คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1.พสกนิกรทั่วประเทศพร้อมใจจุดเทียนชัยถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ -ร่วมจัดกิจกรรม “วันแม่”
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และวันแม่แห่งชาติในปีนี้ พสกนิกรร่วมทำบุญตักบาตรและมีกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศอย่างคึกคัก โดยช่วงเช้า 12 ส.ค.ที่ผ่านมา นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำข้าราชการกทม.นักเรียน นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 575 รูป ในงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา พระบรมราชินีนาถ ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ 175 คน ร่วมสวดสดุดีสรภัญญะเฉลิมพระเกียรติ ตลอดงานด้วย โดยนายอภิรักษ์ ได้กล่าวเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมตั้งจิตถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และให้รำลึกถึงพระคุณแม่ที่เลี้ยงดูมา พร้อมเชิญชวนชาวไทยร่วมปลูกต้นไม้ตามพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ และพื้นที่ป่าในประเทศ ซึ่งตนจะร่วมปลูกต้นไทรย้อยใบแหลมต้นที่ 2 ล้าน และต้นที่ 2 ล้าน 1 คือ ต้นราชพฤกษ์ ซึ่งถือเป็นต้นไม้ประจำกทม.บริเวณพุทธมณฑลด้วย ทั้งนี้ กทม.มีโครงการปลูกต้นไม้เพื่อถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม เพื่อร่วมกันสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่น ให้เด็กและเยาวชนได้อยู่อาศัยในเมืองที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพดีขึ้นด้วย ส่วนที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี เป็นประธานพิธีถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในงานชุมนุมมุสลิมกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประจำปี 2549 โดยกล่าวว่า ชาวไทยมุสลิมในเขต กทม.และทั่วราชอาณาจักร ขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างต่อเนื่อง ทรงเสด็จเยี่ยมพสกนิกรอย่างใกล้ชิด สร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชน ทรงมีพระเมตตาโดยไม่เลือกชนชั้น เหมือนมารดาที่มีต่อบุตร และทรงเป็นตัวอย่างของสตรี ซึ่งศาสนาอิสลามให้ความสำคัญต่อบุพการีเป็นอย่างมาก โดยคัมภีร์อัลกุรอาน ยังได้กล่าวถึงแม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ให้นมบุตรและเลี้ยงดูบุตร และมีบัญชาให้บุตรทุกคนต้องดูแลบุพการี ทั้งนี้ จุฬาราชมนตรี ยังได้มอบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นแม่ผู้ทรงคุณธรรมจำนวน 112 คน ครูสอนศาสนาดีเด่นอีก 20 คน โดยในพิธีวันนี้ นางไซหนับ อับดุลรอแม นักอ่านคัมภีร์อัลกุรอานหญิงจากจังหวัดนราธิวาส ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันอ่านคัมภีร์อัลกุรอานระดับนานาชาติ ปีนี้ ได้อัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานพร้อมความหมายภาษาไทยในส่วนที่เกี่ยวกับแม่มาอ่าน ส่วนในช่วงค่ำ เวลา 19.29 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน ได้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายราชสดุดี เฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง พร้อมทั้งรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ที่ไปเป็นประธานใน 4 ภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ จัดงานพร้อมกัน โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ส่วนบรรยกาศในต่างจังหวัดตั้งแต่ช่วงเช้า ที่อำเภอเบตงจังหวัดยะลา พสกนิกรทุกหมู่เหล่าในอำเภอเบตงจังหวัดยะลาพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลือง ฟ้า ประกอบพิธีทำบุญตักรบาตรเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่บริเวณหน้าหอนาฬิกา โดยมีพระภิกษุ สงฆ์ จากวัดต่าง ๆ ในอำเภอเบตงจังหวัดยะลา จำนวน 50 รูป ออกรับบิณฑบาต ที่จ.เชียงใหม่ นายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนชาวเชียงใหม่ ร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนาและร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งเนื่องวโรกาศสำคัญนี้ ที่ลานข่วงประตูท่าแพ โดยมีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่จำนวน 75 รูป มารับบิณฑบาตในครั้งนี้ ท่ามกลางบรรยากาศของพ่อแม่ลูกที่พร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีฟ้าตราสัญลักษณ์และเสื้อสีเหลืองออกมาร่วมทำบุญตักบาตรกันในช่วงเช้า ก่อนที่ในช่วงสายจะมีพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จ.สุรินทร์ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมประชาชน นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเอกชนทุกภาคส่วน จำนวนกว่า 300 คน ร่วมกันเต้นแอโรบิค“รวมพลคนรักแม่” ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของลูกที่มีต่อแม่ เป็นการเชิดชูเกียรติพระคุณของแม่ ด้วยการออกกำลังกาย สร้างสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุขและยาเสพติด เนื่องในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2549 พร้อมทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม
สุรินทร์‘รวมพลคนรักแม่’เต้นแอโรบิค-สร้างสุขภาพไม่ข้องเกี่ยวยาเสพติด
เชียงใหม่พร้อมใจจัดกิจกรรม “วันแม่”
ชาวตรังอวยพร “คุณแม่ถ้วน” - ตะลึงจอมปลวกผุดใต้โต๊ะทำการบ้าน"ชวน"
ผู้นำศาสนา-ประชาชนเบตง ร่วมถวายราชสดุดี “ราชินี”
เชิญชวนชาวไทยร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรพร้อมกันทั่วประเทศ
2.สนธิ จับเท็จ ทักษิณ แหกตาตัวเลขเศรษฐกิจ-แฉเยือนเขมรมีวาระซ่อนเร้น
เวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 11 ที่สวนลุมพินี เมื่อ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ยังคงความเข้มข้นไม่แพ้กว่าครั้งที่ผ่านๆมา โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้แฉบนเวทีเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งนี้ว่า กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า เศรษฐกิจดี โดยจีดีพีเพิ่มขึ้น จาก 2.2 เป็น 4.5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เป็นการสั่งให้สภาพัฒน์ฯปั้นตัวเลข และก็เป็นอัตราการเติบโตตามเศรษฐกิจโลก ประเทศเพื่อนบ้านก็เติบโตในอัตรานี้หมด ต่อให้ใครมาเป็นนายกก็จะเติบโตในอัตรานี้ “พูดง่ายๆ ไม่ต้องมีนายทักษิณ คนไทยนั่งผายลมเฉยๆ จีดีพีก็โต 4 เปอร์เซ็นต์ ชอบโกหกนัก เหมือนบอกว่า สมัยเขาเข้ามาราคายางสูง จำได้หรือเปล่าตนเล่าให้ฟังราคายางสูงเพราะอะไร เพราะจังหวะนั้นจีนแดงกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์จีนโตอยางมหาศาล คนจีนมีพันกว่าล้านคนเพราะฉะนั้นความต้องการยางเลยทำให้ราคายางดิบสูงขึ้น ไม่ใช่ฝีมือนายทักษิณเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะเดียวกันนายสนธิได้กล่าวถึงปัญหาหนี้สินในช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มจาก 7 หมื่นบาท เป็น 1.4 แสนบาท แสดงว่าคนไทยจนลง เพราะเป็นหนี้เพิ่ม นอกจากนี้รัฐบาลยังอยู่ในสถานะถังแตก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ให้กระทรวงการคลังขายหุ้น อสมท.ให้กับธนาคารออมสิน เพื่อเพิ่มทุนให้กับธนาคารไทยอย่างแน่นอน นายสนธิ ยังแฉกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปเขมรว่า มีวัตถุประสงค์ 2 เรื่อง คือ ให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้กว่า 1.3 พันล้าน เพื่อก่อสร้างถนน ซึ่งการอนุมัติดังกล่าวมีเงื่อนไขให้ผู้รับเหมา ใช้วัสดุก่อสร้างจากประเทศไทย เพื่อรับเงินค่าคอมมิชชั่นจากผู้รับเหมา 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินประมาณ 390 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้สมทบในการเลือกตั้ง เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา ที่ได้คอมมิชชั่นจากการซื้อเครื่องบินให้การบินไทย ส่วนเรื่องที่สอง คือ การเจรจาเรื่องก๊าซและน้ำมันในเขตพื้นที่ทับซ้อนกลางอ่าวไทย จนมีวาระซ่อนเร้น เพราะตามปกติ การเจรจาในลักษณะพื้นที่ในเขตทับซ้อนทางทะเล จะต้องมีการพิจารณาเรื่องความมั่นคงควบคู่ไปด้วย และต้องนำผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ทางทหารไปร่วมเจรจา เนื่องจากเป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง แต่พ.ต.ท.ทักษิณ กลับพิจารณาแต่เรื่องธุรกิจ ที่มีแต่พรรคพวกที่ได้รับผลประโยชน์ นอกจากนี้ นายสนธิ ยังกล่าวในตอนท้ายให้กำลังใจผู้อ่านการเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกเป็น กกต.ทั้ง 10 คน เนื่องจากเป็นคนดี แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเลือกโดยที่ยังไม่มีการสะสางเครือข่ายของอดีต 3 กกต.ทั้ง 76 จังหวัดเสียก่อน รวมทั้งยังไม่มีการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ไม่เช่นก็จะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ พร้อมกันนี้ยังขอเรียกร้องให้ทุกพรรคร่วมกันปฏิรูปการเมืองหลังการเลือกตั้งและยุบสภา ขณะเดียวกันยังขอให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงด้วย
เมืองไทยรายสัปดาห์ (คอนเสิร์ตการเมือง)11:“สนธิ” แฉ “แม้ว” ปั้นตัวเลข ศก.แหกตา - ไปเขมรงุบงิบฮุบธุรกิจพลังงาน
3.ทัวร์นกขมิ้น "แม้ว"หัวซุกหัวซุนหวั่นโดนตะเพิด-เหน็บคนกรุงเรียนสูงแต่โดนหลอก
การลงตรวจเยี่ยมพื้นที่เพื่อติดตามโครงการแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลในภาคอีสาน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้คนโดยทั่วไป โดยวันสุดท้ายเมื่อ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปยังโรงสีชุมชนบ้านกุดแข้ ต.นางาม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อตรวจเยี่ยม การดำเนินงานของโรงสีชุมชน ตามโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้าน-ชุมชุนเอสเอ็มแอล โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงใช้เป็นโอกาสนี้หาเสียงกับชาวบ้านและกล่าวโจมตีฝ่ายที่ต่อต้านระบอบทักษิณเช่นเดิม โดยระบุว่า การเป็นนายกฯ ของประเทศไทยในยุคประชาธิปไตย ในยุคที่สื่อไม่ชอบหน้า ตนเหนื่อยมาก ครอบครัวก็ได้รับความกดดันหลายๆ ด้าน บางครั้งคิดว่าได้ทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมืองมาจะ 6 ปีแล้ว ถึงเวลาที่จะให้คนรุ่นหลังขึ้นมา แต่ทุกครั้งที่ลงพื้นที่แล้วเจอประชาชนที่ให้กำลังใจและฝากความหวังไว้ ทำให้หนักใจมาก ต้องเรียนตรงๆ ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งอยากทุ่มเทให้กับบ้านเมือง แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่า คนกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่มีความสุข ที่เห็นตนเป็นนายกฯ โดยเฉพาะคนที่สูญเสียผลประโยชน์ สูญเสียความสำคัญทางการเมือง แต่ความที่ตนมีจิตสำนึกต่อบ้านเมือง ต่อเพื่อนร่วมชาติ และที่สำคัญคือ ความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ทุกพระองค์ ตนอยากจะทำหน้าที่เพื่อแบ่งเบาพระภาระของพระองค์ ซึ่งทุ่มเทเพื่อพี่น้องประชาชนมาตลอด 60 ปี และอยากเห็นพี่น้องพ้นจากความทุกข์ยาก แต่แล้วพอช่วงบ่ายๆ ของวันเดียวกัน ระหว่างเดินทางไปที่อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด พ.ต.ท.ทักษิณ กลับชวนสื่อสมานฉันท์ด้วย โดยบอกว่า อยากให้สื่อมวลชน ที่อยู่ที่นี่ช่วยสมานแผลให้หน่อย โดยเฉพาะผู้จัดการ กับมติชน ข่าวสด ช่วยสมานแผลใจให้หน่อย พร้อมกับระบุว่า "ต้องใช้เวลารักษาหัวใจนานแค่ไหน" นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จากการที่ได้ลงพื้นที่ที่ อ.อาจสามารถ และให้เจ้าหน้าที่ติดตามต่อ เท่าที่ดูประเมินว่า อ.อาจสามารถ ถ้าเราใช้เงินเต็มที่อยู่ประมาณไม่เกินอำเภอละ 250 ล้านบาท ก็จะสามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ทั้งอำเภอ ถ้า 800 อำเภอ 2 แสนล้านบาท มันเป็นสิ่งที่หาได้ ไม่ยาก ปัญหาคือใครจะบอกนโยบายอะไรก็ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาจะหาเงินมาทำได้ไหม ถ้าหาเงินมาทำไม่ได้ พูดอย่างไรก็เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า เห็นปัญหาประเทศไทยมาทะลุปรุโปร่งแล้วใน 5 ปีกว่าเกือบ 6 ปี ปัญหาทุกอย่างเป็นเรื่องที่แก้ได้ไม่ยากเลย ถ้าเราร่วมมือร่วมใจกัน ปัญหาเรื่องเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันเป็นสิ่งที่เนรมิตได้หาได้ทั้งนั้น หากพี่น้องมีความมั่นใจ ไม่ยากเลยที่คนไทยจะพ้นจากความยากจน ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ฟังดูเป็นปัญหาที่ยากแต่ก็ไม่ยากที่จะทำ แน่นอนเนื่องจากปัญหาของประเทศหมักหมมมายาวนาน มันก็ต้องไล่แก้ไปเรื่อย จะเนรมิตให้แก้ในชั่วพริบตาคงไม่ได้ แต่จากนี้ไปการแก้ปัญหาต่างๆ จะรวดเร็วและง่ายขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเป็นวันที่สองการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่ภาคอีสาน ของพ.ต.ท.ทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่นมายังทำเนียบรัฐบาล กรณีส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้การตรวจราชการเป็นข้ออ้างในการหาเสียงเลือกตั้งที่กลังจะมีขึ้นนั้น รักษาการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ไม่เห็นมีอะไร ผมไม่ค่อยได้ยิน นอนเลย ทีวีไม่ได้ดู หนังสือพิมพ์ยังไม่ได้อ่านเลย ก็เจอแต่พวกเรานี่แหละ" ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ค่อนข้างระมัดระวังตัวมากขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อง "โอ้...ระวังมากเลย ไม่ได้เลย หายใจแรงยังมีปัญหาเลย เพราะฉะนั้นระวังอยู่แล้ว" เมื่อถามถึงการงดแจก สปก.4-01 พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "ไม่ได้ ผมระวัง ผมหายใจ ยังไม่กล้าหายใจแรงเลย เดี๋ยวหาว่าแย่งอากาศหายใจ" เมื่อถามอีกว่า จำเป็นต้องยกเลิกการแจกสิ่งของต่างๆ ที่มีไว้ในกำหนดการทั้งหมดเลยหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ร้องอีก "โอ้...ระวังทุกอย่าง เวลานี้ กินข้าวยังระวังเลย"ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้งดแจกของต่างๆด้วยตัวเอง ที้งที่ได้มีการเตรียมไว้แล้ว เช่น เอกสารสิทธิ์ที่ดิน โค และรถจักรยาน โดยมอบหมายให้ข้าราชการในพื้นที่เป็นผู้แจกแทน โดยเฉพาะรถจักรยานตามโครงการ"จากพี่ถึงน้อง" ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งสิ้น 13,303 คัน มูลค่ากว่า 18 ล้านบาท ที่เตรียมมอบให้กับโรงเรียนประถมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคอีสาน โดยทางจังหวัดได้มีการนำถจักรยานจำนวนกว่า 10,000 คัน ดังกล่าวมาจอดเรียงรายไว้ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น,ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม และที่บริเวณโรงเรียนบึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด โดยเหตุผลของการยกเลิกแจกรถจักรยานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ หลายฝ่ายต่างตั้งข้อสังเกตว่า คงมีเหตุผลที่ไม่แตกต่างจากการยกเลิกมอบโค และ ส.ป.ก 4-01 ที่ จ.ขอนแก่น ที่เจ้าหน้าที่ของจังหวัดได้จัดเตรียมโฉนดที่ดิน 300 ฉบับ และโค 100 ตัว พร้อมจัดเตรียมเกษตรกรที่จะเข้ารับมอบอย่างเป็นทางการไว้แล้ว แต่ทุกอย่างต้องยกเลิก เพราะเกรงว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้ง ต่อมาพ.ต.ท.ทักษิณ และคณะเดินทางถึงบ้านบ่อน้อย ต.ท่าสองคอน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการแก้ไขปัญหาสังคม และแก้ปัญหายาเสพติด โดยพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับว่า วันนี้ปัญหาของคนไทยคือการโดนหลอก แม้กระทั่งคนมีความ รู้ยังโดนหลอกง่าย ใครมาหลอกก็เชื่อ คนกรุงเทพฯ เรียนหนังสือสูง ตนยังเสียดายปริญญาที่ได้มา โดนคนไม่ดีหลอกด้วย ตรงนี้น่าห่วง ถ้าเรามีข้อมูลใครมาหลอกก็ไม่ได้
ส่วนวันแรกในการตรวจราชการของ พ.ต.ท.ทักษิณและคณะ ก็ต้องหัวซุกหัวซุนตั้งแต่วันแรกเพื่อหลบหลีกม็อบต้าน โดยช่วงเช้าของวันที่ 7 ส.ค. เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดการเดินทางไปไปดูงาน ที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่ปรากฎว่าได้มีคำสั่งด่วนในเย็นวันที่ 6 ส.ค.ให้เปลี่ยนแปลง สถานที่ดูงานกระทันหันไปยังโรงพยาบาลศูนย์หัวใจขอนแก่น ที่อยู่ห่างกันเพียง 3 กม. ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศูนย์หัวใจฯรับทราบคำสั่งกะทันหัน ทำให้ต้องมีการเตรียมการต้อนรับคณะของพ.ต.ท.ทักษิณ กันทั้งคืน สร้างความฉุกระหุกและปวดหัวกับเจ้าหน้าที่อย่างมาก ส่วนสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดการกระทันหันเนื่องจากคณะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบว่า ทางแพทย์ซึ่งเป็นแนวร่วมเครือข่ายพันธมิตรประชาขนเพื่อประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ได้เตรียมการสะท้อนปัญหาในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยเฉพาะด้านลบ ซึ่งรัฐบาลไม่เคยรับทราบมาก่อน ซึ่งคนให้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ เกรงว่าจะเกิดภาพลบในการลงพื้นที่ตรวจราชการครั้งนี้ อีกทั้งมีรายงานว่าจะมีม็อบไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ มาชุมนุมหน้าโรงพยาบาลศารีนครินทร์ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสั่งเปลี่ยนสถานที่ดังกล่าว นอกจากนั้น ตามกำหนดการที่ได้จัดไว้ในเวลา 17.15 น. จนถึง 18.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณและคณะจะต้องเดินทางไปบึงทุ่งสร้าง อ.เมืองขอนแก่น เพื่อตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายการสรุปโครงการพัฒนาบึงทุ่งสร้างและโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณสี่แยกสามเหลี่ยม ปรากฎว่าได้มีการยกเลิกและเปลี่ยนไปเปิดโครงการประปาหมู่บ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภค บริโภค ที่บ้านหนองตาไก้แทน นอกจากนี้ ในการตรวจราชการตามนโยบายรัฐบาล ในวันที่ 8 ส.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดจะไปพบปะประชาชนที่ตลาดบางลำพูในช่วงเช้าก่อนจะประชุม ครม. เช่นเดียวกับการเดินทางมาประชุม ครม.สัญจรทุกครั้ง ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งยกเลิก เนื่องจากมีรายงานว่า เครือข่ายพันธมิตรประชาชนฯ ขอนแก่น จะมีการชุมนุมเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณที่ตลาดบางลำพูในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันทราบว่าตลาดดังกล่าวมีเครือข่ายพันธมิตรฯอยู่จึงกลัวถูกแม่ค้า พ่อค้าตะโกนไล่จนอับอายจึงสั่งยกเลิก ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดการประชุมร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเสียงเหนือ ก่อนการประชุม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บ่นกับสื่อมวลชนว่า หมดแรง แรงตก แก่แล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงตรวจราชการ 2 วัน นายเจตน์ ธนวัฒน์ ผู้ว่าฯขอนแก่น ได้โทรศัพท์ล็อบบี้ นางสุนทรีย์ หัตถีเช่งกิ่ง แกนนำเครือข่ายประชาชนขอนแก่นเพื่อประชาธิปไตย ไม่ให้จัดกิจกรรมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยขอให้นึกถึงหน้าผู้ว่าฯขอนแก่นบ้าง และหากนางสุนทรีย์ ต้องการจะนำกลุ่มเอ็นจีโอเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะประสานให้ แต่นางสุนทรีย์ปฏิเสธที่จะเข้าพบ เพราะที่ผ่านมาภาคประชาชนเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาอะไรก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวว่าการลงพื้นที่ภาคอีสานของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการทัวร์เพื่อแปลงคนจนให้เป็นคะแนนเสียง และเป็นการเดินสายเพื่อขอประชามติจากชาวบ้านโดยมีเป้าหมายว่า หากได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องชาวอีสานที่กำลังเฝ้ารอคอยนโยบายโคล้านครอบครัว การแจก ส.ป.ก.4-01 โฉนดที่ดิน สระน้ำในไร่นาและปลดเปลื้องหนี้สินแล้วก็พร้อมจะสู้ต่อเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี อีกรอบ และ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ประกาศลาออกหรือเว้นวรรคแม้จะบ่นว่ารำคาญเต็มที ก็เพียงเพื่อสร้างความและขอความเห็นใจจากคนอีสานว่าถูกกลุ่มคนเมืองต่อต้านตามรังควาญในทุกๆ ที่ ซึ่งเป็นการประกาศสงครามกับชนชั้นกลางโดยมีคนจนเป็นฐานและถือเป็นการบำบัดทางจิตไปในตัวเพราะเขาจะมีความสุข กำลังใจดี จิตดีขึ้นเมื่อได้มาหาคนจนมีผู้คนมาห้อมล้อมมอบดอกไม้พร้อมตะโกนสู้ๆ คุณทักษิณต้องการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่านายกฯคนอื่นในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานอย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และนายชวน หลีกภัย ที่ไม่สามารถครองความ นิยมชมชอบและสร้างความหวังให้กับคนยากจน ได้เท่ากับตัวเอง
“ปชป.” อัดแม้วเหยียดหยาม “คนกรุง” เตือนหยุดแบ่งแยก
“ทักษิณ” ปิดฉากทัวร์นกขมิ้น - แบะท่าขอเป็นนายกฯ คนจนอีกรอบ
“แม้ว” อ้างภาระในหลวง ตะแบงสู้ต่อ!! อัดสื่อ-พวกเสียประโยชน์จ้องทำลาย
“ทักษิณ” โม้ ทรท.มัดใจชาวบ้านมา 7 ปี - หยาม ปชป.เพิ่งมีนโยบาย
“แม้ว” พ่นน้ำลายท่วมอีสาน-เซ็งคนกรุงอ้างถูกคนไม่ดีหลอก
4.คลอดแล้วว่าที่ว่าที่ 10 ว่าที่ชิง 5 เสือ กกต.- "ดร.เจิมศักดิ์"ติง 2-3 คน พัวพันการเมือง
ในที่สุดที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคลอด 10 ว่าที่ชิง 5 เสือกกต.เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อช่วงเช้า 10 ส.ค.ที่ผ่านมาที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งมีผู้พิพากษาศาลฎีการ่วมประชุมกว่า 83 คน ประกอบด้วย รองประธานศาลฎีกา 3 คน ประธานแผนกคดีต่าง ๆในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เพื่อสรรหาผู้สมควรเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งจำนวน 10 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (2) และ (3)โดยผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ประกอบด้วย นายนินนาท สาครรัตน์ ซึ่งได้ลาป่วย เนื่องจากป่วยเป็นโรคหัวใจ นายมนตรี ยอดปัญญา ได้ขอลากิจและนายปราโมทย์ พิพัฒนปราโมทย์ ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้พิพากษาแต่ละคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงได้ไม่เกิน 5 คน ซึ่งการลงคะแนนจะต้องลงถึง 3 รอบ โดยรอบแรกจะคัดจาก 42 คนให้เหลือ 30 คน ส่วนรอบที่สองจะคัดจาก 30 คน ให้เหลือ 10 สำหรับรอบสุดท้ายจะคัดจาก 10 คนให้เหลือ 5 คน โดยมีข้อแม้ว่าทั้ง 5 คน จะต้องได้รับคะแนนเสียงเกิน 44 เสียง หากมีผู้ได้รับคะแนนเกินกว่า 44 เสียง มากกว่า 5 คน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดใน 5 ลำดับแรก และในการลงคะแนนเสียงจะต้องทำบัตรลงคะแนนใหม่ทุกรอบ หลังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาใช้เวลาลงมติเลือกผู้สมควรเป็น กกต. ตามรธน.ม.138 (2)เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ต่อมาเวลา 13.00 น.นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขานุการศาลฎีกา แถลงว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติเห็นชอบคัดเลือกผู้สมควรเป็น กกต.จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ได้ 57 คะแนน รองลงมา คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา ได้ 56 คะแนน นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ 47 นายสมชัย จึงประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตามลำดับ 47 และ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ได้ 44 คะแนน ต่อมาเวลา 18.00 น.นายวิรัช ได้แถลงผลการประชุมในช่วงบ่าย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138(3)ได้มีการลงคะแนนเลือกบุคคลที่สมควรได้รับเป็นกกต. โดยรอบสุดท้ายครั้งแรก ได้ผู้ที่สมควรเป็นกกต. 3 คน ประกอบด้วย นายประพันธ์ นัยโกวิท รองอัยการสูงสุด ได้ 59 คะแนน นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กทม. ได้ 55 คะแนน นายสุเมธ อุปนิสากร ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ 48 คะแนน ส่วนรอบสุดท้ายครั้งที่ 2 ได้ผู้สมควรเสนอชื่อเป็น กกต.อีก 2 คนประกอบด้วย นางสดศรี สัตยธรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้ 50 คะแนน และนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และประธานอนุกรรมการพิจาณาคัดค้านการเลือกตั้งของคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ 50 คะแนน นายวิรัช ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ที่สมควรได้รับเป็นกกต.ทั้ง 10 คน ไม่ได้มาจากแวดวงตุลาการเท่านั้น แต่ยังมีบุคคลภายนอกจากหลากหลายอาชีพ อาทิ วุฒิสมาชิก นักวิชาการ นักกฎหมาย ผู้มีชื่อเสียง อีกทั้งยังมีตัวแทนที่เป็นสุภาพสตรีอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลงมติดังกล่าวไม่มีการบล็อกโหวตแม้แต่น้อย ด้านนายนาม ยิ้มแย้ม กล่าวว่า การที่ได้รับเลือกครั้งนี้อาจเป็นทุกข์ลาภและคงทำให้ตนมีความทุกข์มากเพิ่มขึ้นมากกว่า แต่ก็ขอขอบคุณที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มองความไว้วางใจให้กับตน เพราะตอนที่ลงสมัครก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับเลือก แต่ผู้พิพากษาศาลฏีกาหลายคนบอกว่าขอให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง หากได้รับเลือกจากวุฒิสภาให้เป็น กกต.จริงก็พร้อมที่จะทำงานเต็มที่ แต่ก็รู้สึกหนักใจเพราะสังคมคาดหวังกับ กกต.ชุดใหม่มาก ซึ่งกกต.ก็มีข้อจำกัดในเรืองระยะเวลาการทำงานที่สั้น เพราะเมื่อเข้าทำงานแล้วก็ต้องไปดูแลการเลือกตั้งทันที ขณะที่นายวิชา กล่าวอีกว่า ส่วนตัวแม้จะได้รับเลือกก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับการพิจารณาในชั้นวุฒิสภา ขณะนี้ก็ทำใจเป็นกลาง รุ้อยู่แล้วว่าวุฒิสมาชิกทุกคนมีดุลพินิจในการเลือกสรร ซึ่งอาจจะคนละแนวทางของศาลฎีกา เพราะวุฒิสภารู้จักประวัติและเกียรติคุณของผู้พิพากษาไม่กว้างขวางนัก อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากรายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ไม่ว่าใครจะได้เป็นกกต.ก็คิดว่าน่าจะทำหน้าที่ได้อย่างดี โดยแต่ละคนมีความถนัดกันคนละแบบ มีความชำนาญพิเศษต่างกัน ผู้พิพากษาก็ถนัดอย่างหนึ่ง นายแก้วสรร ก็ได้รับการยอมรับจากสังคม ส่วนนายประพันธ์ ที่เป็นรองอัยการสูงสุดก็ทำหน้าที่พิจารณาตรวจสำนวนการสอบสวนของตำรวจมานับไม่ถ้วน ต่อมาหลังจากคัดเลือกเรียบร้อยได้นำรายชื่อดังกล่าวเสนอต่อนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา เซ็นต์ลงนามเรียบร้อยแล้ว ถัดมาอีก1วัน ศาลฎีกา จึงได้ส่งรายชื่อผู้สมควรเป็นกกต.ทั้ง 10 คน ไปยังนายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา โดยนายสุชนบอกว่า ขั้นตอนต่อไป คือ การเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ โดยได้ส่งเอกสารและข้อมูลไปให้กับสมาชิกรับทราบล่วงหน้าแล้ว ส่วนหนังสือเชิญประชุมจะต้องรอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเปิดประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก่อน ส่วนขั้นตอนการสรรหาจะใช้เวลานานเท่าใดนั้น นายสุชน กล่าวว่า จะต้องรอการประชุมวุฒิสภาในวันที่ 15 ส.ค.นี้ก่อน ซึ่งจะตัดสินว่าจะใช้เวลาพิจารณาตรวจสอบประวัติ และความประพฤติของผู้ได้รับการสรรหากี่วัน อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจะช้าหรือเร็วจะต้องดำเนินการไปตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ โดยการเลือก กกต.ครั้งนี้ ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว และสมาชิกตระหนักถึงกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค.นี้ ส่วนจะใช้เวลาในการเลือก กกต.นานเท่าใดสมาชิกจะเป็นผู้ตัดสินใจ ตนคงตอบแทนไม่ได้ และล่าสุดในวันเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 15 ส.ค.นี้แล้ว โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป เกี่ยวกับการคัดเลือกผู้สมควรเป็นกกต.ทั้งหมดนี้นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รักษาการ ส.ว.กรุงเทพฯ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ตนพอใจ แต่มีอยู่ประมาณ 3 คน ที่ตนไม่มั่นใจว่า จะมีความเป็นอิสระทางการเมือง แต่เสียดายที่บอกชื่อไม่ได้ ในขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงผู้ได้รับการคัดเลือกเป็น กกต.10 คนว่าพรรคเคารพการตัดสินใจของศาล ไม่ว่าใครได้รับการคัดเลือกพรรคก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรอยู่แล้ว แต่ติดใจตรงรายชื่อของ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตส.ว.กทม. เพราะที่ผ่านมาการทำหน้าที่ ส.ว.ของนายแก้วสรร มีจุดยืนตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทยอย่างชัดเจนโดยมีการทำหนังสือโจมตีและขับไล่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยมาโดยตลอด อีกทั้งได้ขึ้นเวทีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องให้นายแก้วสรร มีความสำนึกมากกว่าคนอื่นที่ได้รับเลือกเพราะ กกต.ต้องมีจิตใจเป็นกลาง ไม่มีอคติกับพรรคการเมืองใดๆขอเรียกร้องให้นายแก้วสรร พิสูจน์ตนเองด้วยการไปสาบานตนที่วัดพระแก้วว่า จะทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม ไม่มีอคติ หากได้รับการคัดเลือกซึ่งอยากให้สาบานก่อนที่จะมีการคัดเลือกในขั้นตอนของวุฒิสภา
“สุชน” มั่นใจเปิดสภา 15 ส.ค.เลือก 5 กกต.ทันกำหนดแน่นอน
มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาวิสามัญ วันที่ 15 ส.ค.แล้ว
ศาลส่ง 10 ว่าที่ กกต.ถึงวุฒิสภาวันนี้ -“แก้วสรร” วอนละวางยุติแตกแยก
เปิดประวัติว่าที่ 10 กกต.
โผว่าที่ กกต.ชุดใหม่คลอด “หลากสาขา” เตรียมยื่น “สุชน” สรรหาฯพรุ่งนี้
“เจิมศักดิ์” ย้ำพอใจ 10 ว่าที่ กกต.แต่ติงมี 2-3 คน พันการเมือง
5.ครม.เถื่อนขายหุ้นอสมท 3 พันล้านอุ้มทหารไทย-สหภาพฯ เตรียมบุกคลังทวงถามให้รู้ดำรู้แดง
ประเด็นข่าวที่ได้รับความสนใจอีกประเด็นหนึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) 3,015 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับเหตุผลที่กระทรวงการคลังเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพราะต้องการที่จะรักษาสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารทหารไทย ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารทหารไทย 5 อันดับแรก ณ เม.ย. 2549 มีดังนี้ 1.กระทรวงการคลัง 20.88% 2.DBS BANK (สัญชาติสิงคโปร์) 18.48% 3.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 4.93% 4.N.C.B.TRUST LIMITED-UBS AG LONDON BR-IPB CLIENT AC 4.35% และ 5.NORBAX INC., 3.96% สำหรับขั้นตอนการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยใน ครม.ครั้งนี้นั้น กระทรวงการคลังได้ขอให้ ครม.แก้ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ.2535 เพื่อแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MOCT) จากเดิมที่กำหนดให้ "กระทรวงการคลัง" ถือหุ้น อสมท ไม่ต่ำกว่า 70% เป็น "ภาครัฐ" ถือหุ้น อสมท ไม่ต่ำกว่า 70% แทน เพื่อที่กระทรวงการคลังจะนำหุ้น อสมท ไปขายให้ธนาคารออมสิน จำนวน 11% เงินที่ได้จากการขายหุ้นครั้งนี้กระทรวงการคลังจะนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย หลังการขายหุ้นฯ สัดส่วนการถือหุ้นใน อสมท ของกระทรวงการคลังจะเหลือเพียง 66.28% แต่ "ภาครัฐ" ยังคงถือหุ้น 77.28% เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหม่คือธนาคารออมสิน อย่างไรก็ตาม การขายหุ้น อสมท ให้ธนาคารออมสินครั้งนี้ เป็นการขายแบบมีเงื่อนไขซื้อคืนภายใน 3 ปี ซึ่งธนาคารออมสินจะได้รับผลตอบแทนในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน (ปัจจุบัน 5.00%) บวกผลตอบแทน 1.66% (รวม 6.66%) โดยนายไชยยศ สะสมทรัพย์ รักษาการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยทั้งๆ ที่ธนาคารฯ มีผลขาดทุนสะสม 4.6 หมื่นล้านบาท ว่า ธนาคารฯ มีแนวโน้มที่ดี ส่วนราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ธนาคารทหารไทยขายให้กับกระทรวงการคลังที่ราคา 3.00 บาทต่อหุ้นนั้นถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับราคาตลาดที่อยู่ที่ระดับ 3.20 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาตามบัญชีที่อยู่ที่ระดับ 3.40 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้การเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทยในครั้งนี้เพื่อเสริมให้เงินกองทุนของธนาคารสูงขึ้นตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายวิชัย จึงรักเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เชื่อว่า หากการเพิ่มทุนดังกล่าวเสร็จสิ้นจะช่วยให้สามารถล้างขาดทุนสะสมจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาทให้หมดลงได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่ามีความเหมาะแค่ไหนที่นำเงินภาษีประชาชนไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย ทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน และทำไมไม่ขายหุ้นออกไป เพราะที่มีนักลงทุนสนใจซื้อหุ้นของกระทรวงการคลัง ที่สำคัญรัฐบาลมีหุ้นในธนาคารพาณิชย์แล้ว 3 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารนครหลวงไทยและไทยธนาคาร ซึ่งหากพิจรณาแล้วธนาคารทหารไทยไม่มีบทบาทใดที่เด่นกว่าธนาคารเหล่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ในการลงทุน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายรักษาการนายกรัฐมนตรี เคยถือหุ้นในธนาคารทหารไทย ภายหลังได้ขายออกไป แต่มีกระแสข่าวว่าอาจใช้ตัวแทน (นอมินี) ถืออยู่ ทำให้กระทรวงการคลังมีความพยายามช่วยเหลือธนาคารทหารไทย เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม. 8 ส.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวว่า ไม่มีคนในครอบครัวของถือหุ้นอยู่ในธนาคารทหารไทย จึงไม่ต้องการให้ไปตีความให้เป็นอย่างอื่น แหล่งข่าวในที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า เหตุผลที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องชี้แจงว่าไม่มีคนในครอบครัวมีหุ้นอยู่ในธนาคารทหารไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณทราบดีว่า สื่อมวลชนจะจี้ถามในประเด็นนี้แน่นอน และในที่ประชุมเองก็ต้องการสอบถามความชัดเจนในเรื่องนี้ด้วยเช่นกันว่า ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณมีหุ้นอยู่ในธนาคารทหารไทยอยู่อีกด้วยหรือไม่ เกี่ยวกับ มติครม. เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การถือหุ้น บริษัท อสมท จำกัดนี้ นายพัชระ สารพิมพา ประธานสหภาพฯ อสมท กล่าวว่า กำลังประสานงานเพื่อขอเข้าพบผู้บริหารกระทรวงการคลังในระดับรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือแสดงความไม่เห็นด้วยและต้องการให้กระทรวงการคลังเปิดเผยสัญญาและเงื่อนไข รวมทั้งรายละเอียดการซื้อขายหุ้นของกระทรวงการคลังและธนาคารออมสินในครั้งนี้ รวมทั้งจะประสานงานกับรัฐวิสาหกิจอื่น เพื่อเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เพราะตัวอย่างจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สร้างความกังวลให้แก่รัฐวิสาหกิจอื่นด้วย
“ครม.แม้ว” ไฟเขียวคลังขายหุ้นพยุง “ทหารไทย” - อ้าง “ชินวัตร” ไม่เกี่ยว
รายงานพิเศษ : มติ ครม.อัปยศ...จะ “ปล้นชาติ” กันอีกแล้วใช่มั้ย?
6.ไทยเข้มรับมือบึ้มเที่ยวบินอังกฤษ-2 สายการบินมะกันห้ามนำของเหลวขึ้นเครื่อง
หลังตำรวจอังกฤษ จับกุมตัวผู้ต้องสงสัย 21 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการซุกซ่อนวัตถุระเบิดที่เชื่อว่าน่าจะเป็น"สารเคมีของเหลว"ในกระเป๋าถือที่นำติดตัวขึ้นเครื่องบิน เพื่อจี้เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบินระหว่างอังกฤษกับสหรัฐฯพร้อมๆ กันหลายๆ เครื่อง เพื่อระเบิดทิ้งกลางอากาศ พร้อมกับประกาศเพิ่มสัญญาณเตือนภัยด้านความมั่นคงเป็นระดับสูงสุด เมื่อ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ส่งผลให้การสัญจรติดต่อกับทั่วโลกอยู่ในสภาพปั่นป่วนติดขัด และสายการบินจำนวนมากระงับเที่ยวบินสู่ประเทศอังกฤษ แผนการลอบวางระเบิดเครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯ ยังส่งให้ราคาน้ำมันดิบในวันพฤหัสบดี (10 ส.ค.) ลดลงอย่างฮวบฮาบ เนื่องจากตลาดคาดการณ์กันว่า การสัญจรทางอากาศอาจได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีตครูดงวดส่งมอบเดือนกันยายนของตลาดนิวยอร์ก ร่วงลงถึง 2.25 ดอลลาร์ ไปปิดที่ 74.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบชนิดเบรนต์ของตลาดลอนดอน ตกลง 2.00 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ราคา 75.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านราคาเงินดอลลาร์ และปอนด์สเตอริงต่างอ่อนตัวลง ส่วนเงินฟรังก์สวิส ซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็ถือเป็นแหล่งหลบภัยในเวลาเกิดความปั่นป่วน มีค่าแข็งขึ้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีต่อเที่ยวบินของการบินไทย ในเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ลอนดอนหรือไม่นั้น พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักเลขานุการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า เที่ยวบินของการบินไทยทุกเที่ยวบินในเส้นทาง กรุงเทพฯ-ลอนดอน ยังคงทำการบินตามตารางการบินปกติ โดยในขณะนี้ผู้โดยสารที่ทำการสำรองที่นั่งไว้ล่วงหน้าไม่ได้แจ้งยกเลิกการเดินทางแต่อย่างใด แต่ได้มีการประสานขอให้เดินทางมาถึงสนามบินก่อนเวลามากขึ้น เพราะจะมีขั้นตอนในการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยทางการบินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้า-ออกกรุงลอนดอน จะต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ท่าอากาศยานกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด สามารถตรวจสอบตารางการบินได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2628 2000 และ 0 2356 1111 ตลอด 24 ชั่วโมง นายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทอท. กล่าวว่า ได้รับการร้องขอจากสายการบินนอร์ธเวสและยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ของสหรัฐฯ ว่าให้มีการแจ้งให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางของทั้ง 2 สายการบินให้หลีกเลี่ยงการนำของเหลวขึ้นเครื่อง เพราะทางสายการบินจะไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด รวมทั้งได้ประสานไปยังร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานกรุงเทพให้ขึ้นป้ายแจ้งผู้โดยสารว่าเฉพาะผู้โดยสารของทั้ง 2 สายการบินว่าห้ามนำของเหลวขึ้นเครื่องด้วย และมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบผู้โดยสารก่อนเดินทางอย่างละเอียด เพื่อให้เสียเวลาในการเดินทาง ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ ทอท. เห็นว่าเป็นการช่วยฝึกความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้วย ด้านพล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวว่า ยังไม่มีสถานทูตใดขอกำลังตำรวจในการดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม ซึ่งปกติทางตำรวจสันติบาลได้มีตำรวจดูแลความปลอดภัยอยู่ที่สถานทูตทุกแห่ง ส่วนบริเวณชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญภายในประเทศไทย จะมีการเพิ่มความเข้มในการดูแลความปลอดภัย อาทิ ถนนข้าวสาร สถานบันเทิง แหล่งพื้นที่ที่มีผลประโยชน์กับประเทศที่มีความขัดแย้ง สถานทูตต่างๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยาน ( ผบก.ตม.ทอช.) ยืนยันว่า ภายในสนามบินดอนเมือง จะมีเจ้าหน้าที่การท่าอากาศแห่งประเทศไทย และทหารอากาศตรวจตราดูแลความปลอดภัยเข้มงวดอยู่แล้ว ส่วนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานจะช่วยดูแลตรวจตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย เช่นการขอวีซ่า พาสปอร์ตหรือจับตาเฝ้าระวังบุคคลเฝ้าระวัง หรือผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติ ที่อยู่ในแบล็คลิสต์ โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลาง ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รวมทั้งชาวอังกฤษ นอกจากนี้แล้วก็มีการเฝ้าระวังแกนนำผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บางรายเช่นกัน ซึ่งได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับตำรวจสันติบาล สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และหน่วยข่าวอื่นๆ ในขณะที่นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่วภายในประเทศ(สทน.) และ กรรมการสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า ตรงนี้ในเบื้องต้นยังไม่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวขาเข้า และขาออก แต่ต้องยอมรับว่า จะทำให้นักท่องเที่ยวต้องเผื่อเวลาในการให้ความร่วมมือตรวจเช็คสัมภาระเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งอาจจะกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวได้
"เพ้ง"สั่งคุมเข้มดอนเมือง นอร์ธเวส-ยูไนเต็ดห้ามของเหลวขึ้นเครื่อง
นานาชาติยกเลิกเที่ยวบินไปลอนดอน เหตุหวั่นแผนบึ้ม! เครื่องบิน
ตำรวจตม.สั่งเฝ้าระวังชาวตะวันออกกลางเข้าไทย-ยันดอนเมืองปลอดภัย
7.พินิจ ข้องใจที่ปรึกษาWHO ปูดข่าวหวัดนกกลายพันธุ์- ตะลึงฟาร์มนำไก่ตายส่อหวัดนกออกขาย
กรณี ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก ด้านไวรัสวิทยา กล่าวถึงกรณีที่ทั่วโลกกำลังจับตาจีน อินโดนีเซีย และไทย ที่อาจเป็นต้นตอของเชื้อไวรัส เอช 5 เอ็น 1 กลายพันธุ์ เป็นอีกประเด็นที่ได้ความสนใจจากผู้คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเรื่องนี้ นายพินิจ จารุสมบัติ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขอให้มั่นใจและไม่มีเชื้อไข้หวัดนกกลายพันธุ์ในประเทศไทยแน่นอน ทั่วโลกหมายถึงประเทศใด องค์การอนามัยโลกหรือเปล่า อาจารย์เอาข้อมูลมาจากไหน เพราะไม่มีสัญญาณหรือคำบอกกล่าวว่าจะจับตาดูประเทศไทย วันนี้ไข้หวัดนกรุนแรงในประเทศอื่น ไม่ใช่ประเทศไทย ตนเรียนว่าองค์การอนามัยโลกกับเราทำงานกันอย่างใกล้ชิด ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย องค์การอนามัยโลกทราบถึงการดำเนินงาน เรารายงานปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน มีเจ้าหน้าที่ติดตามตลอด และขณะนี้ยังไม่มีการกลายพันธุ์ในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม นายพินิจยอมรับว่า การวินิจฉัยไข้หวัดนกในปีนี้ค่อนข้างยาก เพราะมีหลายโรคที่พบในช่วงนี้แสดงอาการใกล้เคียงกัน ทั้งไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก โรคมือเท้าปาก ซึ่งการทำงานของ สธ.หนักกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่าสามารถควบคุมโรคได้ ด้านนพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขปัญหาไข้หวัดนก กล่าวยอมรับว่า มีข้อมูลการลักลอบใช้วัคซีนไข้หวัดนกในประเทศไทยหลายพื้นที่ แต่ไม่สามารถไปเจาะเลือดเพื่อตรวจพิสูจน์ได้ว่าสัตว์ปีกตัวใดใช้วัคซีนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การลักลอบใช้วัคซีนจะทำให้มาตรการต่าง ๆ ที่ทางการกำหนดขึ้นดำเนินไปผิดทางได้ เนื่องจากปัจจุบันดำเนินการบนสมมติฐานว่าสัตว์ปีกทุกประเภททุกชนิดในประเทศไทยไม่ได้ใช้วัคซีน แต่เมื่อมีการใช้วัคซีนจะต้องปรับมาตรการให้มีการสุ่มตรวจหาภูมิคุ้มกันสัตว์ปีกทั่วประเทศปีละ 2 ครั้ง ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งนี้ มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการลักลอบใช้วัคซีนทั้งหมด เพื่อนำมากำหนดเป็นมาตรการป้องกันโรคเพิ่มเติม พร้อมแสดงความเป็นห่วง ขณะนี้ได้รับรายงานพบผู้เลี้ยงไก่รายย่อย ขนาดฟาร์มเลี้ยงไม่เกิน 2 พันตัว หลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ส่วนใหญ่นำไก่ที่ป่วยตาย มาจำหน่ายตามท้องตลาด ซึ่งต้องขอความร่วมมือเจ้าของฟาร์ม ให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวไม่เช่นนั้นจะดำเนินมาตรการลงโทษตามกฎหมาย ส่วนสถานการณ์ไขหวัดนกในเขตกทม.นั้น นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านพบมีไก่แจ้ในเขตพญาไท ตาย 4 ตัว จาก 20 ตัว และผลการตรวจซากไก่ในห้องปฏิบัติการพบว่า 3 ใน 4 ตัวมีผลเป็นบวก ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับเชื้อ H5N1 ดังนั้น จึงเก็บชิ้นเนื้อไปเพาะเชื้อเพื่อตรวจยืนยันอีกครั้งหนึ่ง โดยจะใช้เวลาในการเพาะเชื้อ 2 สัปดาห์ จึงจะรู้ว่ามีเชื้อไข้หวัดนกหรือไม่ ทั้งนี้ ถ้าหากพบว่าผลการเพาะเชื้อมีเชื้อจริง จะประกาศให้เป็นพื้นที่สีแดง ในรัศมี 1 กิโลเมตร และในพื้นที่ 3 ตาราง กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจไปตามการเปลี่ยนแปลงทั้งคนและสัตว์ปีก และระยะนี้ กทม.และกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าไปฉีดพ่นสารเคมี เพื่อฆ่าเชื้อโรคในบริเวณไก่ตาย พื้นที่บริเวณรอบบ้าน ตลอดจนเฝ้าระวังผู้อาศัยทั้ง 12 คน ว่ามีอาการไข้หรือไม่ โดยจะติดตามจะเฝ้าระวัง 10 วัน ส่วนไก่ที่เหลือ 16 ตัวขณะที่ได้ทำลายแล้ว ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) 7 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ครม.ได้อนุมัติและเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการนำเสนอการแก้ปัญหาไข้หวัดนก 3 ข้อคือ 1.เห็นชอบให้มีการชดใช้เงินค่าทำลายไข่ไก่และอาหารสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ของ จ.นครพนม 300,000 ตัวซึ่งถูกเจ้าหน้าที่สั่งให้ทำลาย จำนวน 65 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง แต่ขอให้มีการจัดจ่ายตามความเป็นจริง ข้อ 2.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 29 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติโรคไข้หวัดนก ส่วนจังหวัดอื่นให้พิจารณาตามความเหมาะสม และข้อ 3. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ของ จ.นครพนม ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่สั่งให้ทำลายสัตว์ปีก เพื่อปรับปรุงระบบการเลี้ยงใหม่
“พินิจ” ฟุ้งไม่มีหวัดนกลายพันธุ์ในไทยแน่นอน
กทม.พบไก่แจ้เขตพญาไท ตาย หวั่นมีเชื้อหวัดนก สั่งคุม 12 ผู้ใกล้ชิด