใหม่ - สนช.จี้ปลด “โกวิท”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
3.“สนธิ” เสนอรัฐบาลใช้อำนาจพิเศษออกกม.จัดการคลื่นใต้น้ำ/จี้ปลด “โกวิท” พ้นเก้าอี้ทันที

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เหตุระเบิดเมื่อ 31 ธ.คที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีวางไว้ เพื่อทำลาย รัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองในการกลับเข้าประเทศ ซึ่งไม่สนใจว่าประเทศชาติจะได้รับความเสียหายอย่างไร ขอให้ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้ได้เป็นพอ และผลการสำรวจของเอแบคโพลที่ระบุว่าเสียงสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ลดลง ก็แสดงว่าเข้าทางพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้จึงอยากจะให้รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจพิเศษให้มีอำนาจพิเศษในการจัดการกลับคลื่นใต้น้ำ ให้จัดการยึดทรัพย์ จับกุมได้ทันที โดยอาจมีกฎหมายสัก 1 ฉบับ เอาไว้เล่นงานคนพวกนี้โดยเฉพาะ ซึ่งคนพวกนี้ หาตัวไม่ยาก เพราะระเบิดที่ใช้วันนั้น เป็นระเบิดแอมโมเนียมไนเตรต ระเบิดชนิดนี้มีใช้ตามโรงโม่หิน ใครมีโรงโม่หินบ้าง ไปหาตัวมา ซึ่งถ้าจะจัดการกับคนพวกนี้ด้วยการมีกฎหมายพิเศษ ตนก็ยอมเสียสิทธิเสรีภาพ เหมือนต้องยอมถอยสัก 2 ก้าว เพื่อให้เดินไปข้างหน้าอีกล้านก้าว นายสนธิ ระบุว่า เหตุการณ์ลอบวางระเบิดดังกล่าวเป็นที่พูดกันภายในว่า เป็นฝีมือของอดีตนายทหารยศพลเอกคนหนึ่งที่เมาแอ๋ อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงเกิดเหตุมีการเตรียมกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งเตรียมยึดอำนาจ ซึ่งนายตำรวจเหล่านั้นมียศพลตำรวจเอก คนหนึ่งที่เคยดูแลหน่วยงานข่าวกรอง รองผู้การกองปราบฯ แต่ถูกขัดขวางจากฝ่ายทหาร โดยกองทัพภาคที่ 1 มีการวางกำลังตรึงพื้นที่ในกรุงเทพมหานครเอาไว้แล้ว นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตกรณี พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ออกมาแถลงทำนองชี้นำ หรือโยงให้เห็นว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อความในจดหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่าเป็นพวกเดียวกัน ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ตำรวจได้ไปจับกุมกลุ่มคนในจังหวัดชายแดนใต้ในกรุงเทพฯในบ้านหลังหนึ่ง พร้อมระบุว่า มีแผนที่กรุงเทพฯ เป็นการปักหมุดเอาไว้ก่อน เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลและคมช.ว่า ไม่สามารถจัดการกับปัญหาชายแดนใต้ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนจุดไฟใต้ นายสนธิ ตั้งข้อสังเกตเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา กรณีที่เกิดขึ้นในป้อมตำรวจทั้ง 3 แห่ง ไม่มีตำรวจอยู่ในป้อมแม้แต่คนเดียว ขณะเดียวกัน กล้องทีวีวงจรปิดก็ยังถูกตัดสายไฟทุกแห่ง ขณะที่ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ไปร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ที่ภาคใต้ ดูเหมือนเป็นการกบดานเพื่อรอดูสถานการณ์สงบแล้วค่อยกลับมา แต่เหตุการณ์เตรียมยึดอำนาจดังกล่าว พล.ต.อ.โกวิท อาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ แต่อยากถาม พล.ต.อ.โกวิท ซักคำถามว่าจริงหรือเปล่าที่ส่ง พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ เลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปพบกับนายทักษิณ ที่โรงแรมแมนดารินโฮเรียนเต็ล เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา อยากให้ตอบคำถามนี้ว่าจริงหรือไม่จริง นายสนธิ ยังยังตั้งคำถามถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคมช.ว่า ระหว่างเพื่อนกับชาติท่านรักใครมากกว่ากัน เพราะเวลานี้ตำรวจใส่เกียร์ว่างร่วมมือกับระบอบทักษิณ ตนอยากให้ปลด พล.ต.อ.โกวิท แล้วตั้งตำรวจดีๆ มาปฏิบัติหน้าที่แทน นายสนธิ ได้พูดถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยตักเตือนในฐานะน้องที่รู้จักกันมานาน ในฐานะกัลยาณมิตร อยากให้ล้างมืออย่างสง่างาม ไม่ต้องการให้ลูกหลานมาสาปแช่งในภายหลัง พร้อมยอมรับว่า พล.อ.ชวลิต เป็นคนหลักแหลม แต่มีเส้นแบ่งกับความเจ้าเล่ห์ในใกล้เหลือเกิน

“สนธิ” จี้ออก กม.พิเศษขจัดลิ่วล้อ “แม้ว” – มัวใจเย็น ก.พ.กลียุคแน่

สัก กอแสงเรือง โฆษกคตส.
4. 13 อนุ คตส. เตรียมสรุปความคืบหน้าต่อคตส./ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา"บรรณพจน์-หญิงอ้อ"

ความคืบหน้าในการทำงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบทุจริตทั้ง 13 โครงการมีความคืบหน้าใกล้ความจริงขึ้นมาเรื่อยๆ โดยล่าสุด 7 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กล่าวว่า 8 ม.ค.นี้ คณะอนุกรรมการตรวจสอบทุจริตทั้ง 13 โครงการ จะรายงานความคืบหน้าในการทำงานให้ที่ประชุมรับทราบ สำหรับคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพวกหลีกเลี่ยงภาษี ที่ตนเป็นประธานอยู่นั้น ก็จะรายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ได้มีผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 2 ราย ส่วนที่เหลือ ทางอนุกรรมการจะส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบในวันที่ 8 ม.ค.นี้จากนั้นต้องนับเวลาไปอีก 15 วัน หลังจากได้รับหนังสือ ผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าแก้ข้อกล่าวหา โดยอาจจะมาด้วยตัวเอง หรือส่งเป็นเอกสารแก้ข้อกล่าวหามาก็ได้ นายสัก ยังระบุ กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทแอมเพิลริช อินเวสเมนท์ จำกัด จาก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่า เป็นการเพิ่มทุนช่วงไหน และมีที่มาของเงินอย่างไร ทั้งนี้ จากการที่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เข้าชี้แจง เป็นการชี้แจงตามข้อมูลรายงาน 246-2 ซึ่งเป็นการรายงานการดำเนินการในปี 48-49 โดย ก.ล.ต.มีอำนาจเพียงตรวจสอบว่า รายงานดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ โดยไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยเฉพาะบริษัทแอมเพิลริช จดทะเบียนเพิ่มทุนในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน จึงยากต่อการตรวจสอบ แต่ประเด็นใดที่ข้อเท็จจริงยังไม่ชัด ก็ต้องตรวจสอบให้ชัด เพราะจะมีผลต่อการสรุปสำนวน ซึ่งในการเชิญนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวพ.ต.ท.ทักษิณ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เข้าชี้แจงในวันที่ 10 ม.ค.,12ม.ค.และ 24 ม.ค.นี้นั้น อนุกรรมการฯจะสอบถามเรื่องนี้ด้วย เพราะต้องการความชัดเจน แต่ถ้าการชี้แจงของบุคคลทั้ง 3 คน ยังไม่ชัดเจน คตส.ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลจากข้างนอกได้ ส่วนเรื่องหัวคิวบ้านเอื้อฯ หลังจากที่นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส.ระบุว่า นักการเมืองฝ่ายบริหารเรียกเก็บเงินค่าหัวคิวยูนิตละหนึ่งหมื่นบาท ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งมีการทำสัญญาไปแล้วกว่า 3 แสนยูนิต โดยมีการแบ่งเช็คเป็น 4 ใบนั้น ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อสอบถามถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งนายวัฒนา เป็นผู้รับสายโทรศัพท์เอง โดยนายวัฒนา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าไม่พร้อมจะชี้แจง เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามขอให้ชี้แจง เพราะเป็นเรื่องที่พาดพิงถึงนายวัฒนาโดยตรงนั้น นายวัฒนายืนยันอีกว่า ไม่พร้อมจะชี้แจงก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์ทันที ด้านนาย แก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.ที่รับผิดชอบโครงการบ้านเอื้ออาทร กล่าวว่า โครงการดังกล่าวมีทั้งสิ้น 181 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการชุดตรวจสอบต้องตรวจสอบว่า โครงการใดบ้าง ที่ส่อไปในทางทุจริต ซึ่งการทุจริตแต่ละโครงการ เบื้องต้นคือการทุจริตซื้อขายที่ดิน มีการเจรจาติดต่อนายหน้าที่ดินเพื่อมาทำโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยจ่ายเช็คฉบับหนึ่งต่อที่ดิน 1 แปลง จึงมีเช็คที่ต้องตรวจสอบประมาณ 400 กว่าใบ โดยอนุตรวจสอบฯ จะต้องไปติดตามทั้งเช็คและเงินสดให้ได้ว่า มีใครบ้าง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการดังกล่าว จะดูให้หมดว่า มีกี่คน กี่โครงการ อะไรที่คุ้ยได้มีกลิ่นก็เอา อะไรที่คุ้ยไปแล้ว ไม่น่าจะผิด ก็ปล่อยไป ทั้งนี้ มีพยานที่ให้ข้อมูลจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้กันใครเป็นพยานโดยเฉพาะ เพราะแต่ละโครงการจะมีขั้นตอนและวิธีการไม่เหมือนกัน ดังนั้นพยานก็จะแตกต่างกันในการให้ข้อมูล

คตส.แบะท่ารอเชือด “แก๊งอ้อ-โอ๊ค-เอม” เลี่ยงหุ้นชินฯ พรุ่งนี้
คตส.ปัดสอบเขายายเที่ยง - ย้ำไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง

เหตุการณ์ปะทะเดือดระหว่างกลุ่มผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊กับตำรวจ
5.ศาลอนุญาตให้ประกันตัว"23 ผู้ค้าโบ๊เบ๊"หลังเหตุปะทะเดือดตร.

ประเด็นข่าวที่ได้รับความสนใจอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีที่กรุงเทพมหานครได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นำรถเก็บขยะและรถดับเพลิงไปจอดขวางบริเวณบาทวิถี เพื่อสกัดไม่ให้ผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ริมคลองผดุงเกษม ตั้งวางแผงขายของได้เหมือนปกติ พร้อมส่งกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจเข้าตรึงพื้นที่ จนทำให้กลุ่มผู้ค้าไม่พอใจรวมตัวกันประท้วงปิดถนน จนล่าสุดได้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ค้าย่านโบ๊เบ๊ และเกิดเหตุปะทะกันจนเจ้าหน้าที่จับกุมพ่อค้า-แม่ค้าโบ๊เบ๊ จำนวน 23 คน เป็นหญิง 8 คน และชาย 15 คน โดยตั้งข้อหาในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานไม่ยอมเลิกมั่วสุมชุมนุม รวมทั้งความผิดเกี่ยวกับกฎหมายจราจรอีก 3 ข้อหา โดยในส่วนของ น.ส.คำกุล นนทศิริ ที่ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่เพิ่มอีก 1 ข้อหา เนื่องจากใช้กำปั้นชกหน้า พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ขณะที่เข้าระงับเหตุ ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 ได้นำตัวผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ ทั้งหมดไปขออำนาจศาลแขวงดุสิตฝากขังผลัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะกลับไปก่อเหตุให้เกิดความวุ่นวายอีก โดยทนายความของกลุ่มผู้ค้าได้นำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่ากว่า 2 ล้านบาทเพื่อขอยื่นประกันตัว ซึ่งในที่สุดศาลได้พิจารณาแล้วสมควรให้ประกันตัว แต่อย่างไรก็ตามผู้ค้ายืนยันจะเคลื่อนไหวต่อต้านการไล่ที่ของกรุงเทพมหานครต่อไป ส่วนบรรยากาศที่ตลาดโบ๊เบ๊ ล่าสุด ไม่มีการประท้วงแล้วโดยฝั่งตรงข้ามคลองยังเปิดการค้าตามปกติ ส่วนฝั่งเรียบคลองผดุงกรุงเกษม เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร ได้ตีสังกะสี ตลอดแนวคลองผดุงกรุงเกษม จากแยกกษัตริย์ศึกถึงแยกสะพานขาวทั้งหมดแล้ว และยังมีผู้ค้าบางส่วนมาตั้งแผงค้าบนสะพาน 1 และสะพาน 4 โดยแขวนเสื้อผ้ากับสังกะสีใกล้สะพาน โดยกรุงเทพมหานคร ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจนับ 10 นาย ตรวจตราความเรียบร้อยตลอด 24 ชั่วโมง ด้านนางชนิศฎ์สรฐ์ สืบสังข์ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เปิดเผยถึงการเปิดรับลงทะเบียนผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ริมคลองผดุงกรุงเกษมที่ถูกยกเลิกจุดผ่อนผันว่า ขณะนี้ผู้ค้ามาลงทะเบียนเพื่อขอความช่วยเหลือในการจัดหาแผงค้าจำนวน 82 ราย โดยทางเขตยังเปิดรับลงทะเบียนต่อไปอีกจนถึงวันที่ 19 มกราคมนี้ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. ซึ่งคาดว่าภายใน 2 เดือนจะสามารถหาแผงค้าใหม่ให้ผู้ค้าที่เดือดร้อนทั้งหมดได้

ช่วยด้วย! ผู้ค้า “โบ๊เบ๊” ร้องสภาทนายฯ ช่วยถูกจับปะทะเดือด
กทม.ชี้อีก 1-2 สัปดาห์ ผู้ค้าโบ๊เบ๊ได้ตลาดใหม่แน่
ศาลให้ประกันม็อบโบ๊เบ๊ ยังยืนยันจะเคลื่อนไหวอีก

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี
6. 7 วันระวังอันตราย ตายเกินเป้า 449 ศพ-บาดเจ็บเกือบ 5 พัน/กรุงเทพฯ ประจวบฯครองแชมป์

4 ม.ค.ที่ผ่านมา นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวว่าเมื่อรวมช่วง 7 วันระวังอันตราย ระหว่าง 28 ธ.ค.49- 3 ม.ค.50 ปรากฏว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รวม 4,456 ครั้ง เปรียบเทียบกับปี 2549 มีอุบัติเหตุ 4,194ครั้ง มากกว่า 230 ครั้ง คิดเป็น ร้อยละ 6.25 มีผู้เสียชีวิต รวม 449 คน เปรียบเทียบกับปี 25249 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 441คน มากกว่า 8 คน คิดเป็น ร้อยละ 1.81 ผู้บาดเจ็บ รวม 4,943 คน เปรียบเทียบกับปี 49 จำนวน 4,772 คน มากกว่า 171 คน คิดเป็น ร้อยละ 3.58 ส่วนจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสะสมสูงสุดตลอด 7 วัน ได้แก่ ขอนแก่น 141 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ เชียงราย 139 ครั้ง เชียงใหม่ 129 ครั้ง ส่วนจังหวัดที่มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพฯ จังหวัดละ 18 คน รองลงมา ได้แก่ เชียงราย บุรีรัมย์ จังหวัดละ 17 คน และ ชัยภูมิ 16 คน ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ ขอนแก่น 157 คน รองลงมา ได้แก่ เชียงราย 150 คน นครราชสีมา 148 คน และ จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วงการรณรงค์ตลอด 7 วัน มีจำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท แม่ฮ่องสอน ยโสธร ลำพูน สมุทรสงคราม และอ่างทอง นายโฆสิต กล่าวว่า ในช่วง 7 วันอันตราย มีการเรียกตรวจตามมาตรการ “3 ม 2 ข 1ร” รวม 12,562,745 คัน พบการกระทำผิด และดำเนินคดี จำนวน 252,516 ราย คิดเป็น ร้อยละ 2.01 โดยพบการกระทำผิดสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 6.68 รองลงมา ได้แก่ ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ปลอดภัย ร้อยละ 2.54 และไม่พกพาใบขับขี่ ร้อยละ 2.04 จากสถิติ 7วันที่ผ่านมา พบกลุ่มวัยรุ่นช่วงอายุ 15-49 ปี บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ถึงร้อยละ 19.96 รองลงมา คือช่วงอายุ 20-24ปี ร้อยละ 16.60 และช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ16.54 ตามลำดับ นายโฆสิต ระบุด้วยว่า แม้การดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 7 วันระวังอันตรายที่ผ่านมา จะไม่บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้คือคาดคะเนผู้เสียชีวิตไว้ 410 คน และบาดเจ็บ 4,555 คน แต่ก็สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่ง หากเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่มีการดำเนินงานใดๆเลย อาจส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากกว่านี้ จึงขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุก ๆคนที่ได้ทุ่มเทการทำงาน อย่างเต็มที่

7 วันอันตราย ยอดตายทะลุเป้า ประจวบฯ-กทม.ซิวแชมป์สูงสุด

7.ม.หอการค้าชี้ บึ้มกรุงเทพฯเศรษฐกิจไทยพัง 5 หมื่นล้าน/"กิจการดีลิเวอรี"ยอดขายพุ่ง

ผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดต่อเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ โดยเมื่อ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2550 ว่า ได้ปรับประมาณการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทย (จีดีพี)ในไตรมาสแรกลดลง 0.4% หรือขยายตัวเพียง 3.5% จากเดิมก่อนเหตุการณ์ระเบิดคาดว่าจะขยายตัว 4.0% หลังจากเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวในไตรมาสแรกจะลดลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนลดลง 2-3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบข้างต้นประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสแรกจะลดลง 15% หรือจากจำนวน 4.09 ล้านคน เหลือ 3.45 ล้านคน ทำให้รายได้ลดลงจาก 1.31 แสนล้านบาท เหลือ 1.10 แสนล้านบาท หรือลดลงประมาณ 2.05 หมื่นล้านบาท รองลงมาก็เป็นภาคการใช้จ่ายของประชาชนและการลงทุนเอกชน โดยคาดว่าการขยายตัวภาคการลงทุนเอกชนในไตรมาสแรกจะลดลงเหลือ 2.5% จากเดิมคาดว่าขยาย 2.7% ส่วนการบริโภคเอกชนเหลือ 3.2% จากเดิม 3.6% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเป็นระยะสั้นเพียง 3 เดือน หรือแค่ในไตรมาสแรก ปี 2550 ดังนั้น ศูนย์ฯ จึงยังไม่ปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ที่คาดว่าจะโตได้ในกรอบ 4.0-5.0% โดยค่อนข้างมีแนวโน้มขยายตัวในระดับ 4.5% แต่หากสถานการณ์ระเบิดยังยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน ก็คงต้องปรับประมาณการณ์ตัวเลขใหม่อีกครั้ง ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้ธุรกิจอื่นๆ จะกระทบกระเทือนจากเหตุบึ้มกรุงเทพฯ ทว่าพวกกิจการดีลิเวอรีอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ฟู้ดบายโฟน บริษัทให้บริการจัดส่งอาหารจากภัตตาคารระดับเลิศหลายสิบแห่ง หรือเชนอาหารรายใหญ่อย่าง เอสแอนด์พี และ เดอะ พิซซ่า คอมพานี ต่างแจ้งว่ามีผู้คนสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากจนโทรศัพท์สายไม่ว่าง

บึ้มกรุงทำ ศก.พัง 5 หมื่นล้าน
กำลังโหลดความคิดเห็น