คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1.ปิดฉากเรียลิตี้แก้จน"แม้ว"บ่นอ่อนล้า-กลุ่มครูเปิดเวทีข่มที่อ.พลาญชัย
ฮือฮากันยกใหญ่สำหรับปฏิบัติการเรียลิตี้แก้จนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลงทุนไปกินนอนกับชาว อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ตั้งแต่วันที่ 16-21 ม.ค. และมีการถ่ายทอดสดภารกิจทุกอิริยาบถของนายกฯ ผ่านยูบีซี ช่อง 16 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดูเป็นแบบอย่างเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาความยากจนแต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเลือกแก้จนที่ อ.อาจสามารถ ก็เพียงเพื่อแก้เคล็ดล้างซวยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เจอมรสุมอย่างหนักในปีที่ผ่านมา โดยนายกฯ และรัฐมนตรี ได้ไปปักหลักตั้งเต็นท์นอนค้างอ้างแรมเพื่อแก้จน อยู่ภายในอาณาบริเวณบ้านของ นางหนูจีน แถลงคำ บ้านโนนสมบูรณ์ ตำบลหน่อม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด หลังปฏิบัติภารกิจแก้จนได้ 2 วัน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตอบแทนให้เจ้าของบ้านด้วยรถแท็กซี่ 1 คัน เพราะสามีเจ้าของบ้านมีอาชีพขับแท็กซี่ โดยมอบกุญแจรถให้ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนวิธีแก้จนในครั้งนี้นายกฯ ได้ให้คำปรึกษาแก่ประชาชนอย่างใกล้ชิดเหมือนเป็นการเปิดคลินิคให้คำปรึกษาในการรักษาโรค คือ ถ้าใครไม่มีที่ดินทำกินก็ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งหาที่ดินให้ ใครไม่มีอาชีพก็ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องช่วยจัดหาอาชีพให้ ใครไม่มีบ้านก็หาบ้านให้ ใครมีหนี้ ก็ช่วยแก้หนี้ให้ หรือ เสนอจัดเงินกองทุนให้เพิ่มอีก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านโนนสมบูรณ์ บางส่วนปฏิเสธที่จะรับเงินกู้เพิ่ม โดยระบุว่า ภาระหนี้เก่าจากกองทุน 1 ล้านบาท และหนี้อื่นๆ ก็หนักมากแล้ว ขอแค่มีอาชีพกับที่ทำกิน และให้นายกรัฐมนตรีทำตามที่พูดก็พอ ในโอกาสนี้รัฐบาลได้นำคณะทูตทั้งหมด 40 คน 37 ประเทศ ไปยัง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อมาสังเกตการณ์การสาธิตแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบาลไทยด้วย หลังจากการปฏิบัติแก้จนเสร็จสิ้นลงตลอด 5 วัน นายกฯทักษิณ บอกว่า การลงพื้นที่ทำให้รู้อะไรเยอะ หลังจากนี้จะกลับไปสัมมนาร่วมกับรัฐมนตรีเพื่อให้เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆต่อไป แต่ไม่เอาอีกแล้วเพราะรู้สึกอ่อนล้ามาก พร้อมระบุ ไม่สนใจที่มีคนกระแนะกระแหนว่าเงินแจก เพราะมันเป็นความสุข นอนใช้จ่ายที่ Normande Gril (ห้องอาหารนอร์มังดี กริลล์ โรงแรมโอเรียนเต็ล ) คืนหนึ่ง มากกว่าเงินที่ซื้อเสื้อนักเรียนให้กับโรงเรียนนี้เสียอีก ในขณะเดียวกันที่ อ.บึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด ได้มีการจัดเวทีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรนัดพิเศษ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายอวยชัย วะทา ร่วมดำเนินรายการ โดยมีม็อบครูเสื้อเหลืองหลายหมื่นคน ถือฤกษ์วันครูประจำปี (16 ม.ค.) จัดชุมนุมใหญ่ คัดค้านไม่ย้าย ไม่ถ่าย ไม่โอน สถานศึกษาให้กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งนายอวยชัย กล่าวว่าสาเหตุที่เลือกจัดเวทีที่ อ.พลาญชัย เพราะพลาญชัย แปลว่า ลานแห่งชัยชนะ แถมยังมีเจ้าพ่อมเหศักดิ์ อยู่ข้างหลังบึงอีกต่างหาก ซึ่งจะเป็นการข่มขวัญ นายกฯ ที่ลงพื้นที่อ.อาจสามารถ เพื่อแก้เคล็ดทางไสยศาสตร์ โดยชื่อเดิมของ อ.อาจสามารถ คือ “องอาจสามารถ” แต่ตัดเหลือเพียง “อาจสามารถ” ออก ก็แปลได้เป็นว่า “อาจจะ” คือ 50 – 50 ฝ่ายม็อบครูจึงถือว่าเพียงแค่ทำเลก็ชนะขาด โดยสนธิ ได้ประกาศชัดว่าผ่านเวทีบึงพลาญชัยว่า จะจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ต่อไปจนกว่าจะไล่นายกฯ คนนี้ไปได้ และจะร่วมขบวนถวายฎีกาคืนพระราชอำนาจผ่านทางพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีต่อไป
“แม้ว”น้ำตาซึมเป็นนายกฯมา 5 ปียังจนอื้อ-โยน“จิ๋ว”แก้ใน 3 ปี
“แม้ว” หน้าแหก! ชาวโนนสมบูรณ์ปัดรับเงินกู้เพิ่ม – ขออาชีพเสริมแทน
ม็อบครูลั่น! ร่วมต้าน “ทักษิณ” รณรงค์คว่ำบาตร “ทรท.-ชินคอร์ป”
2.โยนบึ้มป่วนเมืองไทยฯเจ็บ 1 –สนธิ นัดรวมพลถวายคืนพระราชอำนาจ 4 ก.พ.นี้
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 15 สัปดาห์นี้ ดูจะวุ่นวายกว่าครั้งที่ผ่านๆมา เนื่องจากมีกลุ่มม็อบเจ้าเก่า คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่และลูกจ้างกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกว่า 1,000 คน ได้เดินทางมาก่อกวนรายการเมืองไทยฯ โดยมีการตะโกนก่อกวนระหว่างที่นายสนธิดำเนินรายการบนเวที ก่อนจะแยกย้ายไปในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ยังมีมือดีจุดระเบิดประทัดในบริเวณสวนลุมพินีที่มีผู้ชมรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จำนวน 4 จุด ทำให้มีเสียงดังสนั่นผู้คนแตกตื่นหนีตายกันจ้าละหวั่น ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน คือ นายสุทิพย์ ณรงค์ และเก่งกาจ ศรีหาสาร ก่อนนำตัวไปสอบสวนที่ สน.ลุมพินี จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณใต้ต้นไม้พบหลุมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 นิ้ว ลึก 2 นิ้ว คาดว่าเป็นระเบิดประทัดที่ทำขึ้นเองนำมาฝังดิน เมื่อสำรวจรอบๆ พบสะเก็ดระเบิดติดอยู่ตามโคนต้นไม้ และมีรอยขีดข่วนอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ และมีผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดเป็นแม่ค้าขายน้ำอยู่ข้างถนนภายใน สวนลุมฯ ได้รับบาดเจ็บบริเวณแข้งซ้าย มีเลือดไหล โดยมีแพทย์จากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของศูนย์นเรนทรเข้ามาทำการรักษา ส่วนประเด็นที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ นายสนธิ ได้ประกาศนำประชาชนชุมนุมอย่างสงบสันติในช่วงบ่ายโมงตรงวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อถวายฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจเพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองอย่างแท้จริง โดยผ่านทางพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายสนธิ ยืนยันว่า จุดยืนเดิมของเขาคือสื่อ ไม่เคยคิดจะนำพี่น้อง แต่วันนี้จำเป็นต้องทำ วันนี้ตายเป็นตายแล้ว และยันว่าเขาเป็นผู้นำไม่มีการแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น และ จะขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญขอชุมนุมอย่างสงบสันติ พร้อมกันนี้ ยังได้ เปิดโปงกรณีการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งใจจะขายหุ้นมานานหลายเดือนแล้วตั้งแต่เกิดภาวะขาลง เพราะกลัวถูกยึดทรัพย์ในภายหลัง ซึ่งที่ผ่านมามี ข่าวทำนองนี้มาตลอดทั้งการเจรจากับบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนมาถึงบริษัทของสิงคโปร์เพราะ นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นนายหน้าให้กับสิงคโปร์ ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ไม่ต้องเสียภาษี พร้อมทั้งตำหนิกรมสรรพากรที่ไม่ยอมดำเนินการเรียกเก็บภาษีจาก การขายหุ้นกว่า 7 หมื่นล้านบาทครั้งนี้ นอกจากนี้นายสนธิ ยังได้ตำหนิกรณีที่นายกฯ นำเรื่องการเสียชีวิตของนักบินมาพูดแบบตลกว่า นักบินมัวแต่มัวแต่ดูป้ายบรรหาร-แจ่มใสจนเพลิน แถม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พูดแซวอีกว่านักบินมัวแต่ “ดูหอ หลงหอ” โดยแนะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกมาขอโทษแล้วตบปากตัวเอง 3 ครั้งเพราะนายกฯเห็นการตายของคนอื่นเป็นเรื่องตลก นายสนธิ ยังกล่าววิจารณ์ถึงการการเชิญบรรดาเอกอัครราชทูต 32 ประเทศไปชมการสาธิตวิธีการแก้ปัญหาความยากจน ว่ารู้สึกอายแทนและว่าการจัดเรียลิตี้ครั้งนี้เป็นเพียงการแสดงจำอวดไม่ใช่การแก้ปัญหาความยากจน แต่ทำให้รู้ว่านายกฯเป็นคนอย่างไร สุดท้าย นายสนธิ ประกาศอีกว่าในวันศุกร์ที่ 27 ม.ค.และวันที่ ศุกร์ที่ 3 ก.พ.จะไม่มีการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แต่ จะพบกันในวันเสาร์ที่ 4 ก.พ.นี้เป็นต้นไป “ขอให้พี่น้องรอล้างแค้นในวันที่ 4 ก.พ.นี้ก็แล้วกัน" พร้อมตะโกน “ทักษิณ ออกไป”
ม็อบ"ยุทธ ตู้เย็น"ป่าเถื่อนจุดประทัดป่วนแฟนเมืองไทยฯ
เปิดคำให้การกลุ่มบุกป่วนเวทีเมืองไทยฯ - ไม่เคยรู้จักสนธิ!
คณะ กก.สิทธิฯส่งหนังสือด่วน! ขอนายกฯสั่งการยับยั้งม็อบป่วน
เมืองไทยรายสัปดาห์ 15 : “สนธิ” ลั่น 4 ก.พ.ขอนำพลังมหาชนเช็กบิล “แม้ว”
3.ตัดสินประหาร 2 ตังเกตายตกตามแหม่มอังกฤษ
คดี 2 ตังเกข่มขืนฆ่าแหม่มนักศึกษาสาวชาวอังกฤษ เป็๋นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก ล่าสุด 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตัดสินในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิชัย สมเขาใหญ่ และนายบัวลอย โพธิสิทธิ์ จำเลยในข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปิดบังทางอาญา หลังจากที่จำเลยทั้ง 2 ก่อเหตุฆ่าข่มขืน น.ส.ฮอร์ตัน แคธเธอรีน อลิซาเบธ บนเกาะสมุย ซึ่งต่อมาตำรวจตามจับจำเลยทั้ง 2 คนได้ โดยมีพยานหลักฐานที่เป็นคราบอสุจิมัดแน่นหนา หลังจากศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจึงได้ตัดสินพิพากษา 2 ผู้ต้องหาโดยข้อหาแรก ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา ได้ตัดสินจำคุกจำเลย 20 ปี ส่วนข้อหาที่ 2 ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปิดบังทางอาญา พิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง และเมื่อรวม 2 ข้อหา จึงตัดสินประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว ซึ่งในการรับฟังคำพิพากษา จำเลยทั้ง 2 ได้รับฟังคำพิพากษาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และกล่าวภายหลังว่ารู้สึกเสียใจ แต่ก็ยอมรับในคำตัดสินของศาล โดยก่อนหน้านี้สมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ก่อนที่ศาลจะพิพากษาคดีว่า ไม่เห็นด้วยหากใช้บทลงโทษประหารชีวิตดังที่นายกรัฐมนตรีไทยนำเสนอไปแล้ว โดยอ้างคำพูดของมารดาของนางสาวแคเธอรีน ที่ได้เสนอผ่านหนังสือ พิมพ์นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ของอังกฤษ ไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ต้องหาในคดีฆ่าข่มขืนควรเข้าไปใช้ชีวิตที่เหลือในคุก เพื่อเป็นการชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้กับลูกของเธอ ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษแถลง ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อคลี่คลายคดีนี้ อย่างไรก็ตาม โฆษกผู้นี้กล่าวต่อไปว่า "รัฐบาล(อังกฤษ) คัดค้านการลงโทษประหารชีวิตในทุกสภาวะการณ์ และได้แสดงท่าทีในเรื่องนี้อย่างแจ้งชัดแล้ว ด้านนางพีเยาะ อุหมา อายุ 50 ปี และนางแม๊ะ อุหมา อายุ 70 ปี มารดาและยายของนายวิชัย ซึ่งเดินทางมาร่วมฟังการตัดสินคดีครั้งนี้ ไม่เชื่อว่านายวิชัย กระทำความผิด และต้องการให้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ ด้านนายอัมรินทร์ นุ้ยใหม่ ทนายความของจำเลย กล่าวว่า ถึงแม้คู่ความไม่ยื่นอุทธรณ์ แต่กฎหมายกำหนดให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้มีหน้าที่ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาพิพากษาอีกครั้ง หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นถือว่าคดีสิ้นสุด
ประหารชีวิต 2 ตังเกหื่นข่มขืนฆ่าแหม่มอังกฤษ
ตังเกประวัติแสบ ก่อคดีข่มขืนแหม่มบนเกาะสมุยมาก่อน
4. "เพลิงไหม้-รันเวย์แตก"ทำสุวรรณภูมิป่วน
กำหนดเปิดสนามสุวรรณภูมิ ซึ่งวางไว้ประมาณกลางปีนี้ ส่อเค้าจะเลื่อนออกไปอีก หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในอาคารครัวการบิน ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้นั้น จากการสอบสวนของตำรวจทราบว่า ต้นเพลิงเกิดบริเวณภายในห้องทำความเย็น โดยช่างอ๊อกเหล็กกำลังอ๊อกเหล็กที่บริเวณท่อน้ำร้อน แต่สะเก็ดไฟกระเด็น ไปถูกโฟมพีอี ซึ่งเป็นฉนวนกันความเย็น และติดไฟง่าย จนทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว ขณะเกิดเหตุพบว่ามีคนงานติดอยู่ในลิฟท์ 1 คน และมีคนงานกระโดดหนีไฟออกจากตึกและได้รับบาดเจ็บ 3 คน ได้นำส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลลาดกระบังโดย ผู้บาดเจ็บได้แก่ ร้อยตรี วรนนท์ เติมทรัพย์ อายุ 25 ปี ขาหัก 1 ข้าง นายวสันต์ บังทา อายุ 28 ปี กระดูกสันหลังเคลื่อน นายวีรวัฒน์ มีดี อายุ 28 ปี แขนและขาหัก ส่วนนายเจษฎา จันแรม ซึ่งติดอยู่ในลิฟท์นั้น ซึ่งได้เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล นายสมชัย สวัสดิผล ผู้อำนวยการใหญ่สนามบินสุวรรณภูมิกล่าวว่า การก่อสร้างอาคารในสนามบินมีมาตรการรองรับเหตุเพลิงไหม้โดยมีสปริงเกอร์ติดบนเพดานฉีดน้ำทันทีที่เกิดกลุ่มควัน แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการเปิดใช้อาคารและตัวสนามบินอย่างเป็นทางการทำให้ส่วนสปริงเกอร์ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังใช้การไม่ได้ ส่วนความเสียหายยังบอกไม่ได้ต้องรอผลสรุปจากทางการบินไทยก่อน นายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคมและในฐานะประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวโดยมี พลอากาศเอก ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษ เป็นประธานกรรมการสอบสวนฯ โดยให้รายงานผลภายใน 7 วัน ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือปัญหาแตกร่อนด้านใต้ของผิวรันเวย์ตะวันตกของสนามบินสุวรรณภูมิ พลเอกชัยนันท์ เจริญศิริ รมช.คมนาคม บอกว่า ได้สั่งการผ่านนายบัญชา ปัตตนาภรณ์ รักษาการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องแล้วเนื่องจากมีการอ้างว่าจุดดังกล่าวไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นจุดขึ้นทำให้พื้นผิวรันเวย์ส่วนดังกล่าวประมาณ 800 เมตร ไม่มีการผสมสารโพลิเมอร์ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความยืดหยุ่นและแข็งแรงของพื้นผิวรันเวย์ส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเพิ่มเนื้องานก็ต้องทำเพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญรวมทั้งต้องตรวจสอบว่าใครเป็นผู้อนุมัติให้ดำเนินการในครั้งนี้ด้วย อย่าไรก็ตาม นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มั่นใจว่า เหตุดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนนี้
“ทักษิณ” ชี้เหตุไฟไหม้เรื่องปกติ ยันรันเวย์ร้าวเป็นเทคนิค
“หมอมิ้ง” มั่นใจไฟไหม้ครัวบินไทยไม่กระทบการเปิดใช้สุวรรณภูมิ
สังเวย 1 ศพ เจ็บอีก 3 -สั่ง 7 วันรายงานผลสอบเพลิงไหม้สุวรรณภูมิ
5.ดีลขายชินคอร์ปลงตัวแล้ว
ข่าวเทมาเส็ก โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบรรษัทการลงทุนของประเทศสิงคโปร์ จะเข้าถือหุ้นใหญ่ บมจ.ชินคอร์ป หรือ SHIN ของตระกูลชินวัตรเป็นประเด็นข่าวที่แว่วๆมาหลายสัปดาห์ล่าสุด เมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมา รอยเตอร์ รายงานว่า เทมาเส็กฯ ได้เข้าถือหุ้นใหญ่ บมจ.ชินคอร์ป ในสัดส่วน 49% คิดเป็นมูลค่า 1.7-1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาขายจะต่ำกว่าหุ้นละ 50 บาท ส่วนสาเหตุที่ล่าช้าในการประกาศผลการขายหุ้นครั้งนี้สืบเนื่องจากทางเทมาเส็กฯ หาทางที่จะเลี่ยงการทำคำเสนอซื้อหุ้นเป็นการทั่วไปจากนักลงทุนรายย่อย (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) รอยเตอร์ยังอ้างด้วยว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อาจเข้าร่วมซื้อหุ้นครั้งนี้กับเทมาเส็กฯ ด้วยเพื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นชินฯ ส่วนหนึ่ง เพราะการขายหุ้นครั้งนี้ต้องมีคนไทยเข้าร่วมเพื่อกันครหาที่ว่าครอบครัวชินวัตรกำลังขายบริษัทคนไทยให้กับต่างชาติ ด้านแหล่งข่าวจากตลาดหุ้นไทย ระบุว่า หากราคาขายหุ้นชินฯ จบลงที่ต่ำกว่า 50 บาท แสดงว่าไม่เป็นไปตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ความพยายามจะยื้อก็เพื่อหวังจะขายที่สูงสุดที่ 60 บาท และต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน เมื่อ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดจากมีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ เพื่อนำมาซื้อหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SHIN) ไม่ได้เป็นผลมาจากนโยบายผู้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. แต่อย่างใด เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเรื่องที่ตลาดรับรู้ และคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทำให้ตลาดเงินมีการปรับตัวไปก่อนแล้ว ขณะที่ นายทนง พิทยะ รมว.คลัง ระบุว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากเงินทุนไหลเข้าแต่อย่างใดเพราะอัตราการไหลเข้าของเงินทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
ทักษิณขายหุ้นชินฯ ให้ “เทมาเส็ก” มูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญ
ดีลชินคอร์ปขายต่ำกว่า 50 บาท
6.ศาลเบรกดีเอสไอออกหมายจับ 4 บิ๊ก กทม.
กรณีข่าวผู้บริหาร กทม.จับมือเอกชน ทุจริตประมูลงาน 16 โครงการ ของกทม.มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นอีกประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ชี้แจงกรณีข่าวออกหมายเรียกผู้ต้องหาทุจริตในคดีดังกล่าว หลังจากขออนุมัติจากศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาในเบื้องต้น 4 คน แต่เนื่องจากศาลเห็นว่าผู้ต้องหามีตำแหน่งหน้าที่และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาก่อน หากไม่มาศาลจะอนุมัติหมายจับให้ภายหลัง โดย พล.ต.อ.สมบัติ แจงเหตุ รีบออกหมายจับทั้งที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ต้องหาก่อนได้ว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นการร่วมกันทุจริต รัฐฯ ต้องเสียหายมูลค่าหลายพันล้านบาท พร้อมทั้งปฏิเสธว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติ พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ทำเพราะเป็นนโยบายของนายกฯ แต่เพราะเป็นหน้าที่ ด้านนายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(รักษาการแทนผู้ว่าฯ) บอกว่า เรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตง. เช่นกัน ที่ผ่านมา ได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าฯ กทม.และสำเนาถึงปลัดกทม.และผอ.สำนักการโยธาอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.48 ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำชี้แจงที่ชัดเจน ขณะที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. บอกว่า ได้สั่งยกเลิกทั้ง 9 โครงการ และจะชะลอโครงการร่วมกับอีก 6 โครงการที่เหลือที่ยังไม่ได้มีการประมูล ขณะเดียวกันก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบและลงโทษตามวินัย โดยได้มอบให้นายประพนธ์ วงศ์วิเชียร หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กทม. เป็นประธาน และกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นอกจากนี้ จะได้นำข้อมูลทั้งหมดที่สอบสวนได้มอบให้พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตรวจสอบหาผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ด้านพล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่าที่ตัดสินใจรับตำแหน่ง เพราะเชื่อมั่นในการทำงานของผู้ว่าฯ กทม.ที่มีความตั้งใจปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามาร่วมทีมงานตรวจสอบอีก 2 คนคือนายกมล ทรงเจริญ และนายเดชา ยิ้มอำนวย อดีตสก.เขตสายไหม ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประทิน ได้กล่าวตำหนิการทำงานของ ดีเอสไอด้วยว่า เมื่อมีข้อมูลการกระทำผิดก็ควรจะส่งหรือแจ้งมายังผู้ว่าฯ กทม.ให้รับทราบและดำเนินการตามขั้นตอนของกทม. แต่กลับไปแจ้งข้อมูลให้กับ ป.ป.ช.ทราบก่อน ซึ่งเป็นการข้ามขั้นตอนจึงก่อให้เกิดข้อสงสัยในการทำงานของดีเอสไอต่อประชาชน สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่ดีเอสไอระบุ คือ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม. นายภัทรวุฒม์ ทรรทานนท์ รองผอ.สำนักการโยธา นายอุทัย ขรรแก้ว เจ้าหน้าที่วิศวกร ระดับ 8 สำนักการโยธา และนายประสงค์ สุวิวัฒนชัย ผู้บริหารบร.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น จำกัด
DSI ออกหมายเรียก 4 บิ๊ก กทม.แทนปัดใบสั่งการเมือง
อัยการเตรียมแถลงคดีฮั้วประมูล กทม.
7.รวบตัวแล้วแท็กซี่หื่นลิ้นด้วน
หลังการไล่ล่านายสมพร อยู่พูล อายุ 40 ปี โชเฟอร์แท็กซี่หื่นลวนลาม น.ส.พัชรี จิรังดา อายุ 32 ปี นักร้องสาวของสวนอาหารแห่งหนึ่งจนถูกกัดลิ้นขาดมากว่า 2 อาทิตย์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ชุดสืบสวน บก.น.9 ร่วมกับตำรวจนครสววรค์ สามารถจับกุบผู้ต้องหารายนี้ได้แล้ว ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมม่านรูดใจกลางเมืองจังหวัดนครสวรรค์ แต่ผู้ต้องหารายนี้ปฏิเสธว่าไมได้ข่มขืนผู้เสียหายสมยอมเอง โดยตกลงค่าตัวกันแล้ว 1,500 บาท แต่มีอยู่แค่ 400 สาวเจ้าเลยให้จูบมัดจำไว้ก่อน แต่อยู่ดีๆ ดันกัดลิ้นขาดเฉย พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมาหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่หลายที่ ทั้ง จ.นครสวรรค์ พิจิตร เชียงใหม่ ระหว่างนั้นก็พยายามรักษาตัว ใช้ทั้งยาสมุนไพร และยาแผนปัจจุบัน แต่ลิ้นก็บวมมาก ปวดทรมานอยู่หลายวัน จนคิดจะผูกคอตายหนีความเจ็บปวด แต่ไม่สำเร็จเพราะกิ่งไม้หักเสียก่อน ด้านภรรยาโชเฟอร์แท็กซี่ ออกมายันว่าสามีของเธอไม่ได้ข่มขืน เรื่องของเรื่องเขาเมาทั้งคู่ แต่ตกลงเรื่องเงินกันไม่ได้มากกว่า ส่วนนักร้องสาวยังยืนกรานว่า ถูกโชเฟอร์หื่นใช้กำลังขืนใจจนต้องกัดลิ้นเพื่อเอาตัวรอด ด้าน พล.ต.ต.วรศักดิ์ ผบก.น.9 เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหากระทำอนาจารหญิงอายุเกิน 15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย อัตราโทษจำคุก 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต่อนายสมพร ซึ่งทางผู้ต้องหาได้ขอประกันตัว ทางพนักงานสอบสวนได้ตั้งวงเงินไว้ 100,000 บาท โดยนางอำพรรัตน นางามเขียว ภรรยานายสมพร ได้นำเงินสดจำนวน 1.2 แสนบาท และกรมธรรม์มาประกันตัวสามี โดยให้เหตุผลว่า ต้องการที่จะไปพบหมอรักษาลิ้นที่ขาด ที่ รพ.บางมด โดยพนักงานสอบสวนพิจาราณาแล้วอนุญาตให้การประกันตัวออกไปได้
จับแล้วแท็กซี่หื่นกามถูกนักร้องกัดลิ้นขาด!
ระดมล่าตัวโชเฟอร์หื่นลิ้นขาด พบเคยเปลี่ยนชื่อ-หลอกนักร้องมาเพียบ
