คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1."สุรยุทธ์"นั่งนายกฯ-ยันยึดศก.พอเพียง-แก้วิกฤติการเมือง-ดับไฟใต้
หลังจากลุ้นกันมานานในที่สุดคนไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินทางเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เพื่อทูลเกล้าฯ รายชื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 24 ของประเทศไทย จากนั้นพล.อ.สนธิ นำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ์ ไปยังห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ร่วมในพิธีรับสนองพระบรมราชโองการอย่างคับคั่ง ต่อมาพล.อ.สนธิ และพล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.สนธิ เป็นผู้อ่านประกาศพระบรมราชโองการ มีพล.อ.สุรยุทธ์ รอรับพระบรมราชโองการ พร้อมด้วยพ.อ.หญิง คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยา หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมภริยา ได้ทักทายกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและเพื่อแถลงข่าว โดยพล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนตระหนักดีกว่ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารในครั้งนี้มิได้มากจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งคงเป็นปัญหาหลักๆ 2 ประการ ประการแรก เรื่องการสร้างความสมานฉันท์ภายในชาติและประการที่สอง ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ในหน้าที่ของตนเองนั้น ถือว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ก็คงจะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถภายในกรอบระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้ นั่นก็คือประมาณ 1 ปี เมื่อจบสิ้นภาระแล้วก็เป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนทุกคน ที่จะได้มีการเลือกตั้งเพื่อสรรหาฝ่ายบริหารที่เหมาะสมเข้ามาทำหน้าที่ตามความต้องการของพี่น้องประชาชนทุกคนต่อไป ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่นั้น จะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานไว้ คงไม่ได้มุ่งในเรื่องของตัวเองจีดีพีมากนัก แต่จะดูในตัวที่วัดความผาสุกของพี่น้องประชาชนมากกว่า ทั้งนี้ ในฐานะฝ่ายบริหาร จะให้ความร่วมมือคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลที่ผ่านมาให้มากที่สุด โดยจะยืนอยู่บนหลักของความยุติธรรมโดยใช้กฎหมาย แล้วก็องค์กรอิสระ หรือว่าหน่วยงานทางด้านหน่วยงานความยุติธรรมต่างๆ ซึ่ง ถ้าหากต้องการความสนับสนุน เช่นข้อมูลหลักฐานเอกสารต่างๆ ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนทุกๆเรื่อง ด้านพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ( คปค.) ยอมรับว่า ได้เข้าหารือกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอความคิดเห็นในการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นจึงได้ได้โทรศัพท์ติดต่อทาบทาม พล.อ.สุรยุทธ์ ถึง 2 ครั้ง เพื่อขอร้องให้เข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติในยามวิกฤติ พล.อ.สนธิ ยืนยันว่า การเลือกครม.นั้น เป็นเรี่องของนายกฯ คนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ครม.ชุดใหม่ได้ทำงานอย่างสมบูรณ์ ทางคปค.จะไม่เข้าไปแทรกแซง และคงไม่ต้องไปให้คำแนะครม.ใหม่ แต่ว่าเมื่อตั้งแล้วคณะที่ปรึกษาของ คปค.เดิม จะนำข้อมูลด้านเศรษฐกิจ และต่างประเทศเสนอไปว่าจะเดินทางอย่างไร ตอนนี้กำลังทำกันอยู่เพื่อที่จะส่งไปให้ ยืนยันว่าเราไม่มีการแนะนำเรื่องตัวบุคคล พร้อมระบุว่า หลังจากประกาศชื่อนายกรัฐมนตรีแล้ว ทางคปค.จะเปลี่ยนไปเป็นคณะมนตรีความมั่นคง ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่หลากหลาย ที่สำคัญมีคุณธรรม ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และได้ชื่อว่าเป็นนายทหารในกองทัพที่มีความเป็นประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญที่สุด ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากในหลวง ตรงนี้จะรับประกันได้ว่า มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ไม่เกิดความตะขิดตะขวง หรือเคลือบแคลงสงสัย และทำให้เกิดความสบายใจได้ว่า จะสามารถเป็นผู้นำประเทศได้อย่างไรก็ตาม ก็ต้องติดตามดูต่อไปว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกฯแล้วจะยึดแนวทางความถูกต้องชอบธรรมเหมือนเดิมหรือไม่ ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) เรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า ที่ผ่านมาประชาชนยังไม่เคยเห็นวิสัยทัศน์ของท่าน ว่าจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองและสังคมอย่างไร ดังนั้น ครป.จึงขอเรียกร้องให้ท่านแสดงวิสัยทัศน์ นโยบายที่จะนำไปสูความสมานฉันท์ 5 ประการคือ 1. ฟื้นฟูความสมานฉันท์ ลดความรุนแรงไม่สร้างความแตกแยกในสังคม 2. แก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ 3.การปฏิรูปการเมือง 4. บทบาทกองทัพกับการเมือง จากประสบการณ์ในการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)เมื่อปี 2535 ยังประสบปัญหาแทรกแซงจากทหารเพื่อนำไปสู่อำนาจการปกครองเพื่อหาผลประโยชน์ ดังนั้นรัฐบาลใหม่ควรมีวิธีป้องกันในระยะยาว 5.คำประกาศการจัดการกับระบอบทักษิณ โดยการส่งสัญญาณไปยัง คณะทำงานตรวจสอบต่างๆ ที่คปค.ตั้งขึ้นให้ดำเนินการอย่างจริงจัง
“สุรยุทธ์” ย้ำซื่อสัตย์-ปรองดอง เน้น ศก.พอเพียงชี้วัดความสุขมากกว่าจีดีพี
"สุรยุทธ์"ถวายพระพรพระสังฆราชเป็นภารกิจแรกก่อนเข้าทำเนียบฯ
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “พล.อ.สุรยุทธ์” เป็นนายกฯ คนที่ 24 แล้ว
2."สวัสดิ์"น้อยใจปัดรับตำแหน่ง คตส.ชุดใหม่-“สัก” เผย คปค.ให้อำนาจชัดเจนและกว้างขวาง
ประเด็นฮอตอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ กรณีคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ( คปค.) มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ชุดใหม่ จำนวน 12 คนตามคำสั่งคณะปฏิรูปฯฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย.2549 โดยให้ยกเลิกคำสั่ง ฉบับที่ 23 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ หรือ คตส.ซึ่งมีนายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธาน ซึ่งสาเหตุการยกเลิกเนื่องจากกระแสการกดอย่างหนักจากประชาชนในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินชุดใหม่ที่ คปค.มีคำสั่งแต่งตั้ง ฉบับที่ 30 นี้ประกอบด้วย 1.นายกล้านรงค์ จันทิก 2. นายแก้วสรร อติโพธิ 3. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา 4. นายจิรนิติ หะวานนท์ 5. นายนาม ยิ้มแย้ม 6. นายบรรเจิด สิงคเนติ 7) นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ 8. นายสวัสดิ์ โชติพานิช 9. นายสัก กอแสงเรือง 10. นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ 11. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง 12. นายอำนวย ธันธรา โดยพล.อ.สนธิ กล่าวว่า จากการได้พูดคุยกับคณะกรรมการตรวจสอบฯ ทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือ ต่อไปจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงบุคคล จำนวน หรือวิธีการลงคะแนน ทุกคนโอเค กันหมดแล้ว ส่วนป.ป.ช.ที่ถูกกล่าวหาว่า สีเท่า นั้น ก็คุยกันรู้เรื่องหมด เพราะฉะนั้นทั้ง ป.ป.ช.และ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ก็จะจับมือกันดำเนินการ ทราบว่า ทั้งสองคณะทราบว่าไปกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องของภาระหน้าที่ของ คปค.ในเรื่องของการตรวจสอบทรัพย์สิน การประพฤติมิชอบต่างๆ คิดว่าจะเดินไปได้ด้วยดี การจะหยิบยกเรื่องใดขึ้นมาพิจารณา อยู่ที่คณะทำงานจะต้องไปสรรหาเองว่า มีโครงการอะไรบ้างที่มันเกิดขึ้นมาแล้วเป็นที่สนใจของประชาชน ก็ให้คณะกรรมการฯ ชุดนี้เข้ามาดู เชื่อมั่นใน คปค.เพราะทุกคนมีไฟ และปรารถนาให้ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อยเหมือนเมื่อก่อน ด้านนายสัก กอแสงเรือง เปิดเผยว่า พล.อ.สนธิ ได้เชิญคณะกรรมการชุดนี้ เข้าพบ เพื่อขอบคุณคณะกรรมการที่ได้เข้ามาช่วยทำงานในครั้งนี้แล้ว พร้อมระบุว่า ดูแล้วคำสั่งล่าสุดของ คณะปฏิรูปฯ มีอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน และให้อำนาจหลายอย่าง ซึ่งเป็นการสะดวกต่อการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการ ก็จะดำเนินการโดยรวดเร็ว ละเอียด ถี่ถ้วน ในระยะเวลาอันสั้น เพราะทราบดีว่า สังคมคาดหวังคณะกรรมการ คตส. ไว้สูง ในขณะที่นายสวัสดิ์ ได้ตัดสินใจไม่ขอรับตำแหน่งคณะกรรมการ กตส.ชุดใหม่แล้ว โดยผู้สื่อข่าวคาดว่า น่าจะเป็นเพราะน้อยใจ พล.อ.สนธิ ที่ไม่ยอมหารือกันก่อนในการออกประกาศฉบับที่ 30 ยกเลิก กรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯชุดเก่าและแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินชุดใหม่ อย่างไรก็ตามก่อนหน้า นายสวัสดิ์ ได้ออกคำแถลงชี้แจงกรณีข่าว มีความขัดแย้งกับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ในเรื่องที่ คุณหญิงจารุวรรณได้หารือ 5 อดีต ส.ว.แก้ประกาศ คปค.ฉบับที่ 23 รื้อบอร์ด คตส. ยกแผงชี้การอายัดทรัพย์ต้องเป็นกลางและมีหลักฐานชัดเจนนั้นไม่เป็นความจริง แต่ประการใด
คตส.เข้ารายงานตัวแล้ว - “แก้วสรร” ฟิตมาตั้งแต่เช้า
คปค.ตั้ง กก.ยึดทรัพย์ชุดใหม่ ดึง “นาม-แก้วสรร” ร่วม ขยายความผิดคลุม “เลี่ยงภาษี”
3.โยกย้ายทหาร เด้ง ตท.10 เข้ากรุ -‘วินัย’นั่งปลัดฯกห .‘สพรั่ง-อนุพงษ์’ขึ้น 5 เสือทบ.
28 ก.ย. ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้นายทหารเข้ารับราชการจำนวน 612 ตำแหน่ง โดยมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ( คปค. ) เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งบัญชีโยกย้ายนายทหารในปีนี้ เป็นไปตามคาดหมาย ที่เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผบ.หน่วยคุมกำลังในเขต กทม. ถูกปรับออกจากตำแหน่งทั้งหมด ประกอบด้วย พล.ต.ศานิต พรหมาศ ผบ.พล.ม 2 รอ. เป็นที่ปรึกษาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต. พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ. เป็นผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดฯ พล.ต.เรืองศักดิ์ ทองดี ผบ.พล.ปตอ.เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดฯ นอกจากนี้ แกนนำนายทหาร ตท.10 อีกหลายคน เช่น พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ถูกย้ายพ้นกองทัพบกเป็น รอง เสธ.ทหาร พล.อ.อภิชัย ทรงศิลป์ เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักงานปลัดฯกลาโหม พล.ต.พิรุณ แผ้วพลสง รอง ผบ.ศรภ. เป็นที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด พล.ต.มนัส เปาริก รองแม่ทัพภาคที่ 3 ถูกเด้งเข้ากรุเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พล.ร.ท.กมล สุทธิสารสุนทร หน.ฝสธ.ผบ.ทร. เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ พล.ร.ท.รพล คำคล้าย ผช.เสธ.ทร. ฝขว. เป็น ผช.เสธ.ทอ.ฝยก. พล.ร.ท.สามารถ จำปีรัตน์ เสธ.สรส. ทร.เป็นที่ปรึกษากองทัพเรือ พล.ร.ต.วีระวงศ์ ธวมงคล รองผบ.กองเรือภาคที่ 1 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ พล.ร.ต.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ จก.ส่งกำลังทหารเรือ เป็นเจ้ากรมจเรทหารเรือ พล.ร.ต.สุรพจน์ ผลอวยพร เจ้ากรมพลาธิการทหารเรือ เป็นรอง ปช.ทร. พล.ร.ต.พีรสรรพ์ วัชรมูล รอง ผบ.กองเรือภาคที่ 2 เป็นรองผู้บัญชาการกองเรือป้องกันฝั่ง พล.ร.ต.รุ่งรัตน์ บุณยรัตพันธุ์ รอง ผบ.กองเรือภาคที่ 1 เป็นเจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ ตท.10 ในส่วน กองทัพอากาศ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เสธ.ทอ. เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.ท.พิธพร กลิ่นเฟื่อง ผช.เสธ.ทอ. ฝยก. เป็น ผบ.สอส.บศอ. พล.อ.ท.สุเมธ โพธิ์มณี ผบ.อย. เป็น จก.ยศ.ทอ. พล.อ.ท.วีระคุปต์ ศรีสงคราม ผช.เสธ.ทอ.ฝขว. เป็นรอง ผบ.บยอ. พล.อ.ท.ม.ล.สุทธิรัตน์ เกษมสันต์ ผช.เสธ.ทอ.ฝยบฅ พล.อ.ท.สมชาย เธียรอนันท์ ผบ.ศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธ ทอ. (ศอว.ทอ.) พล.อ.ท.สุพสร เกสรมาลา เจ้ากรมช่างอากาศ พล.อ.ต.โฆษก ประคองทรัพย์ เสธ.บยอ.เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศในขณะที่ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล เลขาธิการ คปคป. เพื่อนร่วมรุ่น (ตท.6 ) ของ พล.อ.สนธิ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ตามคาด ส่วนพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ รอง ผบ.สส. (ตท.6 ) ขึ้นเป็น ผบ.สส. ขณะที่ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เสนาธิการทหาร (ตท.7) ที่เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดฯกลาโหม ถูกเตะข้ามไปเป็น จเรทหารทั่วไป ดังนั้นบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารครั้งนี้ยังทำให้ ตท. 6 คุมอำนาจทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จ โดยมี พล.อ. วินัย ภัททิยะกุล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม (เกษียณ ปี51) พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ รอง ผบ.สส. ขึ้นเป็น ผบ.สส. (เกษียณ ปี 51) โดยผนึกกำลังกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.(เกษียณ ปี 50) พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. (เกษียณ ปี 51 ) และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.(เกษียณ ปี 51 ) แกนนำ คปค. ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ พล.อ.สนธิ ได้จัดทัพใน 5 เสือทบ. ใหม่โดย พล.อ.ไพศาล กตัญญู ผช.ผบ.ทบ.(ตท.7)เป็น รองผบ.ทบ. (เกษียณ ปี 50) พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็น ผช.ผบ.ทบ. (เกษียณ ปี 53 ) พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 เป็น ผช.ผบ.ทบ.(เกษียณ ปี 51 ) พล.ท.มนตรี สังขทรัพย์ ผบ.นสร. เป็น เสธ.ทบ. (เกษียณ ปี 52) ขณะเดียวกันยังได้จัดทัพคุมกำลังในเขต กทม.ใหม่ โดยส่ง พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.12) เป็น แม่ทัพภาคที่ 1 ดึง พล.ต.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ ผบ. จทบ.เพชรบุรี (ตท.12 ) ขึ้นเป็น ผบ.พล. 1 รอ. พ.อ.วิลาศ อรุณศรี รองผบ.พล.ม. (ตท.12) ขึ้นเป็น ผบ.พล.ม.2 รอ. ด้าน กองทัพภาค พล.ท.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 (ตท.9)เป็น แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ ที่ปรึกษา ทบ. (ตท.9) เป็น แม่ทัพภาคที่ 4 ส่วน พล.ท.สุเจตน์ วัฒนสุข ซึ่งมีความใกล้ชิด พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม ยังคงเป็น แม่ทัพภาคที่ 2 เช่นเดิม
โผทหารคลอด “บุญสร้าง” ผบ.สส. - “วินัย” นั่งปลัดฯ - “อนุพงษ์-สพรั่ง” ผงาด
4. "ในหลวง"โปรดเกล้าฯรธน.ฉบับชั่วคราวแล้ว มี 39 มาตรา
1 ตุลาคมที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว โดยมีทั้งสิ้น มี 39 มาตรา สำหรับ มาตราที่น่าใจสนเป็นพิเศษมีดังนี้คือ มาตรา 5 ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกิน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ในการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้คำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการจากภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม ในกรณีที่มีกฎหมายห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับแก่การได้รับตำแหน่งแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
นอกจากนี้ ยังมีมาตรา มาตรา 14 ระบุว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติถวายคำแนะนำ และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะเดียวกันมิได้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติแต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนน
มาตรา 17 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่รัฐธรรมนูญนี้ จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 20 ระบุว่า ให้มีสมัชชาแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีจำนวนไม่เกิน 2,000 คน ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ ตามวรรค 1 ให้นำความในมาตรา 5 วรรค 3 และ วรรค 4 มาใช้บังคับแก่การสรรหาบุคคล และการได้รับการแต่งตั้ง เป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม
มาตรา 22 ระบุว่า ให้สมัชชาแห่งชาติ มีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเอง เพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อ ผู้สมควรได้รับการโปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 200 คน ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งแรก และเมื่อได้คัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ยังไม่อาจคัดเลือกได้ครบถ้วน ให้สมัชชาแห่งชาติเป็นอันสิ้นสุด การคัดเลือกตามวรรค 1 ให้สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ มีสิทธิเลือกได้คนไม่เกิน 3 รายชื่อ และให้ผู้ได้คะเเนนเสียงสูงสุด เรียงไปตามลำดับจนครบ 200 คน เป็นผู้ได้รับเลือก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันในลำดับใด อันจะทำให้มีผู้ได้รับเลือกเกิน 200 คน ให้ใช้วิธีจับสลาก
มาตรา 23 ระบุว่า เมื่อได้รับบัญชีรายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกจากสมัชชาแห่งชาติแล้วให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้เหลือ 100 คน และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่สมัชชาแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเลือกสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 100 คน เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
โปรดเกล้าฯ รธน.ชั่วคราว - ปธ.มนตรีความมั่นคงฯ ปลดนายกฯ ได้
5.เปิดสุวรรณภูมิป่วนสุดๆเช็คอินล่ม-กระเป๋าตกเครื่อง/เด้งผู้บริหารการบินไทยแล้ว 1 ราย
ข่าวฮอตอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่าามาคือ กรณีการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่า หลังจากผู้โดยสารของของสายการบินแอร์โรวสวิสต์จากเมือง เคียฟ ประเทศยูเครน ซึ่งกำหนดถึงสุวรรณภูมิเวลา 04.10 น.ล่าช้าประมาณ 30 นาที เป็นสายการบินแรกเสียเวลาในการอกระเป๋าอีก 2 ชั่วโมง เนื่องจาก รถไฟฟ้าขนกระเป๋าจากเครื่องบินมายังสายพานไม่พอและมีกระเป๋าผู้โดยสารตกหล่นจากต้นทางอีกกว่า40 ใบ ตามด้วยสายการบินไทย ที่เดินทางมาจากกรุงเดลี ถึงเวลา 05.05น. ก็เกิดความวุ่นวายตั้งแต่การเดินออกจากเครื่องบินเข้าสู่อาคารเทียบเครื่องบิน (คองคอร์ต)เพื่อเข้าสู่กระบวนการของตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และรับกระเป๋า เนื่องจากป้ายบอกทางตลอดแนวของ คองคอร์ต ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณ โซน ดี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมของทางเดินผู้โดยสารขาเข้ากับเคาน์เตอร์ ตม.นั้น ป้ายบอกทางตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม สังเกตไม่ชัดเจน โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) ประเภท น้ำหอม ของบริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งทำให้ผู้โดยสารสับสน หลงทาง โดยเฉพาะผู้โดยสารต่อเครื่องต้องเสียเวลามากกว่าปกติ โดยเที่ยวบินขาข้าวของการบินไทยจาก ภูเก็ตผู้โดยสารต้องใช้เวลารอกระเป๋าถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง นอกจากนี้ ระบบเช็คอินตั๋วโดยสารขาออกของทุกเคาน์เตอร์ มีปัญหา การทำงานล่าช้า และระบบล่มเป็นระยะๆ ทำให้ผู้โดยสารต้องใช้เวลารอเช็คอินนาน บางเที่ยวบินกว่า 1 ชม. ทำให้เจ้าหน้าที่เช็คอินต้องใช้ระบบ Manual ใช้มือเขียนตั๋วโดยสารแทนเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินล่าช้า ทั้งนี้ ปัญหาของระบบเช็คอินที่ล่าช้าเกิดจาก ระบบไอทีที่วางไว้ มีเซอฟ์เวอร์ไม่เพียงพอกับความต้องการเมื่อมีการเปิดเคาน์เตอร์เช็คอินพร้อมๆ กันจำนวนมากในช่วงที่มีผู้โดยสารเข้ามาเช็คอินพร้อมกันทำให้โครงข่ายแน่น ประกอบกับ สำนักงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คลังสินค้า มีการเปิดใช้งานเช่นกัน จึงทำให้โครงข่ายยิ่งแน่น สาเหตุเกิดจากบริษัท ทศท. จำกัด เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียว ทำให้เมื่อแน่นจึงไม่มีโครงข่ายสำรอง นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลไปถึงระบบการตรวจสอบของ ตม. ที่ล่มเป็นระยะๆ ด้วยทำให้เกิดความแออัดของผู้โดยสาร ด้านนายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทเอกชนเข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรม เพื่อให้ระบบฐานข้อมูลดีขึ้น แต่มีการกดสวิตช์ผิดตัว ซึ่งขณะนี้กำลังสอบสวนเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวอยู่ว่าเหตุใดจึงมีการกดผิด แต่อย่างไรก็ตาม หลังได้รับรายงาน 15 นาที ระบบก็มีการแก้ไขและกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ในขณะที่แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัญหาของการขนส่งกระเป๋าจาก เครื่องบินมายังสายพานในอาคารนั้นประเมินขณะนี้ต้องใช้เวลามากกว่า ดอนเมืองรวมทั้งใช้เจ้าหน้าที่มากกว่าด้วย ทั้งๆที่ ระบบของสุวรรณภูมิใหม่และใช้ไอทีมากกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากการออกแบบอาคารมีเพดานที่ต่ำมากจนทำให้รถลากกระเป๋าเข้าไปในอาคารได้น้อยและต้องใช้เจ้าหน้ายกกระเป๋าไปใส่สายพาน แทนที่จะให้รถเข้าไปยังสายพานได้ทั้งหมด ทำให้เสียเวลา ซึ่งส่วนนี้ไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างของอาคารได้แล้ว และล่าสุด 30 ก.ย.ที่ผ่านมา นายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานคณะกรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความผิดพลาดของระบบกระเป๋าที่เกิดขึ้นจากการให้บริการวันแรกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบว่า เกิดจากการบริหารการจัดการไม่เป็นไปตามแผนจึงได้มีการสั่งย้ายนายเพทาย บุญยเวช ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นการบินไทย พร้อมกับมอบหมายให้ นายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาโครงการลงทุนของบริษัทการบินไทยในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเข้ามาเป็นผู้ประสานงานในเรื่องนี้และให้เรืออากาศโทอภินันท์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมาตนได้มีการประชุมและกำชับทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องในการประสานและติดตามการแก้ไขปัญหาก่อนที่จะมีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ อีกทั้งได้มีการย้ำตลอดเวลาว่าหากเกิดปัญหาในส่วนใดขอให้บอกเพราะพร้อมที่จะลงไปร่วมแก้ไขได้ในทุกกรณี คาดว่าปัญหาจะคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 1 – 2 เดือน
สนามบินสุรรณภูมิวุ่น! เจอปัญหาซ้ำซากเคาน์เตอร์เช็กอินล่มทั้งระบบ
คมนาคมสรุปภาพรวมเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิพอใจร้อยละ 80
6.ปล่อยตัวแล้ว 4 สมุนแม้ว-ทหาร ถอนกำลังเข้าที่ตั้งแล้ว
กรณีการควบคุมตัวอดีตรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรม นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกควบคุมตัวไว้ในช่วงต้นๆ ของเหตุการณ์ยึดอำนาจรัฐบาลเก่านั้น ล่าสุด 1 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) กล่าวว่า ได้ปล่อยตัวไปแล้วส่วนความเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้ หลังจากนี้ เป็นเรื่องของตำรวจที่จะต้องติดตามต่อไป ด้านพล.ต.อ.ชิดชัย หลังได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมของคณะปฏิรูปฯ ได้เดินทางกลับเข้าบ้านพักซอยประชาราษฎร์ 10 จ.นนทบุรีทันที อย่างไรก็ตามเมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย เห็นผู้สื่อข่าว ก็เดินตรงเข้ามาหาและบอกว่า “ให้กลับไป ๆ ๆ ๆ ได้แล้ว” เมื่อช่างภาพจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ พล.ต.อ.ชิดชัย ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก พร้อมเดินเข้าบ้านพักทันที ด้าน น.พ.พรหมินทร์ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าตนและพล.ต.อ.ชิดชัยถูกปล่อยตัวเมื่อเวลา 10.00 น.ของวันที่ 1 ต.ค. ส่วนนายเนวินและนายยงยุทธนั้นถูกควบคุมตัวไว้ที่อื่นจึงไม่ทราบว่า คปค.ปล่อยตัวแล้วหรือไม่พร้อมระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.นั้น ตนร่วมกับ พล.ต.อ.ชิดชัย พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ รอง ผบ .สส. และนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกกว่า 10 นาย รวมตัวกันที่ บก.สส. โดยได้ทำหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญปี 2540 และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างเต็มที่จนถึงวินาทีสุดท้ายคือการถ่ายทอดสดประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญพ.ศ.2540 และวันที่ 1 ต.ค. ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯรัฐธรรมนูญปกครองชั่วคราว พ.ศ.2549 บังคับใช้แล้ว นายกรัฐมนตรีและครม.ชุดใหม่ต้องถวายสัตย์ฯว่าต้องรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย และว่า สิ่งที่ตนเองปรารถนาในช่วงจากนี้ไปคือ อยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่สภาวะความสงบสุข ขอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นมีความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า แม้วันนี้สถานการณ์ จะคลี่คลายเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยไปแล้วก็ตาม แต่สิ่งใดที่ไม่ได้มีความหมายของ ประชาธิปไตยต้องสลายไปให้เร็วที่สุด วันนี้พรรคไทยรักไทยเสมือนกับคนที่ไม่มีปากหรือโดนมัดตราสังไปแล้ว พร้อมระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย สั่งการมาชัดแล้วว่าขอให้พรรคไทยรักไทยปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศของ คปค.อย่างเคร่งครัด แม้ยามนี้ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ คปค.ได้บอกไว้ เช่น การห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน แต่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์และการชุมนุมของคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้หมายความว่าสิ่งที่คปค.ประกาศไปนั้นไม่มีความหมาย ฉะนั้นคำสั่งและประกาศของคปค.ไม่มีความหมายและเป็นสิ่งที่ลดเครดิตของคปค.ไปแล้ว ในวันเดียวกันนี้ก่อนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลนานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า ทหารพร้อมรถถังที่ คณะปฎิรูปฯ สั่งให้ออกมาดูแลความเรียบร้อยตามจุดสำคัญๆ เช่น บริเวณทำเนียบรัฐบาล ลานพระบรมรูปทรงม้า และถนนราชดำเนิน ต่างถลอยถอนกำลังเข้ายังกรม กองของตัวเองแล้ว
“พล.อ.สนธิ” ย้ำไม่ล้วงลูกรัฐบาล - ปล่อย 4 สมุนแม้ว แต่จับตาเข้ม
ปชช.บ่นเสียยดาย!! หลังทหารถอนกำลังกลับที่ตั้งปกติ
7.ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต "ผู้พันตึ๋ง" และพวก
ประเด็นข่าวที่ได้รับความสนใจอีกประเด็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณี พิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่อัยการ เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง , ส.อ.มานิตย์ ศรีสะอาด และ ส.อ.สุวัฒน์ คำเหง้า เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฆ่านายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 มี.ค.44 ที่ห้องพักเลขที่ 4006 โรงแรมรอยัล แปซิฟิค ย่านวังทองหลาง กทม. โดยคดีนี้อัยการได้ยี่นฟ้อง น.ส.อังคนางค์ สุนทรวิภาค ฐานร่วมกันฆ่า แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ว่ามีความผิดฐานรับของโจรและพกพาอาวุธปืน โดยลงโทษจำคุก 3 ปี 8 เดือน และรับโทษจนคดียุติแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1-3 ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นตัดสินประหารผู้พันตึ๋ง และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2,3 ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประหารชีวิตทั้งสามคน ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุฆ่าผู้ตายหรือไม่ คดีนี้โจทก์นำสืบว่า นายปรีณะ ผู้ตายเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ก่อนหน้านั้นผู้ตายตรวจสอบพบการทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียของกลุ่มผู้มีอิทธิพล โดยผู้ตายต้องเข้ามาราชการราชการในกทม. และเปิดห้องพักเลขที่ 4006 วันที่ 4 มี.ค. 44 โดยได้เรียก น.ส.อังคนางค์ ที่เคยมีสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาวมาหาที่ห้องในวันดังกล่าวและร่วมหลับนอนกัน ขณะที่จำเลยที่ 1 เป็นนายทหารสืบสวนเกี่ยวกับยาเสพติด ขึ้นต่อกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยจำเลยทั้งสามได้มาเปิดห้องพักเลขที่ 4015 และ 4017 โดยจำเลยที่ 1 ได้พาน.ส.ประยูร ภรรยาน้อยมาพักด้วย โดยเช้าวันที่ 5 มี.ค.49 พนักงานโรงแรมได้พบศพผู้ตายถูกเชือดคอมีบาดแผลหลายแห่ง และถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .22 แม็กนั่มเข้าที่ท้ายทอยด้านซ้าย นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตประตูทางเข้าห้อง มีผ้าขนหนูคลุมที่หัวและคออยู่ 2 ผืน โจทก์มีพยานเป็นพนักงานโรงแรมนำสืบ ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยมาเปิดห้องพักโดยใช้ชื่อปลอมว่า กาย และเห็นจำเลยเข้าออกในโรงแรมในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้โจทก์นำสืบจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์พบคราบเลือดที่บริเวณก๊อกน้ำห้องพักของจำเลย ตรงกับคราบเลือดของศพ และยังพบคราบเลือดที่รองเท้าผ้าใบของจำเลยที่ 3 และที่แป้นเบรกของรถยนต์อีซูซุ ทรูเปอร์ ทะเบียน 3965 เชียงใหม่ ของจำเลยที่ 1 และยังพบแผนผังห้องพักภายในโรงแรมที่เป็นลายมือของจำเลยที่ 1 ที่บ้านพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งคาดว่าเป็นการวางแผนก่อนฆาตกรรมนายปรีณะ คดีจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า วันที่ 4 มี.ค.44 นายปรีณะ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ประกอบกับจากการนำสืบพยานมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้ง 3 อยู่ในห้องใกล้ที่เกิดเหตุ และคำให้การชั้นสอบสวนของ น.ส.อังคนางค์ ซึ่งแม้จะเป็นจำเลยร่วม แต่ก็รับฟังได้โดยมีน้ำหนักเพียงพอ ว่าจำเลยทั้ง 3 เป็นคนร้ายจริง ข้ออ้างของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิต จำเลยทั้ง 3 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ภายหลังฟังคำพิพากษา ผู้พันตึ๋ง และจำเลยร่วมอีก 2 คน มีสีหน้าสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด และบรรดาญาติๆ ทั้งมารดา ภรรยา และลูกๆ ต่างร้องไห้กันระงม โดยลูกสาวได้แต่ร้องว่าพ่อหนูไม่ผิด หลายครั้ง พ.ต. เฉลิมชัย กล่าวกับผู้สื่อข่าวหน้าห้องควบคุมว่า จะขอถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ด้านนายพิศาล วิบูลย์ศิลป์ ทนายความกล่าวว่าจะรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้ทันปลายปีนี้ และจะอ้างถึงคุณงามความดีที่เคยปราบปรามยาเสพติด เคยช่วยงานการกุศล
“ผู้พันตึ๋ง” ซีด! ศาลฎีกาประหารชีวิตสถานเดียว