คณบดี นิเทศฯ ม.รังสิต เปิดโปงธาตุแท้ “สื่อเทียม” มุ่งรับใช้เผด็จการ ไม่สนใจความเดือดร้อนประชาชน เชื่ออยู่ได้ไม่นาน หากรัฐบาลหมดอำนาจ เผยรู้สึกเสียใจ ที่รุ่นน้อง มธ. ทรยศอุดมการณ์ เป็นตัวตั้งตัวตีทำสื่อเทียม รับใช้ทรราชเสียเอง วอนอาจารย์เรียกมาสั่งสอนใหม่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 15 สถานีข่าวอัญชลี ไพรีรัก,ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แขกรับเชิญ ดร.อนุสรณ์ ศรีแก้ว,ชัยพันธ์ ประภาสะวัต,ต่อพงษ์ เศวตามร์
ดร.อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวระหว่างร่วมรายการ “สถานีข่าว” บนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 15 ที่สวนลุมพินี เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ถึงปรากฏการณ์ “สื่อเทียม” ที่ออกมาสร้างความสับสนให้กับประชาชนในขณะนี้ ว่า สื่อเทียมกับสื่อแท้ สังเกตไม่ยาก เพราะสื่อแท้จะอยู่เคียงข้างประชาชน รายงานถึงความเดือดร้อนของประชาชนตลอด โดยเฉพาะกรณีประชาชนถูกทำร้ายที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ถ้าสื่อไหนรายงานออกไปตามข้อเท็จจริงสื่อนั้นคือสื่อแท้ ขณะที่สื่อเทียมจะพยายามปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาล คอยแต่เชียร์รัฐบาล ไม่สนใจว่ารัฐบาลจะทำร้ายประชาชนอย่างไร
ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเผด็จการในยามที่สถานภาพตัวเองสั่นคลอน มักจะจัดตั้งสื่อเทียมขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ยิ่งในสถานการณ์การต่อสู้ที่เริ่มแหลมคม อะไรก็แล้วแต่ที่เขาจะคงความได้เปรียบในการต่อสู้ไว้ได้ เขาก็จะใช้ โดยเฉพาะสื่อ เป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลสูง แต่การที่เขาจะใช้สื่อของรัฐที่เขาควบคุมเอง ก็จะถูกโจมตีอย่างหนักว่าเป็นการใช้สื่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เขาจึงหลีกเลี่ยง โดยการจัดตั้งสื่อเอกชนขึ้นมา และให้ไปปะทะกับสื่อเอกชนด้วยกันเอง แต่จริงๆ แล้วเป็นสื่อเอกชนจัดตั้งเพื่อเป็นตัวแทนของเขาเพื่อสร้างพลังต่อรอง เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาก็จะบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างสื่อด้วยกันเอง
“เมื่อสื่อเกิดความขัดแย้งกัน เขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่เกี่ยว ให้สื่อไปคุยกันเอง เหมือนกับการสร้างมวลชนขึ้นมาต่อต้านพันธมิตรฯ ก็อ้างว่าเป็นความไม่เข้าใจกันระหว่างประชาชน ซึ่งวิธีการนี้ เป็นการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า อิทธิพลของสื่อเทียม จริงๆ แล้ว ไม่สามารถทำให้ประชาชนที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ในพันธมิตรฯ หรือคนที่มีร่วมชุมนุม เกิดความสับสน เพราะรู้ดีว่าความจริงคืออะไร แต่มีมวลชนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับข่าวสารทั้ง 2 ด้าน อาจหลงเชื่อกลุ่มปลุกระดม คนเหล่านี้ถ้าเราดูประวัติ อย่างคนจมูกชมพู่ เคยทำสื่อสมัย 6 ตุลา มีการปลุกระดมให้คนไทยเข่นฆ่ากันเองมาแล้ว ซึ่งเราต้องไม่หลงกลกับสื่อเทียมเหล่านี้อีก
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สื่อเทียมเหล่านี้คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อรัฐบาลนี้ล้มไป หรือหมดอำนาจ สื่อเทียมจะหายไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม นอกจากสื่อเทียม ก็ควรระวัง “สื่ออีแอบ” คือสื่อที่ทำตัวเป็นสื่อแท้ แต่จริงๆ แล้ว เมื่อเกิดเรื่องราวอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน แต่ถ้าไปกระทบกับการอยู่ในอำนาจ หรือผลประโยชน์ของเขา เขาก็จะไม่สนใจ โดยเฉพาะสื่อเหล่านี้จะแทรกตัวอยู่ในสื่อของรัฐ
นอกจากนี้ ดร.อนุสรณ์ ยังได้แสดงความเสียใจที่คนเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้งสื่อเทียม เป็นรุ่นน้องของเขาเอง ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันเป็นมหาวิทยาลัยที่สอนให้ลูกศิษย์รักประชาชน รักษาผลประโยชน์ชาติ แต่มีลูกนอกคอกบางคนไปรับใช้ทรราชแทน เพราะฉะนั้นอาจารย์ผู้สอนควรเรียกลูกศิษย์คนดังกล่าวมาสั่งสอน เรียกมาถามว่า อุดมการณ์หายไปไหน เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะเรียกกลับมาให้ยืนอยู่ข้างประชาชน
ดร.อนุสรณ์ ยังได้กล่าวฝากไปถึง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อปี 2519 เขาเป็นรองเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และรู้จักกับนายแพทย์พรหมินทร์ที่เป็นรุ่นพี่ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล เพราะที่ทำงานของศูนย์กลางนิสิตอยู่ที่มหิดล จึงได้รู้จักกับนายแพทย์พรหมินทร์ และถือว่า นายแพทย์พรหมินทร์ เป็นรุ่นพี่
“คงต้องฝากถึงพี่ว่า ก่อน 6 ตุลา นักศึกษาในมหิดลเราก็เรียกพี่ทุกคน อยากจะบอกว่า พี่เลิกเถอะ มาอยู่กับฝ่ายประชาชนดีกว่า เพราะความจริงแล้ว ประวัติศาสตร์มันบอกอยู่ ว่า คนที่ทรยศต่อประชาชน ชะตากรรมสุดท้ายจะเป็นอย่างไร” ดร.อนุสรณ์ กล่าว