xs
xsm
sm
md
lg

“ตีสิบ” เปิดใจตัวตน ชีวิต งาน ความรัก “สโรชา พรอุดมศักดิ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รายการตีสิบ” ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 ทางช่อง 3 โดย “วิทวัส สุนทรวิเนตร์” สัมภาษณ์พิเศษเปิดใจ “สโรชา พรอุดมศักดิ์” พิธีกรหญิงแห่งรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมากในสถานการณ์การเมืองที่กำลังเข้มข้น ในอีกมุมมองหนึ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้ ทั้งเรื่องส่วนตัว การงาน และความรัก

คลิกที่นี่ เพื่อฟังการสัมภาษณ์พิเศษ สโรชา พรอุดมศักดิ์

วิทวัส – ขอเสียงปรบมือต้อนรับคุณสโรชา  พรอุดมศักดิ์ครับ สวัสดีครับ
สโรชา – สวัสดีค่ะ
 
วิทวัส – ตัวจริงไม่ได้ตัวใหญ่นะครับ  นี่ตัวเล็ก  จริงๆแล้วตัวเล็กพอสมควร
สโรชา – ตัวเล็กกว่าในทีวีค่ะ
 
วิทวัส – ตัวเล็กกว่าในทีวีนะครับ  เชิญนั่งครับเชิญนั่ง  วันนี้อย่างที่เรียนในช่วงของ Introduction เมื่อซักครู่นี้   เรียนให้ทราบ  และก็เราคุยกันตรงนี้ก่อนว่าจะคุยแต่เรื่องของคุณสโรชาเท่านั้น  เรื่องส่วนตัวเท่านั้น
สโรชา – ค่ะ  เรื่องส่วนตัวค่ะ
 
วิทวัส – เรื่องที่จะแนะนำว่าคุณสโรชาเป็นใครเท่านั้น  ซึ่งก็เปิดเผยได้ใช่ไหมครับ
สโรชา – ได้ค่ะได้ 

วิทวัส – และก็เรียนให้ทราบว่าจะไม่คุยเรื่องการเมืองโอเคใช่ไหมครับ
สโรชา – โอเคค่ะ  คือจริงๆแล้วทางด้านนั้นเขาคงจะได้ติดตามทางสื่ออื่นเยอะแล้วนะคะ

วิทวัส – เพราะฉะนั้นก็เรียนให้ทราบสำหรับท่านผู้ชมที่อยากจะฟังทางนั้นว่าไม่มีนะครับ  ถ้าอยากจะชมเรื่องการเมืองที่จะให้คุณสโรชาพูดถึงใครยังไงๆ  บิดไปช่องอื่นได้  วันนี้มาแนะนำทางด้านเบาๆเท่านั้นเองของคุณสโรชา  คุณสโรชาจริงๆแล้วหน้ายังเด็กอยู่มาก  ผมดูในทีวี
สโรชา – หน้าเด็กหรือคะ  คงไม่ใช่มั้งคะ  หน้าจริงๆแล้วนี่หลายๆท่าน  ถ้าเกิดถามหลายๆท่านนี่เชื่อว่าคงจะตอบได้แบบ 35 ง่ายๆเลยใช่ไหมคะ  จริงๆแล้วยังนะคะยัง  29 เพิ่งครบ 29 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

วิทวัส – 29 แต่ว่าเราดูจากทีวีไงครับ  ทีวีเขาแถมให้อีกหลายปีอยู่แล้วล่ะครับ
สโรชา – อายุสูงและด้วยหน้าที่การงานด้วยมั้งคะ  คงจะเสริมเข้าไปหลายปีอยู่อะไรอย่างนี้  มีนะคะบางท่านเข้ามาถามบอกว่า  เอ่อ  มีครอบครัวแล้ว  มีลูกกี่คนแล้ว  ตอนนั้นตกใจมากเพราะตอนนั้นหลายปีแล้วค่ะ  ตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ  ตอนนั้นเราเพิ่งเท่าไหร่ 23-24 อะไรอย่างนี้ค่ะ  เขาล้ำไปถึง 35-40 เราก็แบบเสียใจ  แอบเสียใจเล็กน้อย  แต่ก็เข้าใจค่ะโดยการงานแล้ว

วิทวัส – เวลาออกทีวี  โดยเฉพาะออกทีวีนะครับอาจจะดูแก่  เพราะดูตัวจริงแล้วหน้ายังเด็กกว่าในทีวีอีก  ผมเทียบกับในทีวีนะครับ  เรามาถามถึงเห็นบอกว่าคุณสโรชานี่มีชื่อเล่นใช่ไหมครับ
สโรชา – แอ้มค่ะ 

วิทวัส – เรียกแอ้มดีกว่าเนอะ  นั่นกว่าเยอะ  สโรชาฟังแล้วตอนนี้ทางการมากเลย
สโรชา – หลายๆคนบอกว่าเป็นคำหยาบไปแล้ว

วิทวัส – กลายเป็นคำหยาบไปแล้ว  โดยเฉพาะเวลาคุณสนธิพูดนี่  คุณสโรชาอย่างนั้นอย่างนี้
สโรชา – เรียกแอ้มง่ายกว่าค่ะ 

วิทวัส – เราเป็นรายการบันเทิง  คุณแอ้มแล้วกันนะครับ  ขออนุญาตเรียกชื่อเล่นแล้วกัน  คุณแอ้มนี่เห็นบอกว่าโตที่อเมริกา 
สโรชา – แอ้มโตที่อเมริกา แอ้มเกิดที่เมืองไทยนะคะ  และก็ไปกับคุณพ่อคุณแม่ไปอเมริกาตั้งแต่ 2 ขวบ  ก็ได้ไปใช้ชีวิตช่วงแรก 10 ปีน่ะค่ะช่วงนั้น  กลับมาเมืองไทยครั้งแรกของแอ้มก็คืออายุ 12 แล้ว  เพราะฉะนั้นก็ได้ไปโตในวัฒนธรรมตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ 

วิทวัส – มิน่าว่าพูดภาษาอังกฤษดีมาก  เราเคยติดตามในช่วงข่าวภาคภาษาอังกฤษ  ตั้งแต่ช่อง 11 จนถึงช่องNation  เดี๋ยวเราค่อยคุยกันถึงเรื่องนั้น  แต่ถามนิดนึงว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงย้ายไปอยู่อเมริกาตอนที่คุณแอ้มเป็นเด็ก 
สโรชา – คุณพ่อไปเรียนต่อค่ะ  แล้วก็หลังจากที่เรียนแล้วก็ได้มีโอกาสทำธุรกิจ

วิทวัส – เดี๋ยวนะครับ  คุณพ่อไปเรียนต่อหรือครับ
สโรชา – ไปเรียนต่อที่โน่นค่ะ  มีครอบครัวแล้วก็ตัดสินใจไปอเมริกา  ก็เป็นโอกาสที่ดีก็เลยไป

วิทวัส – เดี๋ยว  คุณพ่อตอนที่มีคุณสโรชาตอน 2 ขวบ  คุณพ่ออายุเท่าไหร่  อย่าบอกว่า 17 นะ  ไปเรียนต่อมันฟังดูว่าอย่างนั้น
สโรชา – ไม่ค่ะ  คุณพ่อ 30 แล้วค่ะ  ตอนที่มีแอ้มคุณพ่อ 30 พอดี  แล้วก็ถือโอกาสว่าแบบคืออาจจะอยากไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆด้วยค่ะ  แล้วก็อยากไปเพิ่มเติมความรู้  คือคุณพ่อทำทางด้านเครื่องเย็นมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว  คือเครื่องปรับอากาศ  เครื่องทำความเย็นให้กับโรงงานอุตสาหกรรมอะไรอย่างนี้ค่ะ

วิทวัส  -ในเมืองไทย
สโรชา – ในเมืองไทยค่ะ  ก็เลยอยากจะได้ไปพัฒนาความรู้ที่เมืองนอก  ก็เลยตัดสินใจกับคุณแม่

วิทวัส – ในเชิงธุรกิจ
สโรชา – ค่ะ  ก็เลยไปที่โน่น  และก็ติดอกติดใจมั้งคะ  ติดอกติดใจความเป็นอยู่  ครอบครัวอเมริกาอะไรอย่างนี้ค่ะ  ก็เลยตัดสินใจอยู่และก็ทำธุรกิจที่โน่นอยู่ประมาณ 10 ปีค่ะ 

วิทวัส – ทำธุรกิจอะไรอยู่ที่อเมริกา
สโรชา – เป็นบริษัททางด้านเครื่องเย็นค่ะ  เราจะขายและก็ติดตั้ง  และก็บริการเครื่องเย็นขนาดใหญ่นะคะ  เป็น Freezer ขนาดใหญ่ให้กับโรงงานอุตสาหกรรม

วิทวัส – คล้ายๆกับที่ทำที่เมืองไทย
สโรชา – ใช่ค่ะ

วิทวัส – แต่ว่าตอนที่ไปเรียนต่อที่อเมริกาคือยกเลิกกิจการ
สโรชา – ยกเลิกกิจการที่เมืองไทยทั้งหมดเลยค่ะแล้วก็ไป

วิทวัส – คือทิ้งไปเลยกิจการที่เมืองไทยที่ทำอยู่  และก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา
สโรชา – อ๋อ  ตอนที่อยู่เมืองไทยนี่ยังเป็นลูกจ้างเขาอยู่ค่ะ  ยังทำกับคนอื่น  แล้วก็ตัดสินใจว่าไปอเมริกานี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดี  ก็เลยไปที่โน่น

วิทวัส – และก็เป็นเจ้าของธุรกิจ
สโรชา – ติดอกติดใจก็เลยอยู่ต่อ

วิทวัส – และคุณแอ้มก็กลับมาเมืองไทยอีกครั้งนึงตอนอายุ
สโรชา – 12 ค่ะ 

วิทวัส – 12 นั้นก็  นี่เพิ่งจะที่โน่นเขาเรียกว่านะครับ  Secondary School  ยังไม่ High School ใช่ไหมครับ 
สโรชา – ใช่ค่ะ  ตอนนั้นยังเพิ่งจบเกรด 6 ค่ะ  กลับมาเมืองไทยนี่มาต่อเกรด 7 ที่เอกมัยอินเตอร์

วิทวัส – เอกมัยอินเตอร์  แล้วจบเอกมัยอินเตอร์แล้วก็ไปเรียนต่ออะไรครับ
สโรชา – แล้วกลับไปที่อเมริกาอีกครั้งนึง  ไปเรียนอริโซน่าสเตท  ยูนิเวอร์ซิตี้  ทางด้าน Broadcast 

วิทวัส – แล้วตกลงมาอยู่เมืองไทยกี่ปีครับ 
สโรชา – ตอนนั้น 12 จนประมาณ 16 มั้งคะ  16-17 ก็กลับไปเรียนค่ะ  ก็คือมาอยู่เมืองไทยแค่ 4-5 ปีเอง  ก็กลับมาเรียนภาษาไทยที่นี่แหละค่ะ  คุณพ่อคุณแม่ก็จ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้าน  ตอนนั้นกลับมายังถือว่าเป็นเด็กฝรั่งเต็มตัวอยู่เลยค่ะ ยังพูดภาษาไทยได้สเน็คๆฟิชๆ  เล็กๆน้อยๆอะไรอย่างนี้ค่ะ

วิทวัส – งูๆปลาๆ
สโรชา – แล้วก็พูดไม่ค่อยชัด  อ่านไม่ได้เขียนไม่ได้เลย  อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
 

วิทวัส – แต่ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงตัดสินใจกลับมาอีก  หลังจากที่ไปอยู่ในนั้น 10 กว่าปี  แล้วทำไมถึง
สโรชา – ใช่  คือตอนนั้นอายุ 12 นี่ต้องยอมรับว่าเริ่ม  เด็กฝรั่งนะคะเขาเริ่มเป็นสาวกันแล้ว  และก็คุณแม่นี่จะถือมากเรื่องของการที่ว่าลูกสาวจะโตมาเป็นฝรั่งจนเกินไป  คุณแม่รับไม่ได้  ก็เลยคุยกับคุณพ่อไว้บอกว่าลูกนี่เริ่มเป็นสาวแล้วนะ  จริงๆแล้วห่างจากวัฒนธรรมไทยค่อนข้างมาก  และก็กลัวว่าจะโตมาเป็นสาวฝรั่ง  ประทานโทษนะคะ  Free Sex อะไรอย่างนี้  คุณแม่รับไม่ได้จริงๆ  ก็เลยคุยกับคุณพ่อไว้เบื้องต้นตอนนั้นว่า  น่าจะพาลูกกลับบ้านนะพ่อ  ซึ่งก็มีการพูดคุยกัน  แต่ว่าจังหวะชีวิตพอดีอาจจะบอกว่าบ้านแอ้มเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ก็เลยบอกว่านี่อาจจะมีอะไรดลบันดาล  เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ L.A. พอดีค่ะ  แล้วก็เลยบอกว่านี่เบื้องบนอาจจะส่งสัญญาณอะไรเราบางอย่างมั้ง  ก็พาลูกกลับบ้านดีกว่า  ก็เลยขายบ้านขายกิจการทั้งหมด  กลับมาตั้งรกร้างใหม่ที่เมืองไทยเลย

วิทวัส – ช่วงนั้นกิจการเครื่องเย็นที่ขายได้ดิบได้ดีตรงนั้นก็ขายทิ้งไปอีกแล้ว  ก็กลับมาเมืองไทย 
สโรชา – ค่ะ  แต่ครอบครัวเราอบอุ่นมาก  คือด้วยความที่ว่าหลายๆท่านอาจจะตั้งข้อสังเกตว่า  ถึงขนาดยอมขายธุรกิจที่ถือว่าไปได้ดีกลับมานี่  ก็จริงๆแล้วเพื่อลูก  เพราะครอบครัวเราแน่นแบบอบอุ่นมาก  มีกันพ่อแม่ลูกก็ 3 คนพ่อแม่ลูก  ก็จะเป็นอะไรที่อะไรเพื่อลูกคุณพ่อคุณแม่ทำได้เสมอ  ก็คิดว่าอะไรที่ดีที่สุดของที่สำหรับลูกนี่ก็จะทำ 

วิทวัส – เพราะฉะนั้นมีลุกคนเดียว 
สโรชา – คนเดียวค่ะ  เป็นลูกคนเดียว 

วิทวัส – มิน่า  คุณพ่อคุณแม่หวงไหมครับ 
สโรชา – หวงมาก  ตั้งแต่เล็กจนโตนี่  จะมีการตั้งกรอบไว้ค่อนข้างจะแน่น  คือตั้งแต่สมัยเรียนประถมนี่นะคะ  ก็คือกลับบ้านนี่โรงเรียนแอ้มอยู่ใกล้บ้าน  ก็เดินกลับทุกวัน 15 นาทีนี่แอ้มต้องถึงบ้านแล้ว  โรงเรียนเลิก 3 โมงนี่  คุณแม่บอก 3 โมง 15 แอ้มต้องถึงบ้านแล้วนะ  คือห้ามเกิน  มีอยู่ครั้งนึงจำได้เลยค่ะว่า  แอบไปซื้อหมากฝรั่งที่ปั๊มน้ำมัน  คือทางกลับบ้านนี่แหละค่ะก็แวะเข้าไป  ก็คงไม่มีอะไรมั้งอย่างนี้ก็แวะเข้าไป  ปรากฏว่า 3 โมง 15 แป๊ง  ลูกสาวยังไม่ถึงบ้าน  คุณแม่ขับรถออกจากบ้านมาตามหาลูกแถวๆ นั้นแหละค่ะ  โทรหาเพื่อน  โทรหาแม่ของเพื่อนอะไร  กระจององแงไปหมดจนคนเขาตกอกตกใจ 

วิทวัส – 15 นาทีนี่นะครับ
สโรชา – 15 นาทีเท่านั้นค่ะ  ก็ปรากฏว่าไปเจอกำลังเดินออกจากปั๊มน้ำมันพอ  สโรชาแบบ Happy go lucky มากๆ  แต่ว่าโดนดุเสียแบบคือไม่น่าเชื่อว่าแค่ 15 นาทีค่ะ  คุณแม่ดุเสียจนแบบทำไมชอบทำให้แม่เป็นห่วง  ทำไมทำตัวดื้ออย่างนี้  หยิกๆอะไรอย่างนี้ 

วิทวัส – ในปั๊ม  คือหมายความว่าแค่เดินในปั๊มนี่หรือครับ
สโรชา – แค่เดินในปั๊ม คุณแม่บอกว่าในปั๊มนี่ผู้ชายเยอะ  เข้าไปได้ยังไง  ถ้าเกิดเข้าไปแล้วหายไปจะทำยังไงอะไรอย่างนี้ค่ะ  คุณแม่ก็จะคิดมาก  หวงลูกมาก  ทั้งคุณพ่อทั้งคุณแม่แหละค่ะ  พอโตขึ้นมานิดนึงก็จะดีขึ้นหน่อย  ก็จะผ่อนปรนในลักษณะว่าไปไหนมาไหนได้  คือ 1. ขอให้รู้ว่าอยู่กับใครนะคะตลอดเวลา  2. ให้ถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน  คือขนาดเรียนมหาวิทยาลัยนั้นก็ยังถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน 

วิทวัส – มีเคอร์ฟิว 
สโรชา – มีเคอร์ฟิว  เดี๋ยวนี้  ปัจจุบันนี้  ช่วงทำงานใหม่ๆก็ยังมีเคอร์ฟิวอยู่ค่ะ  ต้องถึงบ้านก่อนเที่ยงคืน  ไปไหนมาไหนก็แล้วแต่ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืน  เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ  คุณพ่อคุณแม่ก็เข้าใจว่าเออ  เราดูแลตัวเองได้นะอะไรอย่างนี้  ก็มีคนรู้ใจที่มาดูแลที่พ่อแม่ไว้ใจอะไรอย่างนี้ค่ะ 

วิทวัส – ถ้าพูดถึงอย่างนี้  ว่าคุณพ่อคุณแม่หวงลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านได้มากขนาดนี้  ต้องถามเลยว่าแล้วท่านไม่ห่วงหรือครับ  ในวันที่เราเดินขึ้นไปและอยู่ท่ามกลางม็อบเป็นหมื่นๆคน 
สโรชา – ห่วงมากค่ะ  ห่วงมากๆ 

วิทวัส – นั่นน่ะสิ  แล้วปล่อยลูกสาวไปได้ยังไงครับ 
สโรชา – ทำให้คุณแม่สุขภาพเสียไปในระดับหนึ่ง  คือคุณแม่เป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว  คราวนี้พอมีอะไรที่กังวลใจเข้ามามากๆนี่   ก็ค่อนข้างที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพทางร่างกายด้วย  แต่ว่าความที่ว่าเราจริงๆแล้วมองห่างๆ  คุณแม่ยังพูดอยู่เลยบอกว่าถ้าแอ้มไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก และก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้ตั้งแต่แรกนี่  แม้กระทั่งอย่าว่าแต่เข้าไปใกล้เวทีเลย  เข้าไปแถวนั้นแม่ยังไม่ให้เพราะแม่ก็เป็นห่วงเหมือนกันอะไรอย่างนี้ค่ะ  ก็เลยเป็นอะไรที่เหมือนกับเราปรับตัวเยอะมาก  ตั้งแต่เกิดเรื่องและก็มีการคุยกัน  เป็นห่วงเป็นใยจนกระทั่งหาวิธีการที่ว่า 1. เราดูแลตัวเอง  2. ก็ปลงในส่วนนึง  ในบางส่วนอะไรอย่างนี้ค่ะ

วิทวัส – ขนาดปลงแล้วนะครับ  เอาล่ะ  ทีนี้มาดูเส้นทางการทำงานของคุณสโรชา  พรอุดมศักดิ์  ณ ที่นี้เราเรียกว่าคุณแอ้มก็แล้วกัน  พอกลับมาจากอเมริกาหลังจากจบปริญญาตรีนะครับ  ทางด้านสื่อสารมวลชนใช่ไหมครับ
สโรชา – ไม่คิดจะต่อโทค่ะ  ไม่รักเรียนซักเท่าไหร่  คือเรียนนี่ถ้าเกิดตั้งใจเรียนนี่เรียนได้ดีค่ะ  แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านตำราก็และไปท่องไปสอบอะไรอย่างนี้โดยนิสัย  น้องๆอย่าเอาเยี่ยงอย่างนะคะ  แต่ว่าก็คือพอจบมาแล้วเรามีความรู้สึกว่านำวิชามาใช้ดีกว่า 

วิทวัส – ทีนี้พอกลับมาเมืองไทยทำงานอะไรที่ไหนก่อน 
สโรชา – ก็แอ้มจบปี 2540 ฟองสบู่แตกพอดี  กลับมาบ้านก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างหางานยากพอสมควร  และก็ร่อนใบสมัครตามสถานีต่างๆ  ด้วยความตั้งใจว่าเราชอบทางด้านทีวีและอยากจะทำงานทางด้านทีวี  ก็เลยร่อนใบสมัครไป  มีสถานีนึงติดต่อกลับมานะคะ  และก็บอกว่าไปเทสต์หน้ากล้อง

วิทวัส - ช่องไหนครับ
สโรชา – ช่องไอทีวีค่ะ  ก็ไปเทสต์หน้ากล้องเราก็มาคิดอยู่ซักแป๊บนึง  แล้วก็ถามพี่เขาบอกขอโทษนะคะพี่  นี่เป็นภาษาไทยใช่ไหม  พี่เขาก็ตอบกลับมาด้วยความงงงวยว่า  ก็ใช่น่ะสิน้อง  น้องคิดว่าเป็นภาษาอะไร  นี่มันเมืองไทยนะอะไรอย่างนี้  เราก็ภาษาไทยเราไม่ค่อยถนัดน่ะค่ะพี่  ขอเป็นภาษาอังกฤษแล้วกัน  ถ้าเกิดในอนาคตพี่มีภาคภาษาอังกฤษเมื่อไหร่นี่  ค่อยให้โอกาสแอ้มอีกครั้งนึงได้ไหมอะไรอย่างนี้ค่ะ

วิทวัส – บอกเขาหรือเปล่าว่าภาษาไทยเราไม่แข็งแรง 
สโรชา – บอกค่ะ  บอกว่าไม่ถนัด  คือตอนนั้นนี่พูดชัดนะคะ  ภาษาไทยจริงๆแล้วแตก  แต่ว่าด้วยความมั่นใจให้แอ้มนั่งหน้ากล้องแล้วอ่านข่าว  หรือว่าพูดกับกล้องนี่แอ้มไม่มีความมั่นใจมากพอ

วิทวัส – ตอนนั้น 
สโรชา – ตอนนั้นค่ะ  ปี 2540 ก็เลยปฏิเสธเขา  แล้วบอกว่าถ้าเกิดพี่รู้จักใครที่เป็นรายการภาษาอังกฤษนี่  แนะนำให้แอ้มด้วยนะคะ  เราก็เลยไปทำทางด้านส่งออกน่ะค่ะ  เป็นรองผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ  อยู่บริษัทส่งออกแห่งหนึ่ง  ก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์อยู่ประมาณปีกว่าๆนะคะ  จนกระทั่งเริ่มมีความรู้สึกแล้วว่าไม่ใช่  ว่าไม่ใช่งานที่เราชอบ คือมันค่อนข้างจำเจน่ะค่ะ  คือมาถึง 8 โมงเช้าก็ทำงานๆๆ  ติดต่อทางด้านอีเมล์  โทรศัพท์เสียเป็นส่วนใหญ่  เป็นงานนั่งโต๊ะไม่ใช่เรา  ก็เริ่มระส่ำระสายเล็กน้อย  จนกระทั่งอยู่มาวันนึงแหมือนฟ้าดลบันดาล  ให้มีพี่ท่านนึงจาก News Line ช่อง 11 ก็โทรมา  สโรชาใช่ไหม  สนใจอ่านข่าวภาษาอังกฤษหรือเปล่า  ซึ่งตอนนั้นเหมือนกับแบบ  โอ้โห  พระเจ้าทรงโปรดจริงๆ   คือดีใจมากๆ  และก็คือลาออกจากงานเก่าและก็มาทำเลยทันทีเลยค่ะ  สัมภาษณ์วันอังคารถ้าจำไม่ผิดวันพุธนี่เริ่มงานทันทีเลย  และก็เริ่มเส้นทางในด้านสื่อมาก็ตั้งแต่ News Line ช่อง 11  ทำได้ประมาณซัก 4 เดือนค่ะ

วิทวัส – ใช่  รู้สึกสั้นมาก  เห็นอยู่แว้บๆพอบิดไปอีกที  อ้าว  หายไปแล้ว
สโรชา – นิดเดียวค่ะนิดเดียว  และก็มาถึงพอดีทาง Nation เปิด Nation Channel พอดี  ก็มีโอกาส  พี่เขาก็เลยชวนมาทำข่าวภาษาอังกฤษที่ Nation  อยู่ Nation ได้ประมาณซัก 3 ปีก็มีทางสิงคโปร์  ก็มีช่องข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์เขาชวนไปทำ  ก็ไปอยู่ที่นั่นประมาณ 2 ปี  และถึงได้กลับมาทำกับผู้จัดการ  นี่ก็ประมาณ 2-3 ปีแล้วค่ะ

วิทวัส – ทำไมถึงไปที่สิงคโปร์  และทำไมถึงกลับมาจากสิงคโปร์ในช่วงระยะเวลาไม่นาน  ตอนนั้นผมติดตามคุณสโรชาอยู่นะครับ  เป็นแฟนอยู่แล้วจู่ๆก็หายไป  เอ๊ะ  หายไปไหน  ทราบข่าวอีกทีไปทำงานที่สิงคโปร์  เกิดอะไรขึ้น  มีคนมาติดต่อ  มีคนมาซื้อตัวหรือว่ายังไง 
สโรชา – ค่ะ  เขาติดต่อมาและเขาบอกว่าเรากำลังหาผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคอินโดจีนนะคนใหม่  สนใจไหม

วิทวัส – ของสถานีโทรทัศน์ไหนครับ 
สโรชา – Channel News Asia ค่ะ  ของสิงคโปร์  CNA ค่ะ แอ้มก็ถือว่าเป็นโอกาสนะคะ  เพราะว่าตอนนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าเราทำภาคภาษาอังกฤษ  ที่คนรู้จักจริงๆก็จะเป็นข่าวภาษาอังกฤษ  ก็จะทำข่าวต่างประเทศด้วยนะคะกับคุณสุทธิชัย  หยุ่น  คราวนี้นี่พอเขาติดต่อมาปุ๊บ  แอ้มก็มีความรู้สึกว่าเออ  มันเป็นโอกาสที่ดีนะที่จะได้ไปเรียนรู้  และก็ตอนนั้นก็จะมีคนพูดเยอะมากว่า  เออนี่น่าจะโกอินเตอร์  ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี  แอ้มก็ไปอยู่สิงคโปร์  คือตอนแรกตามเงื่อนไขสัญญาต้องไปอยู่อย่างน้อย 3 เดือน  คือไปฝึกงานใช่ไหมคะ  แล้วก็ผลปรากฏว่า 3 เดือนก็แล้ว 5 เดือนก็แล้ว 6 เดือนก็แล้ว 7 เดือนก็แล้ว  ก็ยังไม่มีการส่งกลับมาเมืองไทย  เพราะว่าเราไปอ่านข่าว  

วิทวัส – เดี๋ยวนะครับ  ไม่ส่งกลับมา  หมายความหมดสัญญา  หรือสัญญายังอยู่
สโรชา – สัญญา 2 ปีค่ะ  แต่ว่าโดยเงื่อนไขตามสัญญานี่  เราต้องไปฝึกงานที่สิงคโปร์อย่างน้อย 3 เดือนเพื่อไปเรียนรู้ระบบ   ถึงได้กลับมาค่ะ เขาก็จะส่งกลับมาที่ กทม. 

วิทวัส – มาทำงานที่ กทม. 
สโรชา – ใช่ค่ะ

วิทวัส – แต่ว่าทำงานให้กับเขา  CNA Channel News Asia เหมือนเดิม 
สโรชา – ใช่ค่ะ  เหมือนเดิมค่ะ

วิทวัส – เขาก็จะส่งกลับมาให้เรามา base เขาเรียกว่า base อยู่ที่เมืองไทย
สโรชา – ใช่ค่ะ  แต่ว่าเขาก็บอกว่านี่  ผู้ประกาศเขาขาดนะ  มีคนลาคลอดพอดี  ก็สโรชาไปอ่านข่าวให้หน่อยซิ เราก็ไปฝึกอยู่พักนึงและก็อ่านข่าวให้เขา  ปรากฏว่าคงเข้าตาผู้บริหารในช่อง  และก็คนดูก็ Feedback เข้ามาดีมากๆ  ก็เลยไม่มีการพูดคุยว่าเอ๊ะ  จะกลับบ้านเมื่อไหร่อะไรยังไง

วิทวัส – ในขณะที่เราเป็นลูกสาวคนเดียว 
สโรชา – ลูกสาวคนเดียว  แอ้มแบบไม่อยากเจอ  คือจริงๆแล้วบ้านเมืองเขาก็น่าอยู่ดีนะคะ  แต่ว่าคือก้าวออกจากบ้านก็คิดถึงบ้าน  ก้าวขึ้นรถไฟฟ้าก็คิดถึงรถ  หยิบช้อนขึ้นมาทานข้าวเป็นโกยซี่หมี่ก็คิดถึงอาหารไทย  เดินเข้าอพาร์ทเมนต์ก็คิดถึงพ่อกับแม่อะไรอย่างนี้ค่ะ  คือมันเป็นอะไรที่ทุกอณูของการใช้ชีวิตเราที่โน่น  มันเหมือนกับทุกข์ทรมาน  ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าเป็นท่านอื่นๆก็คงไม่รู้สึกเท่าไหร่  แต่ด้วยความที่แอ้มก็สนิทกับคุณพ่อคุณแม่มาก  ก็เลยคิดถึงบ้านมากๆ ก็เลยเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ในช่อง  บอกว่าเมื่อไหร่จะส่งไอกลับบ้านเสียทีล่ะ  จริงๆแล้วตกลงกันแค่ 3 เดือนไม่ใช่หรือ

วิทวัส – แล้วจะให้ส่งไอกลับไปทำงานที่เมืองไทย  และแพร่ภาพมาทางนี้ 
สโรชา – แต่ว่าเขาก็บอกว่าไม่เห็นจะยังไงเลย  ก็ดู Happy ดีนี่  คนดูก็ Happy ดี  ไอก็ Happy และถ้าเกิดยูอยู่ที่นี่นี่  จริงๆแล้วยูก็น่าจะไปอยู่ฮ่องกง  อยู่ CNN ฮ่องกงหรือว่า CNN แอตแลนตาต่อนะ

วิทวัส – กำลังจะถาม  มันเป็นเส้นทางสู่ CNN ได้ 
สโรชา – ใช่ค่ะ  มันเป็นเส้นทางที่จะไปอินเตอร์จริงๆ 

วิทวัส – แล้วทำไมถึง
สโรชา – แอ้มก็ถ้าเกิดเลือกตรงนั้นนะคะ  ถ้าเลือกตรงนั้นนี่แอ้มก็เข้าใจว่าชีวสิตแอ้มคงต้องไปอยู่ต่างประเทศตลอด  คือจากสิงคโปร์ก็คงต้องย้ายไปอยู่ฮ่องกง  และถ้าเกิดก้าวหน้าจริงๆก็คงจะย้ายไปอยู่แอตแลนตา  ซึ่งถามใจแอ้มว่าคุณพ่อคุณแม่แอ้มอยู่เมืองไทย  พี่น้องทั้งหมดก็อยู่เมืองไทย  เพื่อนๆก็เป็นคนไทยทั้งหมด  แอ้มก็คงไม่ Happy กับการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ  ก็เลยเลือกว่าไม่เอา  ขอบคุณสำหรับโอกาส  แต่ว่าไอขอกลับบ้านดีกว่า  นั่นก็คือที่มาที่กลับมาประจำที่ กทม.

วิทวัส – ทั้งๆที่ความฝันของคนทำข่าว  ผมเคยผ่านเส้นทางตรงนั้นมาเหมือนกัน  โดยเฉพาะถ้ามีความรู้ความสามารถในเชิงภาษาอังกฤษแล้ว  ความฝันอันสูงสุดของคนทำข่าวคือ CNN แอตแลนตา  ที่มันมีเครือข่ายไปทั่วโลกนี่นะครับ  คือสามารถแพร่ภาพไปทั่วโลกก็ยังตัดสินใจกลับมา
สโรชา – ใช่ค่ะ

วิทวัส – เอ้า  ทีนี้พอกลับมาต้องถามตรงนี้เลยครับ  คำถามที่สำคัญ  แล้วในที่สุดมาทำงานกับคุณสนธิ  ลิ้มทองกุลได้ยังไง
สโรชา – คำถามเด็ด  ก็คือแอ้มกลับมา  ตอนแอ้มกลับมาประจำที่ กทม.แล้วนะคะ  และก็ทำงานที่เอเปกที่เมืองไทยเป็นเจ้าภาพค่ะ  ก็มีพี่ทีมงานที่เห็นว่าเออ  สโรชากลับมาแล้วนะ  ก็เลยชวนไป  ตอนนั้นคุณสนธิจะปรับเปลี่ยนรายการค่ะ  ก็เลยชวนกันบอกว่าสนใจจะทำรายการกับผู้จัดการไหม ออกช่อง 9 นะอะไรอย่างนี้ค่ะ  ก็เลยสนใจ  ก็เลยเข้าไปคุย  เดิมทีจะไม่ได้ลงรายการเมืองไทยรายสัปดาห์หรอกค่ะ  จะเป็นลงอีกรายการนึงซึ่งพิธีกรท่านอื่นก็คุยกันเรียบร้อยแล้ว  ผลปรากฏว่าวินาทีสุดท้ายก็มีคนโทรมาบอกว่า  คุณสนธิอยากเจอ  เราก็ประโยคแรกที่ออกจากปากก็คือ  สนธิไหนหรือ  คือไม่ทราบจริงๆค่ะ  ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร  ไม่ทราบ  คือไม่คุ้นเคยกับเครือผู้จัดการเลยตอนนั้น

วิทวัส – ก่อนหน้านี้เราไม่มีใคร  ไม่ค่อยมีคนรู้จักนะครับ  มีก็กลุ่มเล็กมาก
สโรชา – ค่ะ  ก็จะในวงการสื่อด้วยกัน  ปรากฏว่าไปเจอท่านครั้งแรก  ท่านก็ตรงไปตรงมาดี  คือก็คุยแบบตรงไปตรงมาว่าท่านเป็นใคร  เรียนจบมาจากไหน  ถูกกับใคร  ไม่ถูกกับใครก็เล่าให้ฟังหมด  จนสุดท้ายสุดก็คือบอกว่า  นี่ผมจะทำรายการนี้นะ  เป็นอย่างนี้ๆ  แอ้มสนใจหรือเปล่า  แอ้มก็ตอบไปเลยอย่างไม่ต้องคิดว่าสนใจค่ะ  ก็เลยเป็นที่มาของเมืองไทยรายสัปดาห์ในตอนนั้น

วิทวัส – และทุกวันนี้ก็คือกินเงินเดือนคุณสนธิ
สโรชา – ก็หลังจากที่หมดสัญญากับสิงคโปร์ 2 ปี  คุณสนธิก็ชวนมาทำช่องข่าวภาษาอังกฤษ  คือคุณสนธิมีความรู้สึกว่าอยากจะทำ  เมืองไทยนี่น่าจะมีช่องข่าวภาษาอังกฤษเป็นของตัวเองซักช่องหนึ่ง  และก็มีความใฝ่ฝันอยากจะทำตรงนั้น  ก็เลยชวนแอ้มมาบอกว่าผมอยากจะทำช่องข่าวภาษาอังกฤษนะ  แอ้มสนใจหรือเปล่า  จะหมดสัญญากับสิงคโปร์พอดีตอนนั้น  แอ้มก็เลยบอกว่าสนใจค่ะ  ปัจจุบันนี้ก็แพร่ภาพอยู่ค่ะทางดาวเทียม 

วิทวัส – เป็นเคเบิล 
สโรชา – เป็นดาวเทียมค่ะ  แพร่ภาพ 24 ชั่วโมง 

วิทวัส – อ๋อ  ไม่ใช่เคเบิล  เคเบิลนี่เราต้องจ่ายแต่นี่ไม่ต้องจ่าย  คือตั้งจานแล้วก็รับสัญญาณได้เลย 
สโรชา – ใช่ค่ะ

วิทวัส – แล้วแอ้มก็อ่านข่าว
สโรชา – เป็นผู้อำนวยการช่อง Thailand Outlook Channel ค่ะ

วิทวัส – แล้วอ่านข่าวด้วย
สโรชา – ทำรายการด้วย  แต่ช่วงหลังนี่ไม่ได้ทำแล้วเพราะว่าแอ้มทำรายการวิเคราะห์ข่าว  และก็ไม่อยากจะต้องพูดถึงเรื่องตัวเองมากๆอะไรอย่างนี้  ก็เลยให้น้องมาจัดแทน  แต่หลังจบเรื่องก็คงต้องกลับไปจัดใหม่ 

วิทวัส – เอาล่ะครับ  และในที่สุดเราก็ได้เห็นคุณสโรชาทำงานแบบนี้ครับกับคุณสนธิ  มาจนกระทั่งมีเรื่องมีราวใหญ่โต  ซึ่งเราขอข้ามตรงนั้นไปเลยนะครับ  แต่แน่ๆก็คือที่มันเกี่ยวเนื่องกับชีวิตของคุณสโรชา  ในการที่ทำงานกับคุณสนธิมาตลอด  ตกลงกี่ปีแล้วครับตั้งแต่ช่อง 9
สโรชา – 3 ปีมาแล้วค่ะ 

วิทวัส – ก็แน่นอนว่าไม่วายในเรื่องข่าวลือ  ข่าวลืออะไรครับ 
สโรชา – ใช่ค่ะ  เขาหาว่าแอ้มเป็นอนุภรรยาคุณสนธิค่ะ

วิทวัส – เอาล่ะครับ  มีคนลือกันตรงนี้มากมาย  เดี๋ยวเราจะมาถามคำถามนี้นะครับ  ให้คุณแอ้ม สโรชา  พรอุดมศักดิ์  ได้ตอบว่าข่าวลืออันนี้เกิดขึ้นยังไง  และความจริงคืออะไร  พักซักครู่เดี๋ยวมาครับ



วิทวัส
– นี่คือรายการตีสิบในช่วงสนทนา เรากำลังพูดคุยอยู่กับคุณสโรชา  พรอุดมศักดิ์  ในฐานะที่เป็นคนทำโทรทัศน์ผ่านมาหลายช่อง  ตั้งแต่ช่อง 11 มาจนถึงช่อง Nation จนปัจจุบันนี่ก็นั่งอยู่เคียงข้างคุณสนธิ  ซึ่งก็เรียนให้ทราบอีกครั้งนึงนะครับ  เราไม่คุยกันถึงเรื่องการเมือง  เพื่อแสดงความเป็นกลางตรงนี้  ไม่ได้สนับสนุนใคร  ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ  คุณสโรชานี่จริงๆ แล้วสอดแทรกเข้าไปในชีวิตของคนดูโทรทัศน์และคนเดินทางพอสมควร  ที่พูดอย่างนี้พวกเราเวลาขึ้นรถไฟฟ้านะครับ  ไม่ทราบว่าพวกเราได้สังเกตบ้างหรือเปล่าว่า  เสียงที่ประกาศเมื่อก่อนนี้มีรถไฟฟ้าใหม่ๆ นะครับ  จะมีผู้ที่ประกาศโดยมากเป็นคนขับนะครับ  คนขับจะประกาศ  แต่พอมีรถไฟใต้ดินมา  ถ้าใครที่เคยนั่งรถไฟใต้ดินจะได้ยินเสียงผู้หญิงคนนึงพูดอยู่  ประกาศอยู่  เป็นเสียงของ
สโรชา – ของแอ้มเองค่ะ

วิทวัส – ของคุณสโรชาเองนะ  ของคนคนนี้แหละครับที่พูดเป็นภาษาอังกฤษ
สโรชา – ค่ะ  ทั้งภาษาไทย ทั้งภาษาอังกฤษ ค่ะ 

วิทวัส – ทั้งภาษาไทย ทั้งภาษาอังกฤษ  แต่เหตุที่พูดภาษาอังกฤษอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเลือกใช่ไหมครับ  ว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ชัดหรือเปล่า 
สโรชา – อาจจะอย่างนั้นนะคะ
 
วิทวัส – เขาติดต่อมายังไงครับ 
สโรชา – ตอนนั้นจริงๆ แล้วแอ้มไม่ได้นึกภาพเลยนะครับว่ามันจะเป็นยังไง  แต่ว่ามีพี่ท่านนึงติดต่อมาบอกว่า  ช่วยมาลงเสียงรถไฟให้หน่อย  เราก็ยังไม่ทัน  คือตอนนั้นมันอยู่ในช่วงที่กำลังก่อสร้าง  กำลังจะเสร็จ  ซึ่งก็ยังไม่ได้เห็นภาพ  ยังนึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่ามันจะเป็นยังไง  คราวนี้นี่ก็ไปลงเสียง  วันนั้นนี่สังเกตถ้าเกิดหลายๆ ท่านอาจจะจำเสียงไม่ได้  เพราะวันนั้นแอ้มเป็นหวัด  และแอ้มก็โทร.เรียนพี่เขาบอกว่าพี่แอ้มเป็นหวัดนะ  ขอเลื่อนได้ไหม  เขาบอกไม่ได้แล้วน้อง  ต้องวันนี้แล้วน้อง  เดดไลน์แล้ว  ก็มาก่อนแล้วกัน  แอ้มก็นึกในใจว่าถ้าเกิดใช้ไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องกลับไปใหม่อะไรอย่างนี้ค่ะ  ปรากฏว่าก็ลงด้วยเสียงแหบเล็กๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ  ก็ลงไปผลปรากฏว่าพี่เขาบอกก็ใช้ได้ 

วิทวัส – เราฟังแล้วไม่ค่อยรู้นะครับ  เราลองไปฟังดูนะครับ  เสียงคุณสโรชาในรถไฟใต้ดินครับ  เชิญครับ
(เสียงในรถไฟใต้ดิน – สถานีสุขุมวิท โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ   Sukhumvit  Station , Please mind the gap between the platform.)
สโรชา – ประโยคนี้แหละค่ะคนจะถามเยอะมาก  ประโยคนี้จะถามว่าอะไร the gap คืออะไรอย่างนี้ค่ะ  ก็คือ please mind the gap ก็คือให้ระวังช่องระหว่างตัวรถกับตัวสถานีนะคะ อะไรประมาณนั้น

วิทวัส – ให้ระมัดระวังเวลาข้าม  ซึ่งพอลงเสียงมานี่คือแอ้มไม่เคยได้ยินเสียงที่ตัวเองลงไป  แล้วเขาเอาไปใช้งานจริงเลยหรือครับ 
สโรชา – ไม่เคยค่ะ  ก็คือปกติไม่ได้ใช้บริการ  เพราะไม่ได้อยู่ในเส้นที่จากบ้านไปที่ทำงานนะคะ  แต่ว่ามีอยู่ครั้งนึงที่ไปทำงานที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ และก็เผอิญว่าว่าง  และก็มีหลายคนพูดมากๆ ว่าแอ้มฟังเสียงตัวเองหรือยัง  ก็เลยลงที่สถานีและก็ไปแค่สถานีเดียวค่ะ  คือไปแล้วก็กลับ  ผลปรากฏว่าขากลับนี่แหละค่ะก็ยืนอยู่และก็ฟังเสียงตัวเอง  มันก็เออสถานีต่อไปศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อะไรอย่างนี้ค่ะ  เราก็ฟังแล้วก็คงจะอมยิ้ม  อดจะอมยิ้มไม่ได้อะไรอย่างนี้ว่าแบบเสียงเรา และก็มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งยืนอยู่ตรงข้ามก็หันมาและก็หัวเราะ  มาฟังเสียงตัวเองหรือครับ อะไรอย่างนี้  เราก็หันไปและอายค่ะ  ก็ค่ะๆ พูดแค่นี้ค่ะแล้วก็รีบลงจากรถไฟ  ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยขึ้นอีกเลย  ด้วยความที่ว่ามีคนจำได้และก็ทักอะไรอย่างนี้ค่ะ

วิทวัส – แต่ถ้าไม่บอกผมไม่ทราบ 
สโรชา – ไม่ทราบใช่ไหมคะ

วิทวัส – คิดไม่ถึง  อาจจะไม่ทราบ  แต่ถ้าบอกก็เออใช่ประมาณนี้นะครับ  เรากลับมาเรื่องของเรา  ข่าวลือที่เราทิ้งท้ายไว้เมื่อซักครู่นี้นะครับก่อนที่จะไปพักโฆษณา  บอกว่าคุณแอ้มเป็นอนุภรรยาของคุณสนธิ  ลิ้มทองกุล  มายังไงข่าวลืออันนี้ 
สโรชา – มายังไงไม่ทราบค่ะ  เพราะว่าคือครั้งแรกที่แอ้มได้ยินนี่คือจริงๆ แล้ว  คนที่มาเล่าให้แอ้มฟังคนแรกเลยก็คือแฟนแอ้ม  คือเขาไปนั่งอยู่ที่ประชุม  ซึ่งในที่ประชุมนั้นนี่ไม่ทราบว่าเขาคือแฟนของแอ้ม  และก็เขาก็พูดคุยกันอะไรประมาณนี้  และก็มีการแซวกันไปแซวกันมาว่า  จริงๆ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นกิ๊กกันนะ อะไรอย่างนี้  ซึ่งแฟนแอ้มฟังแล้วก็แบบเหรอ?  ก็ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร  ก็คือเราก็ไม่ได้แสดงตัวอะไรยังไง  ก็กลับมาเล่าให้แอ้มฟัง  แอ้มก็อดจะแบบคือเสียใจ  เสียใจมาก  และก็น้อยใจค่ะ  น้อยใจว่าแบบทำไมต้องคิดแบบนี้ด้วย  ไม่เข้าใจ  คือจริงๆ แล้วแอ้มเชื่อว่าแอ้มไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวในสังคมไทยที่เจอแบบนี้  หลายๆ ท่านที่อาจจะก้าวหน้าขึ้นมานิดนึง  มีนายเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าซักหน่อยนึง  ก็จะเจอข่าวลืออย่างนี้ค่อนข้างเยอะ  ซึ่งแอ้มก็ว่าไม่แฟร์  คือผู้หญิงคนนึงในสังคมนี้จะก้าวหน้าแค่ระดับนึงนี่  ต้องถึงกับเอาตัวเข้าแลกเชียวหรือ  นั่นคือแว้บแรกที่คิดว่าแบบไม่ยุติธรรมเลย 
 แต่ว่าพอพักหลังๆ นี่เริ่มทำใจได้  แต่พอเริ่มทำใจได้  ข่าวลือเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ  จริงๆ แล้วแอ้มว่ามันเป็นการตอบคำถามมากกว่าว่า ทำไมสโรชายังอยู่กับคุณสนธิ  ทำไมถึงไม่ถอยออกมาเสีย  ทำไมเหมือนมีโอกาสจะถอยแล้วไม่ถอยอะไรประมาณนั้น  ซึ่งถ้าเกิดตอบแบบมักง่ายที่สุด  ก็คงจะในลักษณะว่า เออ  ก็คงมีอะไรกันมั้งก็เลยถอยไม่ได้ หรืออะไรประมาณนี้  และพักหลังนี่ยิ่งแล้วใหญ่  บอกว่าคงหวังที่จะเป็นสะใภ้เครือผู้จัดการ อะไรประมาณนี้  ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย อะไรอย่างนี้  แล้วก็มีข่าวว่าแอ้มหมั้น  ก็มีอินเทอร์เน็ตก็จะไปเขียนต่ออีกว่าแอ้มหมั้นกับลูกชายคุณสนธิ  คุณสนธิมีลูกชายคนเดียวนะคะ  แล้วก็บอกว่าหวังหมายมั่นปั้นมืออยากจะเป็นสะใภ้ผู้จัดการ อะไรประมาณนี้  

เราอ่านแล้วเราก็แบบ คืออดจะรู้สึกน้อยใจไม่ได้  และสงสารคุณพ่อคุณแม่ด้วย  เพราะพักหลังข่าวหนาหูมากๆ  และก็จะมีแต่คนมาถามค่ะ  คือญาติพี่น้องก็จะเป็นห่วง  คือญาติๆ นี่ก็จะทราบว่ามีคนที่คบหาดูใจกัน  เพราะฉะนั้นนี่ก็ไม่เชื่อ  แต่ในขณะเดียวกันฟังแล้วก็อดจะรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้  ก็จะมีคนมาถามคุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างเยอะมาก  ว่าเขาพูดกันอย่างนี้นะ  รู้หรือเปล่าว่าเขาพูดกันอย่างนี้  และก็เหมือนกับเราก็ไม่ได้แก้ข่าวเสียที  เดิมทีที่แอ้มไม่ได้เปิดเผยเรื่องแฟนหรือคนรู้ใจนี่ก็เพราะว่า  แอ้มถือว่าคือก็เป็นเรื่องส่วนตัว  และก็อีกเรื่องนึงแอ้มเคยเมาท์คนไว้เยอะมาก  เวลาแอ้มดูทีวีสมัยก่อนนี่คือเราจะเป็นฝ่ายดูใช่ไหมคะ แทนที่จะเป็นฝ่ายที่ถูกดู  เราก็จะมองดาราในทีวีที่มาแถลงข่าว  อุ๊ย  หวานแหวว  กระจุ๊งกระจิ๊ง  รักกันมากปานจะกลืน  โทร.หากันวันละ 10 เวลาอะไรอย่างนี้  และเราก็มองว่ารักกันดี  ปรากฏว่าอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี่เลิกกันแล้ว  แล้วชี้หน้าแบบเอาของฉันคืนมา  เธอทำอย่างนั้นกับฉัน  เธอทำอย่างนี้กับฉัน 
 
 ตอนนั้นเราก็แอบคิดว่าก็ไม่เห็นน่าจะมาแถลงข่าวตั้งแต่แรก  จะมาคุยโอ่ทำไมว่าตัวเองรักกัน  คือของแบบนี้นี่แอ้มว่ามันอยู่ที่ดวงค่ะ  คือจะใช่หรือไม่ใช่นี่ในที่สุดแล้วมันไม่ใช่เพียงคนสองคนที่กำหนด  มันมีหลายปัจจัยมากๆ ที่เข้ามา  เพราะฉะนั้น แอ้มก็ไม่อยากที่จะมาอยู่ในลักษณะนั้น  ว่ามาโอ้อวดว่า  อุ๊ย! แอ้มมีแฟนแล้วนะ  รักกันมาก  เขาเป็นคนดีมากๆ  แล้วปรากฏสมมตินะคะว่ามีอันเป็นไปไมได้แต่ง  มันก็เลยก็ไม่อยากให้คนอื่นมามองเราเหมือนกรรมตามสนองนะ  ว่าตอนนั้นนี่เธอมาคุยว่าแฟนเธอดีมากๆ นะ  แฟนเธอยืนเคียงข้างเธอมากๆ  และก็สุดท้ายสุดเป็นยังไงล่ะประมาณนี้  ก็เลยไม่คิดจะเปิดเผย 

แต่พอมีข่าวว่าเป็นอนุภรรยาคุณสนธิ  และข่าวหนาหู  และคุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วก็ไม่สบายใจ  ญาติพี่น้องฟังแล้วก็ไม่สบายใจ  และก็มีคนรู้จักของแอ้มน่ะค่ะ  สนิทกัน  เข้าไปอยู่ในวงของสื่อมวลชนด้วยกัน  และก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้  และก็บอกว่านี่เขามีอะไรกันนะ  และก็พูดจริงจังมากๆ  เสมือนว่าไปเห็นมากับตาว่าเขามีอะไรกันจริงๆ  จนกระทั่งคนที่รู้จักแอ้มจริงๆ นี่ก็พูดขึ้นมาบอกว่าไม่ใช่  ฉันน่ะรู้จักแฟนเขา  เขากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว  ไม่ใช่ข่าวลือ  เธออย่าไปฟัง  ฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาว่าไม่จริง  ฉันรู้มาว่าใช่  และก็เหมือนรู้มามีรายละเอียดว่าไปไหนมาไหนด้วยกัน  ซึ่งถึงตอนนั้นแอ้มก็ตัดสินใจว่าคงจะต้องเปิดเผยแล้วมั้งคะ  ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่  และแอ้มก็มีคนที่คบหาดูใจกันมานานพอสมควร  และก็จริงๆ แล้วไม่มีมูลด้วยนะคะ  คือเราไม่เคยไปไหนกันสองคน
 
วิทวัส – กับคุณสนธิ
สโรชา – ค่ะ  เราไม่เคยมีพฤติกรรมที่จะส่อให้เห็นว่า  มีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น  เราอยู่กันคือแอ้มเคารพคุณสนธิเหมือนคุณพ่อ  คุณสนธินี่อายุน้อยกว่าคุณพ่อแอ้มปีเดียว  และก็เราก็อยู่กัน  และคุณสนธิก็สอนแอ้มนอกจากเรื่องงานแล้ว  ท่านยังสอนในเรื่องการใช้ชีวิตส่วนตัวด้วย  ท่านก็รู้จักแฟนแอ้ม  และท่านก็สอนบอกว่าผู้ชายคนนี้นะมันซวยว่ะ  คือแอ้มเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองพอสมควรน่ะค่ะ  เป็นคนขี้หึงเล็กน้อย  ขี้วีนอะไรอย่างนี้  ท่านก็แซวๆ ว่าแอ้ม  แต่งงานไปแล้วนี่หัดทำตาบอดซักข้างนึงนะ  เธออยากจะใช้ชีวิตที่มีความสุขนี่  เธอก็ต้องหัดคืออย่าเอาเต็มร้อย  ไม่อย่างนั้นจะอยู่อย่างไม่มีความสุข  ท่านก็จะสอนทุกเรื่อง  เพราะฉะนั้นนี่ข่าวนี้แอ้มว่าไม่มีมูลเลย

วิทวัส – คำถามเดียวนะครับ  นี่พรั่งพรูยาวเฟื้อยออกมาเลยนะครับ 
สโรชา – ติดนิสัยค่ะ

วิทวัส – เอาเป็นว่าหมั้นแล้ว  มีแฟนเรียบร้อยแล้ว  แล้วก็เหมือนว่าทำท่าจะแต่งงานไปแล้วด้วยซ้ำไป  เดิมทีนั้นเล็งว่าจะแต่งงานกัน
สโรชา – วันที่ 11 นี้ค่ะ  วันเสาร์ที่ผ่านมา 

วิทวัส – วันที่ 11 วันเสาร์ที่ผ่านมา  ที่เขาชุมนุมใหญ่กันนี่หรือครับ  กลางพระบรมรูปทรงม้า
สโรชา – วันนั้นแหละค่ะ  คือถ้าสมมติว่าไม่ได้เกิดเรื่องนะคะ  จริงๆ แล้วป่านนี้ก็คงไปฮันนีมูนอยู่ประมาณนั้น 

วิทวัส – ก็แล้วทำไมไม่แต่งกันบนเวทีเสียเลยล่ะครับ  ตรงหน้าลานพระรูปเลย 
สโรชา – จะดีหรือคะ  คงไม่ใช่  คือก็ตัดสินใจว่าอย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ

วิทวัส – แหวนวงนี้ (วงที่ใส่อยู่) นี่ใช่หรือเปล่าครับ 
สโรชา – แหวนหมั้นค่ะ

วิทวัส – สวยงามนะครับ  และก็แน่นอนว่าเลื่อน 
สโรชา – เลื่อนอย่างไม่มีกำหนด  คือหลายๆ ท่านเขาบอกว่า  แอ้ม  คำว่าเลื่อนอย่างไม่มีกำหนดนี่  มันฟังแล้วมันแย่ๆ นะอะไรอย่างนี้   เหมือนแบบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นอะไรอย่างนี้  แต่จริงๆ แล้วคือรอค่ะ  อยากจะรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน  แล้วก็แต่งงานอย่างสบายใจ  และก็ไปทำหน้าที่ดูแลเขาอย่างเต็มที่เลยนะคะ 

วิทวัส – และแฟนคนนี้เห็นบอกว่าไม่อยากที่จะเอ่ยชื่อ  เพราะว่าไม่อยากที่จะเปิดเผยตัว  เอาถามคร่าวๆ ก็แล้วกันนะครับ  เป็นคนยังไงครับ  เป็นคนโรแมนติกอะไรไหมครับ 
สโรชา – ไม่โรแมนติกเลยค่ะ 

วิทวัส – ชีวิตรักของคุณแอ้ม
สโรชา – ชีวิตรักของแอ้มก็จริงๆ แล้วเราอยู่กันแบบพี่แบบน้องแบบเพื่อนเยอะ  เพราะจริงๆ แล้วรู้จักกันมานานมากแล้ว  แต่เพิ่งมาคบหาดูใจกันในฐานะแฟนเมื่อประมาณซักปีกว่าๆ นี่ค่ะ  แล้วก็ด้วยความที่ว่าสนิทกันมาก  ก็เลยไม่มีเรื่องกระจุ๋งกระจิ๋ง   ไม่มีเรื่องที่แบบหวานแหววอะไรอย่างนี้  และตัวเขาเองก็เป็นคนที่ไม่หวานด้วย  เขาไม่มีนะประเภทแบบ  เอ่อ  จะเซอร์ไพรส์หรืออะไรประมาณนี้  จะไม่มีจะไม่ใช่นิสัย  คือวาเลนไทน์ปีแรกที่คบกันในฐานะแฟนนี่นะ  เราก็หวังมากๆ ว่าแบบคงจะหวานเนอะ  คงจะ Excite คงจะแบบเซอร์ไพรส์อะไรประมาณนี้  คือหวัง  คือแอบหวังว่าจะได้กอดไม้ช่องามอะไรประมาณนี้  ก็พอปรากฏว่าเจอกันจริงๆ   มาช่อประมาณ (ทำมือกว้างนิดหน่อย) และก็คือเป็นดอกไม้ที่แบบดอกเล็กมากๆ  แถมเริ่มดำนิดๆ ค่ะ  แถมดอกไม้นึกออกไหมคะที่ห่อฟอยล์  แบบนึกภาพออกเลยว่า He คงจะต้องประมาณว่าสายแล้วๆ  เดี๋ยวเจอกันแอ้ม  เดี๋ยวแอ้มว่าไปสายอะไรอย่างนี้  ก็คงต้องรีบบึ่งมาจากที่ทำงาน  และระหว่างทางนี่มันจะต้องมีซุ้มดอกไม้อยู่ข้างถนน  นึกออกใช่ไหมคะ  ประเภทว่าเขาขายกันฉับพลันตรงนั้นน่ะ 

วิทวัส – ไม่ใช่แล้ว  ไม่ใช้ซุ้มดอกไม้  ผมว่าศาลพระภูมิมากกว่า  คว้าจากศาลพระภูมิหรือเปล่า 
สโรชา – คว้าเอามาเลย  และแบบชั่วโมงนี้แล้วก็เลยไม่ได้เตรียม  ก็มาแบบนั้น  แอ้มก็แอบผิดหวังนะคะ  แอบผิดหวังอยู่ในใจว่า  แหม  ดอกไม้ปีแรกทั้งที  ทำไมไม่เตรียมเลยหรือ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  ตอนหลังนี่ถึงได้มาแซวเขา  บอกพี่นี่ช่างเป็นคนไม่โรแมนติกเสียเลยนะ  ดอกไม้แบบมาให้นี่ไม่เคยมีอะไรอย่างนี้  ตอนหลังก็เลยไม่ทราบว่าประชดหรือเปล่านะคะ  เดี๋ยวนี้ก็เลยมีดอกไม้มาที่ออฟฟิศทุกอาทิตย์  ก็จะมาตั้งพร้อมกับข้อความน่ารักๆอะไรประมาณนี้  ก็จะมาทุกอาทิตย์เลย  นี่มาเป็นระยะเวลาหลายเดือนแล้ว 6-7 เดือนแล้วมั้งคะ  จนกระทั้งแอบกระซิบกับเขาบอกว่า  พอแล้วเถอะ  เสียดายตังค์  เขาก็แบบไม่เป็นไรๆ  ก็ไหนๆคือบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าเขาไม่โรแมนติก  ก็เลยพิสูจน์ตัวเองเล็กน้อยอะไรอย่างนี้ค่ะ 

วิทวัส – แล้วนี่เราบันทึกเทปช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลวาเลนไทน์นะครับ  วาเลนไทน์ปีนี้ได้อะไรจากเขาหรือยังครับ 
สโรชา – ไม่มีค่ะ  แอบถามเหมือนกันนะคะว่านี่ปีนี้พี่จะพาแอ้มไปทานข้าวที่ไหนอะไรอย่างนี้  เขาก็แบบเหมือนกับตกใจเล็กน้อยว่า  เอ๊ะ  ใกล้วันวาเลนไทน์แล้วนี่  ยังไม่ได้คิด  แล้วเขาก็แบบว่าที่ไหนดีล่ะ  มันแก้เกมน่ะค่ะ  มาถามว่าที่ไหนดีล่ะอะไรอย่างนี้  เราก็นึกในใจต้องยังไม่เตรียมอะไรให้เราแน่ๆเลยอะไรอย่างนี้  เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ค่ะ  ก็ไม่เป็นไรค่ะ  ก็แอบปลอบใจตัวเองว่าของแบบนี้มันอยู่ที่ใจเนอะ 

วิทวัส – เขาไม่เคยส่งกุหลาบก้านยาวมาให้เลยหรือครับ 
สโรชา – ไม่มีค่ะ  ไม่มีเลย 

วิทวัส – คืออย่างนี้ครับ  คุณแอ้ม  เขาฝากผมมา  ดอกกุหลาบ 1 ช่อครับ (สโรชาทำหน้างง) จริงๆ นี่ไง  เชิญเลยครับ นี่เขาฝากมาเรียบร้อยครับ  ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์  บอกว่าช่วยฝากและก็มอบให้กับคุณแอ้มกลางเวทีทีได้เลยไหม  ผมบอกว่าทำไมจะไม่ได้  นี่ไงครับ  รับไว้เสียเลย 
สโรชา – ขอบคุณค่ะ  อะไรกันเนี่ย (ยิ้มเขินๆ)

วิทวัส – ท่านผู้ชมครับ  นี่แหละครับ  มีคนถามว่าคุณสโรชาเป็นใคร  เราได้แนะนำให้รู้จักกันไปแล้วครับ  นี่คือด้านของความเป็นคุณสโรชา  พรอุดมศักดิ์  ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น  เพียงแต่แนะนำให้รู้จักว่าเป็นคนโทรทัศน์  เป็นคนทำข่าว  และก็คิดว่าคงจะอยู่ในวงการข่าวและวงการโทรทัศน์ไปอีกนานนะครับ  คุณสโรชา  พรอุดมศักดิ์ครับ  สวัสดีครับ 
สโรชา – ขอบคุณค่ะ 






กำลังโหลดความคิดเห็น