หลังจาก"บอนนี่"หรือ บุญนัดดา ชัยนาม และหนุ่มหล่อผู้มีนามว่า"ไช้ ศุภเศรษฐ์อนันต์ " พันธมิตรกู้ชาติตัวจริงเสียงจริง ได้สร้าง"ตำนานรัก...ระหว่างม็อบ"จนพัฒนาการเป็นความรัก และได้มีการวิวาห์ไปเมื่อหลายเดือนก่อนนั้น ล่าสุด มีข่าวดีว่า ทั้งสองได้"ทายาทกู้ชาติ" เป็นพยานรักแล้ว
โดยเรื่องนี้ "บอนนี่" เปิดเผยว่า ตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ประมาณ 6 สัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่นอนหลับฝันว่า ได้ลูกผู้หญิง ทว่าเธอไม่ได้ซีเรียสจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ แต่แน่ๆ จะให้ชื่อว่า"น้องกู้ชาติ"
แถมมีข่าวดีอีก เธอเพิ่งชนะเลิศรับรางวัลที่ 1 การแข่งขันแสดงสุนทรพจน์ชิงแชมป์ประเทศไทย(Toast Master Public Speaking Contest) มาสดร้อนๆ โดยเธอบอกว่า ได้นำเสนอเรื่องความรักของเธอกับสามีในระหว่างการร่วมชุมนุมประท้วงกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาเป็นหัวข้อในการแข่งขันครั้งนี้ ผลปรากฏว่าชนะใจกรรมการจนได้รับชนะเลิศดังกล่าว
หลังจากนี้เธอจะเข้าร่วมแข่งขันชิงแชมป์ระดับเอเชียที่ "เกาะมาเก๊า" ในวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งงานนี้จะมีผู้เข้าร่วมแข่งขันจากหลากหลายประเทศต่างๆ อาทิ จีน สิงคโปร์ เป็นต้น เธอบอกว่า ไม่กังวลแต่ตื่นเต้นที่น้องกู้ชาติจะได้ไปเชียร์ "คุณแม่สู้ๆ" บนเวทีระดับนานาชาติ ด้วย
หากย้อนตำนานรักระหว่างม็อบของทั้งสองนั้น ได้ก่อตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝันท่ามกลางสถานการณ์การเมืองอันร้อนระอุเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมื่อผู้หญิงหน้าตาสะสวย สายตา มุ่งมั่นจริงใจ ในชุดกางเกงยีนส์ที่ติดแปะสติกเกอร์ 'ทักษิณ GET OUT' หลายต่อหลายแผ่นแล้ว พร้อมลายเพนต์ข้อความกู้ชาติที่เขียนลงบนแขนและพวงแก้ม ในขณะที่มือขวาชูขึ้นพร้อมตะโกนขับไล่ "ทักษิณ ออกไป"โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองเธออยู่ด้วยความชื่นชม
'บอนนี่' เคยย้อนเรื่องราวความรักไว้ใน น.ส.พ.ผู้จัดการ หน้าปริทรรศน์ ว่า “รู้จักกันในการชุมนุมกู้ชาติที่สนามหลวงเมื่อเดือนกุมภาฯ 2549 คือเพื่อนของบอนนี่เขาเป็นเพื่อนกับเพื่อนของคุณไช้ แล้วบังเอิญวันนั้นทั้งสองก๊วนไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เหมือนกัน เพื่อนๆ เขาก็เลยแนะนำให้เรารู้จักกัน ตอนแรกรู้สึกหมั่นไส้ด้วยซ้ำเพราะคุณไช้เขาดูหยิ่งๆ แต่เขากลับไปบอกว่าเขาชอบคนเนี้ย..ทั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราชื่ออะไร ตอนหลังก็มาเจอกันในม็อบอีก นั่งฟังปราศรัยกันจนดึกเพื่อนๆ ก็เลยชวนกันไปกินข้าวจากนั้นแต่ละคนก็จะแยกย้ายกันกลับเพราะตอนเช้าต้องไปทำงานแต่เรายังอยากกลับไปฟังการปราศรัยต่อ คุณไช้เองเขาก็อยากกลับไปชุมนุมเหมือนกันก็เลยกลับไปด้วยกันสองคน ทีนี้ก็เริ่มคุยกันเพราะไม่รู้จะคุยกับใครเลยรู้จักกันมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเอ...ผู้ชายคนนี้มีอะไรคล้ายๆ กัน เป็นคนที่กล้าหาญและมีความรักชาติ นั่งชุมนุมกันถึงตีสองครึ่งเขาก็ถามว่าเหนื่อยหรือยัง จะกลับบ้านหรือยัง แล้วก็พาเราไปส่งบ้าน ก็เริ่มรู้สึกดีๆ จากวันนั้นก็เลยติดต่อกันเรื่อยมา ส่วนใหญ่จะนัดกันไปชุมนุม
ทั้งสองเริ่มมีความรู้สึกผูกพันขึ้นเรื่อยๆ ตามประสาของหนุ่มสาว แต่ที่ไม่เหมือนคนอื่นคือ แทนที่จะพูดเรื่องความหวานแหวว แต่ส่วนใหญ่คุยกันจะเป็นเรื่องการเมืองเพราะเป็นเรื่องที่ทั้งสองสนใจเหมือนกัน บอนนี่บอกว่า อาจจะเป็นเพราะพื้นฐานทางครอบครัวหลายอย่างคล้ายกันด้วย คือคุณไช้เขาเติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจที่ชอบเรื่องการบ้านการเมือง ส่วนตัวบอนนี่อยู่ในครอบครัวนักการทูต ซึ่งก็แน่นอนว่ามีความสนใจเรื่องการเมืองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แล้ว อย่างมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นี่ทั้งครอบครัวคุณไช้และครอบครัวบอนนี่ก็ไปร่วมฟังการปราศรัยกันทั้งคู่
ความรักเริ่มสุกงอมจนวันหนึ่ง "ไช้" ได้ออกปากขอ "บอนนี่"แต่งงานด้วย แต่ "บอนนี่" ยังไม่ตอบรับทันทีทันใด เพียงแต่บอกว่า ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเว้นวรรคทางการเมืองเมื่อไหร่ จึงจะยอมแต่งงานด้วย
และแล้ว เมื่อ 4 เมษายนที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมือง "ไช้"จึงได้มาทวงสัญญาที่ บอนนี่ ได้เคยให้ไว้ "สัญญาก็คือสัญญา" บอนนี่จึงตอบตกลงทันที
เรื่องนี้ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้เพื่อนฝูงและใครหลายคน ที่ทั้งสองตัดสินใจแจกการ์ดแต่งงานทั้งๆ ที่พบรักกันในม็อบกู้ชาติได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองให้เหตุผลว่าการที่ในชีวิตหนึ่งคนเราจะได้เจอคนที่รู้ใจและมั่นใจว่าเขาจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน และเมื่อรู้สึกว่าไม่ว่า ณ วันนี้หรืออีก 10 ปีข้างหน้าทั้งสองคนก็ยังคงรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การตัดสินใจแต่งงานกันจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ในที่สุดทั้งสองได้จัดพิธีวิวาห์ขึ้น 5 พ.ค.2549 โดยได้นำคอนเซ็ปต์กู้ชาติมาใช้เป็นรูปแบบของงานด้วย โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะผูกผ้ากู้ชาติให้บรรดาแขกเหรื่อก่อนที่จะเข้าไปภายในงาน เพื่อบ่งบอกถึงที่มาของความรักของคนทั้งคู่ ซึ่งสร้างความประทับใจให้ผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก ด้วยความน่ารักของผ้าพันข้อมือสีชมพูสดใสที่พิมพ์คำว่า 'กู้ชาติ' ไว้กลางผืนผ้า ขนาบข้างด้วยชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว พร้อมด้วยข้อความหวานซึ้งกินใจว่า “At First Sight in the Battlefield” หรือ “รักแรกพบ ท่ามกลางสนามรบ” เท่านั้นไม่พอภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวในหลากหลายอิริยาบถที่ประดับไว้ตามจุดต่างๆ ในงานก็เป็นรูปแบบกู้ชาติเช่นกัน โดยทั้งคู่ใส่เสื้อเชิร์ตขาว กางเกงยีนส์ และคาดศีรษะด้วยผ้ากู้ชาติ ทำเอาแขกที่มาร่วมงานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆ กัน
ไม่ใช่แค่คอนเซ็ปต์ของงานเท่านั้น ของขวัญที่บรรดาเพื่อนๆ มอบให้ในวันแต่งงานก็มีหลายต่อหลายชิ้นที่สื่อถึงความรักที่เกิดขึ้นกลางม็อบกู้ชาติของหนุ่มสาวคู่นี้ เช่น รูปคู่ของไช้กับบอนนี่ที่เพื่อนทำกราฟิกให้ทั้งคู่ผูกผ้ากู้ชาติ หรือตุ๊กตาหมีคู่ ที่หมีผู้ชายใส่เสื้อเชิร์ตขาวกับกางเกงยีนส์ ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวของ “ไช้” ส่วนหมีผู้หญิงใส่เสื้อแขนกุดกระโปรงบาน และที่สำคัญเจ้าหมีตัวน้อยผูกผ้ากู้ชาติกันทั้งคู่ 'บอนนี่' บอกว่า สาเหตุที่ใช้คอนเซ็ปต์นี้ เพราะเราเจอกันในม็อบกู้ชาติก็เลยคิดคอนเซ็ปต์งานออกมาแนวนี้
บอนนี่ เคยพูดไว้ว่า ถ้าพันธมิตรฯ จัดชุมนุมอีกสองคนไปแน่นอน แล้วถ้าเกิดมีลูกแล้วเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีการชุมนุมกันอีกก็จะพาลูกไปร่วมชุมนุมด้วย เพราะอยากให้เขาซึมซับความรู้สึกของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ให้เขารู้สึกว่าประเทศชาติเป็นของเราทุกคนและเราต้องช่วยกันรักษาไว้
วันนี้ "บอนนี่-ไช้"มีพยานรักแล้ว แม้จะยังไม่คลอดก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่า หากวันหน้าเผ่าพันธุ์เผด็จการยังไม่หมดสิ้นไปจากสังคมไทย เราก็มี "ทายาทตัวน้อยๆของพี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่จะคอยไล่ตะเพิดทรราชย์ให้หมดไปจากแผ่นดินไทยเช่นกัน !