xs
xsm
sm
md
lg

เปิดรายละเอียดหนังสือพันธมิตรฯ จี้ ผบ.ตร.เอาผิด ตร.สมคบกุ๊ยรุมตื้บ ปชช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


(สำเนา)


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
สำนักงานชั่วคราวถนนพระอาทิตย์

วันที่ 25 สิงหาคม 2549


เรื่อง เรียกร้องความเป็นธรรม
เรียน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. แผ่นวีซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์
2. ภาพนิ่งและถ้อยคำที่ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา สนทนากับผู้ลงมือทำร้ายประชาชน
3. สำเนาคำให้สัมภาษณ์ของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต่างกรรมต่างวาระ
ตามที่ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งไปแสดงความคิดเห็นคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา เมื่อวันที่ 19 และ 21 สิงหาคม 2549 ได้ถูกกลุ่มบุคคลที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายคนร่วมกันกลุ้มรุมทำร้ายร่างกายอย่างป่าเถื่อนจนได้รับบาดเจ็บทางกายภาพ ตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงบาดเจ็บสาหัส และบาดเจ็บทางจิตภาพ เกิดความหวาดหวั่นไม่มั่นใจในความปลอดภัย โดยคนร้ายบางคนแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพูดคุยอย่างสนิทสนมกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่นอกเครื่องแบบ คือ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ผกก.สส.น.6 ส่อให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้บังคับบัญชาของท่านกลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่จับกุมบุคคลที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นซึ่งได้กระทำความผิดซึ่งหน้า กลับจับกุมดำเนินคดีกับประชาชนที่ถูกทำร้ายร่างกาย โดยยัดเยียดข้อหาอาญาในความผิดฐานกระทำการส่งเสียงอื้ออึงโดยไม่มีเหตุสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 370 ดังที่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วนั้น

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดประชุมเครือข่ายปรึกษาหารือร่วมกันแล้วเห็นว่า ประชาชนไทยย่อมมีสิทธิที่จะชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และมีเสรีภาพแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้ แม้จะเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกับรัฐบาล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 30, มาตรา 39 วรรคหนึ่ง และมาตรา 44 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติรับรองไว้อย่างชัดเจน โดยระบุไว้ด้วยว่ารัฐจะจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวมิได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายเฉพาะเพื่อจำกัดสิทธิดังกล่าวไว้ และจะต้องจำกัดสิทธิเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะให้กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวมิได้ อีกทั้งกฎหมายที่จำกัดสิทธินั้นจะต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายจำกัดสิทธิไว้ด้วย ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 29 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายฉบับใดที่ออกตามรัฐธรรมนูญเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนข้างต้น

ดังนั้น การที่ประชาชนไปร่วมแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองโดยตะโกนคำว่า “ทักษิณ...ออกไป” หรือ “ทักษิณ...ลาออกไป” เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ อันเป็นการเรียกร้องให้ยุติบทบาททางการเมือง เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่ขาดจริยธรรม ขาดความสุจริต มีปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบมากมายหลายกรณี จึงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพโดยชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับกรณีที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งไปแสดงความคิดเห็นตะโกนว่า “ทักษิณ...สู้สู้” ในสถานที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่บริหารประเทศต่อไป

การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมิได้จับกุมกลุ่มคนที่ตะโกนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้กระทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยคน และไม่จับกุมคนร้ายที่ทำร้ายประชาชนที่คัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กระทำความผิดซึ่งหน้า แต่กลับดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแสดงความคิดเห็นคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งเป็นผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวกักขัง โดยคนร้ายร่วมกันขู่เข็ญ บังคับ และใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อมิให้ใช้สิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นยังควบคุมตัวประชาชนที่ควรเป็นผู้เสียหาย ไม่ควรเป็นผู้ต้องหาในคดีลหุโทษไว้เป็นเวลานานเกินความจำเป็น อันเป็นการควบคุมตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 87 วรรคสอง นั้น ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อประชาชน และถือว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยที่แสดงให้เห็นว่าภายในระยะเวลา 4-5 ปีนับแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของท่านมิได้ตั้งอยู่บนบทบาทของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มิได้ตั้งอยู่บนบทบาทของความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่ประชาชนคาดหวัง มีนายตำรวจระดับสูงจำนวนมากใช้คำพูดและกระทำการเสมือนกับเป็นผู้พิทักษ์เครือข่ายนักการเมืองที่กำลังสร้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และระบบรัฐตำรวจ ขึ้นภายใต้เสื้อคลุมของระบอบประชาธิปไตย มิได้ปฏิบัติตนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ที่มุ่งเสริมสร้างระบบนิติรัฐ มิได้ปฏิบัติตนเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนโดยรวม

เหตุการณ์หลายครั้งในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการกระทำความรุนแรงต่อผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น

• วันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 เกิดเหตุระเบิดภายในรั้วหน้าอาคารสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ถนนพระอาทิตย์ กทม.

• วันที่ 5 พฤศจิกายน 2548 เกิดเหตุระเบิดที่คลองระบายน้ำ สามแยกทางเข้าวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

• วันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 เกิดเหตุระเบิดหน้าศูนย์ข่าวภาคเหนือ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน

• วันที่ 2 ธันวาคม 2548 มีกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้ามาที่ป้อมยามหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทำร้ายพนักงานรักษาความปลอดภัย แล้วระดมปาถุงอุจจาระใส่หน้าต่างและประตูสำนักงาน

• วันที่ 8 ธันวาคม 2548 เกิดเหตุระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะ บริเวณริมรั้วสวนลุมพินี ก่อนมีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเพียง 1 วัน

• วันที่ 23 ธันวาคม 2548 มีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และประชาชนจากภาคเหนือ มาก่อกวนการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร

• วันที่ 13 มกราคม 2549 ยังคงมีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และประชาชนจากภาคเหนือ มาก่อกวนการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร

• วันที่ 20 มกราคม 2549 ยังคงมีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และประชาชนจากภาคเหนือ มาก่อกวนการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งนี้เกิดระเบิดขึ้น 2-3 ครั้ง จนประชาชนได้รับบาดเจ็บ

• วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 คนร้ายวางระเบิดใต้ม้านั่งซีเมนต์ บริเวณสวนหย่อมของสำนักสันติอโศก หลังจากก่อนหน้านั้น 3 วัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ประกาศนำกลุ่มสันติอโศกเข้าร่วมการชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549

• วันที่ 9 มีนาคม 2549 ตอนบ่าย เกิดเหตุลอบวางระเบิดที่ป้อมยามหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

• วันที่ 9 มีนาคม 2549 ตอนค่ำ เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บ้านพักของนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ภายในบริเวณโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ในช่วงที่นายชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อนักวิชาการทั่วประเทศเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

• วันที่ 18 มีนาคม 2549 นายกิตติชัย ใสสะอาด รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อาสาสมัครช่วยงานหน่วยรักษาความปลอดภัย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกทำร้ายร่างกายที่ข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์ ริมถนนราชดำเนินกลาง

• วันที่ 27 มีนาคม 2549 เกิดเหตุวางระเบิดหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นระเบิดทีเอ็นที หนักเกือบ 1 ปอนด์ ตั้งเวลาไว้ แต่มีผู้พบเห็นก่อน

• วันที่ 30 มีนาคม 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อต้านการตั้งเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่หน้าลานหอศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยตะโกนขับไล่ ขว้างปาสิ่งของใส่เวที และกรูกันจะเข้าไปกลุ้มรุมทำร้าย จนต้องปิดเวทีปราศรัยกลางคัน

• วันที่ 30 มีนาคม 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่มาชุมนุมกันที่สวนจตุจักร เดินทางไปปิดล้อมสำนักงานหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ถนนบางนา-ตราด โดยมีนักการเมืองในรัฐบาลคนหนึ่งสั่งการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง มีหลักฐานปรากฏชัดเจน

• วันที่ 31 มีนาคม 2549 กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหัวคะแนนของนักการเมืองพรรคไทยรักไทยย่านคลองเตย นำขบวนมอเตอร์ไซค์กว่า 100 คันมาบุกสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ถนนพระอาทิตย์ พยายามจะกรูกันปีนเข้าไปทำร้ายพนักงานและทรัพย์สิน แต่ถูกประชาชนละแวกนั้นขับไล่ออกไป

• วันที่ 23 เมษายน 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรภายใต้การนำของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ปิดล้อมเวทีเสวนาสมัชชาประชาธิปไตยที่ห้องประชุมอาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่เชิญนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสุริยะใส กะตะศิลา 2 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปเป็นวิทยากร จนการเสวนาต้องยุติลงก่อนกำหนด

• วันที่ 14 สิงหาคม 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจำนวนกว่า 300 คนกรูกันจะเข้ามาทำร้ายประชาชนเพียง 10 คนที่ไปตะโกนและชูป้ายคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่

• วันที่ 16 สิงหาคม 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และชายฉกรรจ์สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวนกว่า 200 คน กรูกันจะเข้ามาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดตาก ที่เป็นผู้หญิงจำนวนเพียง 10 คน ที่มาตะโกนและชูป้ายคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ริมถนนไฮเวย์ตากสิน

• วันที่ 17 สิงหาคม 2549 ประชาชนกลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชุมนุมกันที่จังหวัดพิษณุโลก กรูกันเข้าฉีกป้ายโปสเตอร์คัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดพิษณุโลก

ฯลฯ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้คัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งปูชนียบุคคลในสังคมไทยอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นอกจากยังจับตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้แล้ว ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการเร่งรัดจับกุมหาตัวผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังและต่อเนื่องเลย

ยังมิพักต้องพูดถึงว่าเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าแจ้งความเอาผิดกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนที่คัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีต่างๆ โดยเฉพาะภายใต้สังกัดกองบังคับการตำรวจปราบปราม จะเร่งทำสำนวนคดีอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกับคดีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนที่คัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าแจ้งความเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความคืบหน้าช้ามาก

แสดงให้เห็นว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของท่าน มุ่งที่จะเป็นผู้พิทักษ์เครือข่ายทางการเมืองของนักการเมืองที่มุ่งสร้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และระบบรัฐตำรวจ ขึ้นภายใต้เสื้อคลุมของระบอบประชาธิปไตย โดยละทิ้งบทบาทผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เครือข่ายประชาชนที่ติดตามจับตาการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา 2 ครั้งล่าสุดยังพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากกระทำตัวเสมือนกับเป็นหัวคะแนนของพรรคการเมืองใหญ่ผู้กระหายอำนาจ อันเป็นการกระทำการที่ไร้เกียรติยศที่สุด

ต่อเหตุการณ์อัปยศล่าสุดเมื่อวันที่ 19 และ 21 สิงหาคม 2549 อันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไปนี้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ถือเป็นเสมือนตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าพล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้แต่ตัวท่านเอง มักจะให้เหตุผลต่อสาธารณะว่า ตำรวจต้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้นำ และเฉพาะพล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัชนั้น มักจะแสดงบทบาทนักวิเคราะห์ทางการเมืองที่ทำทีทำท่าเป็นบินสูงและเป็นกลางอยู่บ่อยครั้ง แต่แท้ที่จริงแล้วคือยืนข้างผู้นำอย่างบินสูงเท่านั้น

จริงอยู่ที่ตำรวจต้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนทุกคน และรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมไปด้วยพร้อมๆ กัน

ที่สำคัญคือ การแสดงความคิดเห็นคัดค้านผู้นำ หาใช่การคุกคามต่อความปลอดภัยของผู้นำไม่ ในประเทศแม่บทประชาธิปไตยอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ มีการประท้วงผู้นำของเขาอย่างรุนแรง ตัวอย่างล่าสุดก็ตอนที่ประเทศมหาอำนาจทั้งสองส่งทหารไปรุกรานอิรัก มีประชาชนผู้ใฝ่สันติออกมาจากบ้านนับล้านคนเพื่อต่อต้านผู้นำของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง และต่อต้านสงคราม ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือว่าเป็นการคุกคามความปลอดภัยของผู้นำประเทศ หรือทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคมแต่ประการใด ในกรณีที่มีผู้ประท้วงเข้าใกล้ตัวผู้นำ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะกันไม่ให้เข้าไปในเขตปลอดภัย หากล้ำเส้นเข้ามาจึงจะผลักดันหรือจับกุมต่อไป และในกรณีที่ผู้คัดค้านรัฐบาลกระทำผิดกฎหมาย ประเทศประชาธิปไตยอารยะก็จะใช้ตำรวจ ไม่ใช่อันธพาล ไปจับกุม หรือไปสลายการชุมนุม และในกรณีที่มีการเผชิญหน้าระหว่างผู้มีความเห็นแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล กับฝ่ายคัดค้านรัฐบาล ประเทศประชาธิปไตยอารยะก็จะกันคน 2 ฝ่ายออกจากกัน โดยตำรวจจะดูแลป้องกันมิให้เกิดกระทบกระทั่งกัน ประเทศประชาธิปไตยอารยะจะไม่มีการเอาใจฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลด้วยการร่วมมือกันทำร้ายฝ่ายคัดค้านรัฐบาลอย่างเด็ดขาด เพราะเคารพหลักสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกทางการเมือง

การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ระดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ

เพราะปัจจัยเบื้องต้นของความเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คือความเป็นนิติรัฐ

นิติรัฐเป็นรูปแบบของรัฐสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเติบโตของชนชั้นกลาง หรือชนชั้นผู้ประกอบ การอาชีพอิสระจากความรู้ความสามารถของตนเอง ไร้อภิสิทธิ์ จึงเรียกร้องต้องการระบบที่ทุกชนชั้นในสังคม รวมทั้งชนชั้นตนเอง เคารพและปฏิบัติตาม การทำมาหากินและวางแผนชีวิตจะได้กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับอำเภอใจของชนชั้นปกครอง นิติรัฐจะวางระบบตำรวจ ระบบทหาร ระบบข้าราชการ ระบบกฎ หมาย และระบบศาล ไว้เพื่อเป็นหลักประกันการทำมาหากินของประชาชนพลเมือง ระบบที่วางไว้นี้แม้แต่ชนชั้นปกครองสูงสุดก็ต้องปฏิบัติตาม ในนิติรัฐนั้นมีหลักทั่วไปที่ถือเป็นกฎเหล็กอยู่ว่า ฝ่ายปกครองจะกระทำการอย่างใดๆ ที่อาจมีผลกระทบกระ เทือนต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือผลประโยชน์อันชอบธรรมของเอกชนคนหนึ่งคนใด – แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ หรือผลประโยชน์อันชอบธรรมของผู้อื่น หรือเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนก็ตาม – หาได้ไม่ ยกเว้นเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจ และภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ในนิติรัฐนอกจากจะมุ่งขจัดปัดเป่าสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจมืด” ทั้งหลายแล้ว ยังต้องควบคุม “อำนาจสว่าง” ซึ่งก็คืออำนาจปกครองของรัฐบาลและระบบราชการประจำ ให้อยู่ในขอบเขตอย่างเคร่งครัดด้วย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานให้ราชอาณาจักรไทยเป็นนิติรัฐมานานกว่า 100 ปี สร้างระบบข้าราชการประจำ ระบบทหาร ระบบตำรวจ ระบบกฎหมาย และ ฯลฯ แต่นับแต่ปี 2490 เรื่อยมานานกว่า 30 ปีการรัฐประหารโดยกลุ่มจอมพลผิน ชุณหะวัณ – พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้สร้างรัฐตำรวจขึ้นมาเป็นรากฐานของระบอบเผด็จการ แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จะปฏิรูปไปได้ไปได้พอสมควร แต่ทรรศนคติรัฐตำรวจก็ยังคงดำรงอยู่ในหมู่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยในยุคปัจจุบัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 10 เดือนมานี้ เริ่มทำให้สังคมไทยตั้งคำถามต่อเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มากที่สุด ไม่แพ้ยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์

ท่านคงจะทราบดีว่า ตำรวจไทยเคยยิ่งใหญ่ที่สุด และเลวที่สุด พร้อมๆ กัน ในยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ในยุคนั้นตำรวจมีคำขวัญว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” มาถึงยุคนี้ ท่านอาจจะไม่ทราบว่าเขาเปลี่ยนคำขวัญใหม่แล้วเป็น “ภายใต้จันทร์ส่องหล้า ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ตำรวจในยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเลวที่สุดนั้น ตำรวจทำได้หมด ไม่ว่าค้าฝิ่น อุ้มฆ่า ยิงทิ้ง ส.ส.และรัฐมนตรี ฝ่ายค้าน นักหนังสือพิมพ์ และสถาปนาตำรวจให้เป็นอีกกองทัพหนึ่ง ตั้งหน่วยใหม่ๆ และเพิ่มกำลังพลเพื่อคานอำนาจกับกองทัพบก

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารประเทศ ก็ยังคงสร้างฐานอำนาจด้วยวิธีการแบบรัฐตำรวจ โดยในส่วนของหน่วยงานสำคัญขององค์กรอิสระและระบบราชการ ก็เอา ตำรวจที่เป็นพวกพ้อง เครือญาติ และเพื่อนร่วมรุ่น เข้ามาคุม ตัวท่านเองก็น่าจะซาบซึ้งในวิธีการนี้ดี เมื่อเกือบไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเมื่อได้รับตำแหน่งนี้แล้ว ท่านก็คงจะทราบดีว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีคนนี้ได้แต่งตั้งให้เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งหมายตาไว้ให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ออกมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การบังคับบัญชาของท่านอีกที

ทุกวันนี้ ท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกวางตัวไว้ให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป

และท่านน่าจะหูตาสว่างพอที่จะรู้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ คนนี้ เป็นนายเหนือหัวของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ผกก.สส.น. 6 ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงให้มาคุมปฏิบัติการพิเศษที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549

ความไม่เป็นธรรมที่ตำรวจในยุคปัจจุบันมอบให้แด่ผู้ที่คัดค้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแม้จะร้ายแรง แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับวิธีการแบบรัฐตำรวจที่ก่อให้เกิดตัวแบบของรัฐตำรวจขึ้นมาอย่างกว้างขวางในประเทศไทย การคิดว่าตัวเองถือกฎหมาย อยู่ฝ่ายผู้มีอำนาจ จะทำอะไรไม่ต้องแยแสกฎหมายหลัก มุ่งแต่สนองงานให้กับผู้นำที่เป็นนาย ตัวแบบเช่นนี้เมื่อนำไปใช้กับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ติดต่อกันมา 3-4 ปีทำให้เกิดมิคสัญญีกลียุคขึ้นที่นั่น และกำลังทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ไปในทางปฏิบัติ

ถ้าท่านศึกษาประวัติศาสตร์โลก ท่านจะพบว่าน่าสนใจที่สุดตรงที่นักการเมืองเผด็จการอำนาจนิยมในโลกนี้ มักจะสร้างกองกำลังส่วนตัวของเองขึ้นมาซ้อนทับกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเดิม

ในยุคนี้ มีการนำตำรวจบ้านที่จังหวัดเชียงรายมารับใช้งานการเมือง

ในยุคนี้ มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้เป็นเหมือนกับกองทหารอีกกองหนึ่ง ทำงานด้านการตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองโดยตรง

ในยุคนี้ มีการนำแก๊งอันธพาล มือปืน กุ๊ย และคนติดยาข้างถนน มาเป็นกองกำลังพิเศษไว้เป็น ฝ่ายอารักขาความปลอดภัยส่วนหน้าให้กับผู้นำ และก็ให้ไปไล่ตีประชาชนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงเชื่อมั่นว่าจิตใต้สำนึกของท่านยังคงเป็นตำรวจที่ดี ตำรวจที่สำนึกในความเป็นข้าแผ่นดิน และความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ข้าทาสนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าทาสนักการเมืองที่กำลังสร้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และระบบรัฐตำรวจ ขึ้นภายใต้เสื้อคลุมของระบอบประชาธิปไตย เพราะท่านเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่เติบโตมาจากตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยงานตำรวจที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาโดยตลอด

สถานการณ์ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นักการเมืองคนที่กำลังสร้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และระบบรัฐตำรวจ ขึ้นภายใต้เสื้อคลุมของระบอบประชาธิปไตย กำลังใช้ยุทธวิธีระดมมวลชนจัดตั้งเข้ามาต่อต้านประชาชนกลุ่มที่คัดค้านตน เขาได้พูดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ว่าให้ทุกเขตเลือกตั้งจัดเตรียมคนเขตละ 3,000 คน และให้เข้ามาในกทม.ทันทีที่เป่านกหวีด นี่เป็นการพูดครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน ความคิดที่จะเกณฑ์คนจากต่างจังหวัดเข้ามาในกทม.นับเป็นล้านคนเช่นนี้เป็นเรื่องความคิดบ้าคลั่งที่ไม่คำนึงถึงความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชน เป็นการโหมไฟสงครามทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และอาจจะเป็นแผนการใหญ่ที่มุ่งล้มล้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปราบดาภิเษกอำนาจใหม่ไปพร้อมกันในคราวเดียว

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องขอความเป็นธรรมมายังท่าน และในโอกาสเดียวกันนี้ ขอกล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่ออาญาแผ่นดินมายังท่าน เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

1) ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยุติการดำเนินคดีกับประชาชนกลุ่มที่คัดค้านและตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุกคน และทุกข้อหา โดยทันที

2) หากไม่ยุติการดำเนินการตามข้อ 1 ก็ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่ไปแสดงความเห็นตะโกนว่า “ทักษิณ...สู้สู้” สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุกคน และทุกสถานที่ รวมทั้งให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาร่วมหรือสนับสนุนประชาชนที่ไปตะโกนสนับสนุนตนในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นรายกระทงไป โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ และโดยทันทีเช่นกัน

3) ให้สอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน ที่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุนหรือใช้ให้คนร้ายทำร้ายร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขังประชาชนที่ไปใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในบริเวณที่เกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145, 295, 309, 310, 372, 391

4) ให้สอบสวนดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องซึ่งกระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยไม่จับกุมกลุ่มคนที่ร่วมทำร้ายประชาชนซึ่งกระทำความผิดซึ่งหน้า แต่กลับจับกุมและดำเนินคดีกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ และควบคุมตัวไว้นานเกินความจำเป็นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200, 310 และให้ดำเนินการทางวินัยโดยเร็วด้วย

5) ขอเรียกร้องให้ข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมกับข้าราชการทหาร และประชาชน ร่วมกันหยุดยั้งสงครามกลางเมืองที่กำลังมีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดขึ้น จากความกักขฬะและสามานย์ในการใช้อำนาจ ของนักการเมืองที่กำลังสร้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และระบบรัฐตำรวจขึ้นภายใต้เสื้อคลุมของระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ก่อนที่แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ

ทั้งนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอทราบแนวทางการปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องข้างต้นภายใน 7 วัน

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไปด้วย

ขอแสดงความนับถือ

…………………………... ………………………….
(พลตรีจำลอง ศรีเมือง) (นายสนธิ ลิ้มทองกุล)

……………………….. ………………………
(นายสมศักดิ์ โกศัยสุข) (นายพิภพ ธงไชย)

………………………… …………………………
(นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์) (นายสุริยะใส กตะศิลา)

........................................ .......................................

... Download PDF ...

-ภาพ-ฟังเสียง ผู้กำกับสืบ น.6 สั่ง 2 กุ๊ยล็อกคอคนชรา หน้าเซ็นทรัลเวิลด์(56k) | (256K)

-คำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วย ผบ.ตร.





กำลังโหลดความคิดเห็น