นักวิชาการด้านสิทธิฯ ชึ้ เหตุระเบิด 22 สาขาแบงก์ในยะลา สะท้อนความล้มเหลวของ “ทักษิณ” ถึงรู้ล่วงหน้าก็ทำอะไรไม่ได้ ระบุ เหมือนปล่อยภาคใต้ลอยออกไปแล้ว ทหารขอกำลังเพิ่มก็ยังไม่ได้ ต้องวิ่งรอกป้องกันจุดล่อแหลม เชื่อ กลุ่มก่อเหตุหวังแค่ลดความน่าเชื่อถือของรัฐ เผยเบื้องลึกมุสลิมใต้ไม่เอาทักษิณนานแล้ว เพราะเคยไปดูถูก เอาทุนนิยมฟุ้งเฟ้อเข้าไปมอมเมา ซ้ำยังขัดขา-ดูหมิ่นเหยียดหยาม การทำงานของทหาร ฟันธงถ้า “แม้ว” ยังอยู่ภาคใต้นับวันทรุดหนักแน่
ดร.สุนัย ผาสุก นักวิชาการที่ปรึกษากลุ่มฮิวแมนไรท์ส วอชท์ และอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวในช่วง “สถานีข่าว” ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร คอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 14 ที่สวนลุมพินี เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ว่า กรณีเหตุระเบิดสาขาธนาคาร 22 แห่ง ใน จ.ยะลา พร้อมกันในเวลา 11.20 น.ของวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลชุดนี้
ดร.สุนัย กล่าวว่า คนในพื้นที่ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐ รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการก่อเหตุในวันดังกล่าวอย่างน้อย 3 สัปดาห์ แต่รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะขณะนี้ เหมือนรัฐบาลทิ้ง 3 จังหวัดภาคใต้ไปแล้ว กองทัพบกขอกำลังทหารไปก็ยังไม่ได้เพิ่ม ทหารเท่าที่มีอยู่ก็ต้องวิ่งรอกในการป้องกันจุดต่างๆ โดยไปอยู่ตามจุดที่เคยถูกโจมตีมาก่อน เช่น โรงเรียน วัด ศาลากลาง แต่ธนาคารซึ่งไม่เคยโดนมาก่อน ก็เลยโดน
“ตอนนี้ รัฐบาลเหมือนปล่อยภาคใต้ลอยออกไป ชาวบ้านพึ่งใครไม่ได้ต้องพึ่งตัวเอง รวมทั้งทหารก็ยังต้องพึ่งตัวเอง” ดร.สุนัย กล่าว
ดร.สุนัย กล่าวต่อว่า การวางระเบิดธนาคาร เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธระบอบทุนฟุ้งเฟ้อ ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยดูถูกคนมุสลิมไว้ว่า ไม่รักความก้าวหน้า เอาแต่เลี้ยงแต่นกเขาไปวันๆ ไม่รู้จักสร้างความเจริญ นี่เป็นจุดที่พวกเขาไม่พอใจ และไม่เอากับ พ.ต.ท.ทักษิณ
“การระเบิดธนาคาร นี่คือ ไม่เอาแล้วระบอบทักษิณ แม้แต่ธนาคารอิสลามที่ทักษิณ เอาลงไป เขาก็ไม่เอา เพราะเขาต้องการอยู่แบบตั้งเดิม คือ เขาอยู่ดีๆ จะให้เป็นหนี้ เขาไม่เอาเด็ดขาด”
ดร.สุนัย กล่าวอีกว่า การวางระเบิดธนาคารพร้อมกัน หลายสาขา ในหลายอำเภอ และอยู่ในเขตเมือง ทำให้เชื่อว่าคนที่วางน่าจะมีทั้งผู้ชายผู้หญิง หลายระดับอายุ แสดงว่า เขาสามารถแทรกซึมมาอยู่ในเมือง มาอยู่ใต้จมูกของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว เพราะฉะนั้นถึงจะรู้ล่วงหน้า ก็ทำอะไรไม่ได้
“วัตถุประสงค์ของการระเบิด คงไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายมาก เพราะระเบิดขนาดไม่ใหญ่ น่าจะเพียงแค่ต้องการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐให้เหลือศูนย์ ให้เห็นว่า ถึงแม้รัฐบาลจะล่วงหน้าก็รู้ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งผมเชื่อว่ารัฐบาลรู้ล่วงหน้าจริงๆ แต่การที่รู้แล้วไม่สามารถป้องกันได้ ก็ยิ่งดูน่าเป็นห่วงมากกว่า”
ดร.สุนัย กล่าวอีกว่า กลุ่มที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น่าจะเป็นบีอาร์เอ็น แต่เมื่อวันที่ 31 ส.ค.เป็นวันครบรอบการก่อตั้งกลุ่มเบอร์ซาตู ซึ่งเป็นการรวมตัวของหลายๆ กลุ่ม เป็นแนวร่วมเพื่อเอกภาพในการเรียกร้องเอกราชปัตตานี เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มต่อต้าน มีจุดประสงค์ร่วมกันโจมตีสัญลักษณ์ของรัฐไทย ซึ่งสถานการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะขณะนี้รัฐบาลไม่ได้จริงจังกับการแก้ปัญหา และไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“ทหารขออะไรไปก็ไม่ได้ คนที่ลงไปทำงาน กำลังจะเริ่มทำก็โดนย้าย อย่างนี้ เรียกได้เลยว่า มือไม่พายแถมเอาเท้าราน้ำ และถึงขั้นจะล่มเรือเสียอีก”
ดร.สุนัย กล่าวว่า ขณะนี้ ทหารกำลังพยายามเข้าหาประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พยายามเข้าไปดูแล เอาใจใส่สารทุกข์สุกดิบ และให้ความยุติธรรม แต่วิธีการนี้รัฐบาลไม่เอาด้วย ไม่ทำตามที่รับปาก ทั้งเรื่องการดูแลสารทุกข์สุกดิบ และเรื่องการให้ความยุติธรรม นอกจากไม่เอาด้วยแล้ว แถมยังมาดูหมิ่นทหาร คนทำงาน ว่าสมควรตายบ้าง เพราะประมาทเองบ้าง เพราะฉะนั้นปัญหาความไม่สงบในภาคใต้จะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ถ้าบุคคลกลุ่มนี้ยังมีอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่