คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1. ในหลวง พระราชทานพร-ส.ค.ส. ปี 2549 แก่พสกนิกรชาวไทย
31 ธ.ค.ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานพรปีใหม่แก่ปวงชนชาวไทย ใจความว่า "บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ทุก ๆ คนให้มีความสุข ความเจริญ และความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความปรารถนาของแต่ละคนคงไม่แตกต่างกันนัก คือ ปรารถนาสุขกายสบายใจความสมบูรณ์ด้วยพลานามัย ด้วยทรัพย์ ด้วยเกียรติยศ พร้อมทั้งความสงบร่มเย็น พูดถึงความสงบร่มเย็น อาจแยกได้เป็นสองส่วน คือความสงบภายนอก กับความสงบภายใน ภายนอก ได้แก่ ความเป็นอยู่และสภาวะแวดล้อมที่เป็นปรกติ ไม่มีภัยอันตราย หรือความยุ่งยากเดือดร้อน เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือการขัดแย้งมุ่งร้ายทำลายกัน ภายใน ได้แก่ จิตใจที่สะอาดแจ่มใส ไม่มีกังวล ไม่มีความขุ่นเคืองขัดข้อง จิตใจที่สะอาดและสงบนี้สำคัญมาก เพราะทำให้บุคคลมีสติรู้ตัว มีวิจารณญาณเที่ยงตรงถูกต้องสามารถคิดอ่านสร้างสรรค์ สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุข ความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนชื่อเสียงเกียรติคุณ อันเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการ ให้สัมฤทธิผลได้ ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายพยายามทำความคิดจิตใจให้สงบแจ่มใส ทำความเข้าใจอันดีในกันและกันให้เกิดขึ้น ผู้ที่ทำประโยชน์เกื้อกูลกัน ก็ควรแสดงไมตรีตอบขอบใจกัน ด้วยความรักความหวังดี ทุกคนทุกฝ่ายจะได้สามารถร่วมมือร่วมความคิดกัน ปฏิบัติงานของตน ของชาติ ให้ดำเนินก้าวหน้าไปโดยราบรื่นและมั่นคงบรรลุถึงจุดประสงค์ตามที่มุ่งหมาย ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขสมบูรณ์ และความสำเร็จสมหวัง ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน”
ส่วนส.ค.ส.ปีพุทธศักราช 2549 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรนั้น เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในฉลองพระองค์สีเขียว มีภาพปักรูปคุณทองแดงที่กระเป๋าด้านซ้าย ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ด้านล่างนี้มีข้อความเป็นตัวหนังสือสีน้ำตาลขอบเหลือง ว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ Happy New Year และมีตัวเลขสีแดง 2005 12 07 16:44 มุมบนด้านซ้าย เป็นตัวหนังสือสีเหลืองสลับส้ม ข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ.2549 สวัสดีปีใหม่ มุมบนด้านขวา มีตราสัญลักษณ์ 2 ตราเรียงกันลงมา และที่ใต้เส้นที่ส้ม สลับเหลือง ด้านซ้าย มีตัวหนังสือสีแดง ข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 27 21 49 ธ.ค.48 ด้านขวามีข้อความ พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad, D.Brahmaputra, Publisher ส่วนกรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็ก ๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว รวม 696 หน้า ทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม
"ในหลวง" พระราชทานพรปีใหม่2549 แก่พสกนิกรชาวไทย
2. ดับ 37เจ็บกว่า 400 รับเทศกาลปีใหม่วันแรก
บรรยากาศการเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่ เมื่อวันที่30 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่สถานีขนส่งหมอชิต สายใต้ สายตะวันออก และท่าอากาศยานกรุงเทพ ตลอดทั้งวันมีประชาชนจำนวนมากรอเดินทางกลับต่างจังหวัด เป็นไปอย่างคึกคัก พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน แถลงสถิติผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2549 ว่า วันที่ 29 ธ.ค.2548 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 408 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 37 คน น้อยกว่าที่ประมาณการไว้ 9 คน ลดลงร้อยละ 19.57 บาดเจ็บ 495 คน น้อยกว่าประมาณการ 452 คน ลดลงร้อยละ 47.73 และเมื่อเทียบกับสถิติทั้งผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในช่วงวันเดียวกัน คือ วันที่ 29 ธ.ค.พบว่าลดลงมากกว่าร้อยละ 15 โดยเฉพาะสถิติผู้บาดเจ็บในวันที่ 29 ธ.ค.2548 น้อยกว่าวันเดียวกันปี 2547 ร้อยละ 41 สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ คือ การขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 34.38 รองลงมา คือ เมาสุรา ร้อยละ 18.75 และขับรถตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด ร้อยละ 15.63 โดยรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ร้อยละ 81.34 รองลงมา คือ รถปิกอัพ ร้อยละ 7.60 ส่วนรถโดยสาร มีเพียงร้อยละ 0.69 ถือว่าการรณรงค์ในกลุ่มรถโดยสารได้ผลดีมาก ทั้งนี้ อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดในช่วงทางตรงของถนนสายหลัก และเกิดที่ทางหลวงแผ่นดินมากสุด คือ ร้อยละ 43.14 ถนนในท้องถิ่น ร้อยละ 50.99 ช่วงเวลาเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เวลา 20.01-24.00 น. สำหรับจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ จ.จันทบุรี เสียชีวิต 4 คน รองลงมา คือ นครสวรรค์ หนองคาย จังหวัดละ 3 คน ชลบุรี นครราชสีมา พะเยา ระยอง สุรินทร์ จังหวัดละ 2 คน กรุงเทพฯ ขอนแก่น ชัยภูมิ ชุมพร นครพนม นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ร้อยเอ็ด ราชบุรี สกลนคร สมุทรปราการ สระบุรี อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี และนครนายก จังหวัดละ 1 คน ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในวันที่ 29 ธ.ค.2548 มี 51 จังหวัด ทั้งนี้ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ทุกหน่วยงานและอาสาสมัครได้ร่วมกันตั้งจุดตรวจทั้งหมด 2,901 จุด มีผู้ปฏิบัติการทั้งหมด 76,173 คน เฉลี่ยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่ 26 คนต่อจุดตรวจ และเฉลี่ย 3 จุดตรวจต่ออำเภอ ทั้งนี้ จากการเรียกตรวจตามมาตรการ 3 ม.-2 ข.-1 ร.ที่ผ่านมา มีการเรียกตรวจ 673,276 คัน พบการกระทำผิดและดำเนินคดี 31,337 ราย เนื่องจากไม่สวมหมวกนิรภัย สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ไม่พกพาใบขับขี่ และขับขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย
"ชิดชัย"มั่นใจช่วงปีใหม่อุบัติเหตุทางถนนน้อยลง
วันเดียว 29 ธ.ค.ตายแล้ว 37 ศพ บาดเจ็บ 495 คน
3.สื่อให้ฉายาแม้ว"พ่อมดมนต์เสื่อม"-รัฐบาล"ประชาระทม"
เป็นประจำทุกปีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จะตั้งฉายานักการเมือง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของแต่ละคนในรอบปีที่ผ่านมา โดยปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ให้ฉายาสภาผู้แทนราษฎรว่า "ปลอกคอพันธุ์ชิน" เนื่องจากพรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมากถึง 377 เสียง ทำให้การทำหน้าที่ในสภาเสมือนถูกชักจูงจากเจ้าของพรรค ปราศจากจุดยืน และความเห็นของตัวเอง ผิดวิสัยของการเป็นผู้แทน ส่วนวุฒิสภา เป็น"สภาทาส" เนื่องจาก การลงมติของวุฒิสภาเป็นไปตามโผและโพย อุปมาเหมือนทาส ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายเงิน นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เป็นเจ้าของวาทะแห่งปี"มันเอาอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปล็อคเอาไว้เหมือนทาส นายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภา ได้ รับฉายา"นิติกู" เนื่องจากมักใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้รู้ทางกฎหมาย ตีความปกป้องคนในรัฐบาล โดยยึดความเห็นส่วนตัวเป็นหลัก นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา "สุ(ด)ทน" เนื่องจากกรณีปัญหาการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่นายสุชน นำชื่อนายวิสุทธิ์ มนตริวัต ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ แต่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ กระทั่งนายวิสุทธิ์เองยังขอถอนรายชื่อ แต่นายสุชน กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทำให้ได้รับแรงเสียดทานอย่างหนัก ถึงขั้นเคยมีวุฒิสภาไล่ให้ลาออกกลางห้องประชุมบ่อยครั้ง แต่นายสุชน ก็ทนสุดๆจนฝ่ากระแสต่างๆมาได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ได้รับฉายา "ขุนศึกไร้ดาบ" เนื่องจากพรรษาทางการเมืองและภาวะผู้นำยังน้อย จึงเป็นได้แค่ขุนศึก และการที่มีเพียง 123 เสียงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม ถือเป็นอุปสรรคในการตรวจสอบและถอดถอนรัฐมนตรี ทำให้ตกอยู่ในสภาวะ "ไร้ดาบ" เมื่อเรียกรวมๆ คือ ขุนศึกไร้ดาบ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย คว้าดาวเด่นประจำสภา เนื่องจากมีความโดดเด่นในการทำตัวที่เป็นข่าว หรือมีพฤติกรรมสร้างความสนใจให้กับสังคม นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก ที่ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ขัดแย้งกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กระทั่ง 3 ส.ส.ถูกมองว่าป้องนายหวังบำเหน็จและกลายเป็นดาวดับประจำสภา พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ส.ว.อุดรธานี ได้ตำแหน่งคนดีศรีสภา เนื่องจากยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แม้จะมีอายุถึง 89 ปี แล้ว เช่นการมาประชุมวุฒิสภาอย่างต่อเนื่อง กล้าแสดงความเห็นที่เป็นตัวของตัวเอง รัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลว่า "ประชาระทม" เนื่องจากรัฐบาลโหมใช้นโยบายประชานิยมโฆษณาชวนเชื่อ จนประชาชนมอบความไว้วางใจด้วยคะแนนท่วมท้นให้เป็นรัฐบาลอีกสมัย โดยหวังว่าจะเข้ามาพลิกฟื้นคุณภาพชีวิตให้อยู่ดีกินดี แต่หลังจากบริหารประเทศยังไม่ทันครบปี ปรากฏว่า นโยบายประชานิยมกลับพ่นพิษ ทำให้ประชาชนต่างทุกข์ระทม ภาวะหนี้สินทุกครัวเรือนพุ่งขึ้นไม่หยุด เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง เกิดความรุนแรงในสังคม ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็น "พ่อมดมนต์เสื่อม" เนื่องจากถูกจับได้ไล่ทันว่าไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ คำพูดของท่านผู้นำที่เคยศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้กลับเสื่อมถอยลง
สื่อให้ฉายาแสบรัฐบาล “ประชาระทม” - “ทักษิณ - พ่อมดมนต์เสื่อม”
ตั้งฉายาสภาส.ส.-ส.ว."ปลอกคอพันธุ์ชิน-สภาทาส"
สื่อตั้งฉายารัฐบาล"ประชาระทม"
4. ส.ส.ปชป.แนะแม้วรักษาอาการโรคจิต หลังอัดสนธิส่งท้ายปีเก่า
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตี ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากกรณีการพูดด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ในระหว่างการพูดในงาน"นายกฯพบแท๊กซี่" ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เป็นการส่งท้ายปีเก่าหลังโดนอัดน่วมมาทั้งปี พร้อมระบุ จะไม่ยอมถอยถ้าถอยอย่างนั้นเอาเชือกผูกคอตายดีกว่า ด้านนายสมัคร สุนทรเวช ออกมาหนุนนายกฯ ในรายการ "เช้าวันนี้...ที่เมืองไทย" ทาง สถานีโทรทัศน์ ททบ.ช่อง 5 ระบุ การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาด่ากลับ นายสนธิ เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะยอมให้ถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร ในขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า นายกฯพูดเหมือนคนคุมสติตัวเองไม่ได้ หรือที่เรียกว่าสติแตก และการพบคนขับรถแท๊กซี่เหมือนเป็นการเอาเวลาไปพบประชาชนแล้วไประบายอารมย์ทางการเมืองมากกว่าจะนำนโยบายเรื่องการจัดระเบียบแท๊กซี่เพื่อแก้ปัญหาไปพูด นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่น้อยหน้า โดยบอกว่า ขณะนี้ชาวบ้านเริ่มทำใจได้กับพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ทำตัวเป็นนายกฯของประเทศไทย แต่ไปเน้นเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมากกว่า มุ่งแต่หาเสียงเฉพาะหน้า และมัวแต่ไปผูกใจเจ็บกับคะแนนเสียงที่ได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯเลย พร้อมกับเหน็บว่า คนในรัฐบาลเองเคยพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อหมาจะตายเห็บหมัดต่างก็จะกระโดดออก แต่วันนี้ไทยรักไทยกำลังเจอภาวะอย่างเดียวกันแล้ว แถมรัฐบาลกำลังจะอยู่ในภาวะถังแตกด้วย ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อัดซ้ำ ให้พาผู้นำไปหา หมอจิตเวชได้แล้ว เพราะขณะนี้คนใกล้ตัวก็รู้ว่าป่วยเป็นโรคจิต แต่ผู้นำยังมีอำนาจอยู่ จึงไม่มีใครกล้าบอก
“ทักษิณ” มุกเดิมหยุดจ้อ - “ภูมิธรรม” ป้องยันด่าคนจ้องล้มทำถูกแล้ว
นักจิตวิทยาเตือน“ทักษิณ”ป่วยทางจิตขนาดหนัก-ต้องบำบัดด่วน
นายกฯเอาคืนส่งท้ายปีเก่า-ย้ำไม่ถอย โวยโดนรุมอัดน่วมทั้งปี
5.ปิดฉากบ้านสีดำ“รัตนา”ยอมรับเงิน 12.5 ล้าน
หลังจากนางรัตนา สัจจเทพ ต่อสู้มานานกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อบ้านและการถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่ กทม. จนต้องทาบ้านเป็นสีดำเพื่อเป็นการประท้วง ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)พร้อมนายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนางรัตนา สัจจเทพ เจ้าของบ้านสีดำได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการเยียวยาหาทางออกในเรื่องนี้ ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ตัวแทนสมาคมและผู้ประกอบการอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์จะมอบเงินจำนวน 6.5 ล้านบาทให้แก่นางรัตนา และรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลอีกจำนวน 6 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 12.5 ล้านบาท ด้านนางรัตนา บอกว่า พอใจกับการเยียวยาในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดิน ราคาประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านนั้นจะนำไปใช้ปลูกบ้าน ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะเข้าไปหารือร่วมกับผู้ว่าฯกทม.นั้นตนได้ขอให้ผู้ว่าฯกทม.ลงนามในสัญญาว่าจะไม่เอาผิดกับกรณีเต้นท์ที่พักและบ้านสีส้มหน้าลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม.ด้วย ส่วนบ้านสีส้ม จะยกไปถวายวัดที่อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พระที่มานั่งวิปัสสนากรรมฐาน และได้ย้ายข้าวของออกจากเต็นท์ที่พักแล้ว ส่วนตัวเองจะไปอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมของคนรู้จักเป็นการชั่วคราวก่อน ต่อจากนั้นจะสามารถย้ายไปอยู่ยัง อพาร์ทเมนท์จำนวน 2 ห้องย่านลาดพร้าวที่ได้หาไว้เพื่อรอบ้านเสร็จโดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี พร้อมระบุว่า เงินที่ได้รับมาเป็นเงินที่เหมาะสมถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเธอได้ยึดหลักความพอเพียง และจากนี้ไปไม่คิดจะฟ้องร้องใครอีกแล้ว
“รัตนา”ยอมรับเงิน13ล. ลั่นขอพอเพียง-เลิกฟ้อง
"รัตนา" รับเช็ค 6 ล้านจากรัฐบาลแล้ว ลั่นทุกอย่างถือว่าจบ
6. จำคุก 8 ปี “จอยซ์ ทีเค” ฐานค้ายาบ้า
29 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีค้ายาเสพติด ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องหลังจาก น.ส.พรพรรณ รัตนเมธานนท์ หรือ จอยซ์ ไทร์อัมคิงส์ดอม อายุ 24 ปี อดีตนักร้องสาวคู่ดูโอชื่อดังสังกัดค่าย เบเกอรี่มิวสิค นายจิตพัฒน์ หรือโต้ง สังฆสุวรรณ แฟนหนุ่มอายุ 25 ปี และนายนิมิตร เป็งศิริ อายุ 27 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งได้กระทำความผิดเมื่อ 23 พ.ย. 2547 ที่ผ่านมา หลังจากศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-2 กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จริง จึงสั่งลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 12 ปี ปรับ 5.1 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1.2 ล้านบาท คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี แต่ให้นับโทษต่อจากคดีแดงที่ 3624/2547 ที่ศาลแขวงพระโขนงจำคุก 1 เดือน คดีขับรถขณะเมาสุรา รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี 1 เดือน ปรับ 3.4 แสน ส่วนจำเลยที่ 2 เหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน ปรับ 8 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ด้านจอยซ์ ทีเค มีสีหน้ายิ้มแย้มแสดงความพอใจกับผลคำพิพากษาอย่างเห็นได้ชัด และพูดจาทักทายกับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่มาร่วมให้กำลังใจ แต่ไม่มีใครยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด
จำคุก “จอยซ์ ทีเค” 8 ปี - แฟนหนุ่ม 33 ปี คดีค้ายาบ้า
พยานซัด ตร.ข่มขู่จำใจชี้ "จอยซ์" เอเยนต์ค้ายา ศาลนัดชี้ 29 ธ.ค.
7.จำคุก "เกริกเกียรติ" 20 ปี - ปรับ 1.8 หมื่นล้าน ฐานฉ้อโกงบีบีซี
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ที่พนักงานอัยการกองคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 และบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี.กับพวกอีก 3 คนซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารแบงก์บีบีซี คือ นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล และ ม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน หรือ ดิศกุล ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์มูลค่า 2,500 ล้านบาท หลังจากศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดรวม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 50 ปี แต่คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และปรับเป็นเงินประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากศาลอาญากรุงเทพใต้ที่พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอกทรัพย์ด้วย ส่วนจำเลยที่ 2-4 ให้จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 666,666 บาท ทั้งนี้ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมคืนเงินให้กับโจทก์ร่วมจำนวน 6 พันล้านบาทเศษ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สิน ต่อมาหม่อมราชวงศ์หญิงอภิรดี จันทรวิโรจน์ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินแขวงกระทุ่มลาย เขตหนอกจอกเนื้อที่ 15 ไร่เศษ ราคาประเมิน 37,176,000 บาท ขอประกันตัวจำเลยทั้งสี่ ระหว่างยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี หลังศาลพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่ได้ประกันตัวไป โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2548 ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง ได้มีคำพิพากษาคดียักยอกทรัพย์บีบีซีรวม 3 คดี ซึ่งศาลเห็นว่านายเกริกเกียรติกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาให้จำคุกนายเกริกเกียรติคดีละ 10 ปี รวมจำคุก 30 ปี และปรับ 3,200 ล้านบาทเศษ โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ ฝ่ายจำเลยได้ร้องขอให้มีการรวมโทษจำคุกทั้งสองกรณี แต่ศาลไม่อนุญาต เพราะเป็นความผิดคนละกรณีกัน โดยคดีที่นายเกริกเกียรติถูกฟ้องดำเนินคดีมีทั้งสิ้น 24 คดี ศาลตัดสินความไปแล้ว 5-6 คดี
คุก 20 ปี - ปรับ 1.8 หมื่นล้าน "เกริกเกียรติ"ฉ้อโกงบีบีซี
ศาลพิพากษาคดีเกริกเกียรติโกงบีบีซีวันนี้