ในรอบปี 2548 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ข่าวเศรษฐกิจการเงิน-ตลาดหุ้นที่สำคัญจะเกี่ยวข้องกับเรื่องตัวเลขแทบทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐบาลทักษิณให้ความสำคัญกับตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ออกมาจะเน้นการขยายตัวเป็นหลัก โดยคาดหวังว่าการลงทุนจะเป็นหนทางที่นำประเทศไปสู่ความเจริญเทียบเท่านานาชาติ ในที่สุดเงินคงคลังร่อยหรอทำให้ “รัฐบาลถังแตก” ข่าวเด่นในรอบปีจึงหนีไม่พ้นเรื่องตัวเลขตั้งแต่เงินคงคลัง จีดีพี มาร์เกตแคป ดัชนีตลาดหุ้น และอัตราดอกเบี้ย...
จากต้นปี 2548 รัฐบาลโดยคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ที่ 5.5-6.5% ทว่า ด้วยปัจจัยลบทั้งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลพวงจากไข้หวัดนกที่ยังรุมเร้าตลอด กับราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป้าหมายดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สภาพัฒน์คาดการณ์จีดีพีสิ้นปีเหลือเพียง 4.7% เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับตัวเลขหลายตัวของทางการที่ลดลง เช่น การส่งออก ซึ่งรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบอ้างว่าการตั้งเป้าหมายที่สูงในต้นปีเพื่อจูงใจให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบมีความกระตือรือร้น
ด้านตลาดหุ้นก็เช่นกัน ช่วงต้นปีทางการตั้งเป้าหมายไว้ที่ 800 จุด มาถึงเดือนสุดท้ายของปี การผลักดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่เหนือ 700 กลายเป็นเรื่องที่ยังต้องลุ้นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ ดัชนีสูงสุดของปี อยู่ที่ 741.55 จุด (28 ก.พ.) และต่ำสุด 638.31 จุด (7ก.ค.) ส่วนมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ได้เพียงแค่แตะ 5.035 ล้านล้านบาท (22ก.ย.) แต่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ โดยปัจจัยที่มีผลกระทบตลาดหุ้นมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ได้แก่ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์, ไข้หวัดนก, ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้, ภัยธรรมชาติ, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
บรรยากาศโดยรวมของตลาดหุ้น แม้ได้รับแรงหนุนจากกระแสข่าวโครงการเมกะโปรเจกต์เป็นระยะๆ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยการซื้อขายหุ้นเก็งกำไร ทำให้ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการตรวจสอบ16 หุ้นร้อนแรง แบ่งเป็นกรณีการใช้ข้อมูลภายใน 3 บริษัท และการสร้างราคา 13 บริษัท
ทิศทางดังกล่าวแสดงให้เห็นภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างดี...
(1. สภาพัฒน์ชี้จีดีพี ปีนี้ 4.7% (7 ธ.ค.)
อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ว่า มีอัตราการขยายตัว 5.3% หรือเพิ่มขึ้นจาก 4.6% ในช่วงไตรมาส 2 ทำให้คาดว่า ทั้งปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 4.7% ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าโต 3.8-4.3% ทั้งนี้ ในรายงานสภาพัฒน์ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ขยายตัวสูงขึ้นเนื่องมาจากการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การนำเข้าชะลอลง การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และภาคเกษตรขยายตัว 4.4% หลังจากหดตัวต่อเนื่องมา 6 ไตรมาส โดยมีผลผลิตของพืชสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ และปาล์มน้ำมัน
ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด กลับมาเกินดุลเล็กน้อยในไตรมาสที่ 3 ภายหลังจากที่ขาดดุลอย่างต่อเนื่องใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยรวม 3 ไตรมาสแรกของปี 2548 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.4% สูงกว่าการคาดการณ์ของแหล่งต่างๆ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเป็น 5.6% เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมาก นอกจากนี้ การใช้นโยบายการเงินการคลังในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา เกิดความสมดุลในระบบการเงิน มีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง
โดยสรุป ตัวเลขเศรษฐกิจปี 2548 สภาพัฒน์คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว 4.7% อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเป็น 4.5% ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลประมาณ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.8% ของจีดีพี และอัตราการว่างงานทั้งปีอยู่ที่ 1.9%
(2.ธปท.แฉทักษิณถังแตก
ปี 2548 มีเหตุการณ์ครั้งสำคัญเกี่ยวกับฐานะการคลังของรัฐบาล นั่นคือการใช้เงินคงคลังจนเหลือไม่พอสำหรับการเบิกจ่าย หรือเรียกว่าถังแตก รัฐบาลต้องออกตั๋วเงินคลังจำนวน 8 หมื่นล้านบาท โดยในการแถลงข่าวโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ต.ค.48 สุชาดา กิระกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.เปิดเผยว่า เดือน ต.ค. รัฐบาลขาดดุลเงินสดอยู่กว่า 53,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินกองคลังกว่า 67,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินกองคลัง ณ สิ้นเดือน ต.ค.เหลือกว่า 36,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม พบว่า ชะลอตัวจากเดือนก่อน ดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดุลการค้าขาดดุล 372 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท เนื่องจากการส่งออกชะลอลงมาก โดยขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนเพียง 7.7% เทียบกับ 23.8% ในเดือนก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 9,403 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้าขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนในอัตรา 19.7% คิดเป็นมูลค่า 9,775 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ระดับ 49.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยสาเหตุที่รัฐบาลต้องออกตั๋วเงินคลังจำนวน 8 หมื่นล้านบาทว่า เป็นการบริหารเงินคงคลังที่ไม่รอบคอบ และใช้จ่ายเกินตัวตามใจชอบ การแปรรูป กฝผ.ที่รัฐบาลต้องการนำเงินที่ได้มูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีการคัดค้านจนต้องเลื่อน
การขายหุ้นออกไป ทำให้รัฐบาลภาวะขาดสภาพคล่องจนต้องออกมานโยบายดังกล่าว ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่ารายได้จากตั๋วเงินคลังรัฐบาลจะไม่นำไปใช้อย่างอื่น แต่จะนำไปเป็นเงินที่สำรองไว้เพื่อสภาพคล่องในการเบิกจ่ายตามงบประมาณประจำปีเท่านั้นเพื่อความโปร่งใส ทั้งนี้ การออกตั๋วเงินคลังของรัฐบาลส่งผลกระทบโดยตรงกับความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาเงินคงคลัง หากแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามเป้า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจเกิดปัญหา และส่งผลให้การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลที่ก่อนหน้าประกาศว่าให้ความสำคัญกับการจัดงบประมาณสมดุล กลับกลายมาเป็นขาดดุลงบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้นักลงทุนต่างประเทศกำลังจับตามอง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทนง พิทยะ รมว.คลัง ชี้แจงว่า เป็นเพียงการสำรองวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) เหมือนอย่างของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น
สถาบัน | ขยายตัว% |
ไอเอ็มเอฟ | 3.5 |
ธนาคารโลก | 4.2 |
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย | 4.6 |
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย | 4.2-4.5 |
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) | 4.25-4.75 |
สภาพัฒน์ฯ | 4.7 |
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) | 4.7 |
(3.แบงก์ชาติปรับอาร์พี 0.5% สองครั้งติด
ปีนี้อัตราดอกเบี้ยไทยมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คาดว่าจะต่อเนื่องถึงครึ่งปีหน้า โดยปี 2548 แบงก์ชาติมีการปรับขึ้นอาร์พีครั้งละ 05% ถึง 2 ครั้งติดกัน อย่างไรก็ตาม ครั้งล่าสุดในวันที่ 14 ธ.ค. แบงก์ชาติแสดงความระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโดยปรับอาร์พีขึ้น 0.25% เหตุความจำเป็นในการปรับดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วมีน้อยลง แต่ยังคงเกาะติดเงินเฟ้อ การเคลื่อนไหวของอาร์พีเป็นสัญญาณที่ทำให้ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ในปี 2548 เพิ่มขึ้นประมาณ 1% หรือทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นจาก 5.75% มาอยู่ที่ 6.75% ส่วนเงินฝากปรับขึ้นประมาณ 0.75%
นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยภายหลังการประชุมนัดสุดท้ายปี 2548 ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรซื้อคืนระยะ 14 วัน (อาร์พี 14 วัน) อีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นจาก 3.75% มาอยู่ที่ 4% เนื่องจากพิจารณาภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มในระยะต่อไปแล้วเห็นว่าความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแรงกดดันด้านราคาอยู่ อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นที่ต้องปรับอย่างรวดเร็วมีน้อยลง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงขณะนี้ ยังคงติดลบ 1.6% การปรับอาร์พีขึ้นครั้งนี้จึงน่าจะช่วยให้ดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบน้อยลง ซึ่งหากพิจารณาจากแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปที่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบโลก และการขยับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ คาดว่า ดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงคิดจากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน จะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2549
ทนง พิทยะ รมว.คลัง มองว่า ดอกเบี้ยที่เหมาะสม จะต้องทำให้เกิดการออมและไม่ทำให้เกิดการไหลเข้าและออกของเงินทุนเกินกว่าความจำเป็น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยในประเทศคงเป็นไปตามทิศทางของเฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐ
(4.เอ็นพาร์คร่วมทุนล้ม
ปี 2548 หรือปีระกา นับเป็นอีกปีหนึ่งที่ดีลใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ประสบความสำเร็จ หรือเรียกว่า ล่มลงชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง..
ดีลแรก บมจ.แนเชอรัล พาร์ค (N-park) ซึ่งเจรจาแลกหุ้นเพื่อเปิดทางให้กลุ่มบริษัท ซิตี้เรียลตี้ หรือ CRC ของกลุ่มตระกูลโสภณพนิชเข้ามาเป็นพันธมิตร ตั้งแต่ปี 2547 ได้มาปิดฉากล้มลงในต้นปี 2548 ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง หลังต่างฝ่ายต่างไม่สามารถยอมรับสัดส่วนการแลกหุ้นของกันและกันได้
ทั้งนี้ กลุ่มซิตี้เรียลตี้ได้เสนอแลกหุ้น 1 หุ้นซิตี้เรียลตี้ ต่อ 55.91 หุ้น N-PARK ในขณะที่คณะกรรมการ N-Park และบล.นครหลวงไทย จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน เห็นว่าเหมาะสมคือ 1 หุ้นซิตี้เรียลตี้ต่อ 30.28-41.95 หุ้น N-PARK
(5.จันทมิฬหุ้นดิ่ง 21 จุด
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ดัชนีหุ้นไทยเปิดตลาดดิ่งลงทันที 15 จุด และรูดลดลง 23 จุดในเวลาต่อมา จากผลพวงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกระส่ำระสายเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนีดาวโจนส์ที่ทรุดหนัก จากผลประกอบการของบริษัทในตลาดไม่เป็นตามคาด นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาค่อนข้างจะไม่ดี โดยเฉพาะตัวเลขการขาดดุลทางการค้าที่ค่อนข้างมานัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่รุนแรงมากขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่กระทบ แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลง
ส่งผลดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 676.90 จุด ลดลง 21.38 จุด หรือ 3.06% โดยจุดต่ำสุดอยู่ที่ 674.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22,635.50 ล้านบาท วันนั้นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,357.47 ล้านบาท
(6.ก.ล.ต.เชือด 2 บิ๊กปิคนิค
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษ นายธีรัชชานนท์ ลาภวิสุทธิสิน อดีตกรรมการผู้จัดการ และ น.ส.สุภาพร ลาภวิสุทธิสิน รองกรรมการผู้จัดการ ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานของ บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) ต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรณีจัดทำเอกสารและบัญชีไม่ถูกต้อง รวมทั้งการกระทำหน้าที่โดยทุจริต พร้อมกันนี้ ได้กล่าวโทษผู้ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 8 ราย กรณีให้ความช่วยเหลือผู้บริหารดังกล่าว
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรา 312 มาตรา 315 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กฎหมายเอสอีซี)
นอกจากนี้ ก.ล.ต.ได้ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินการตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เพื่อให้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่มีความซับซ้อนทั้งในด้านธุรกรรมและมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการสืบพยานในชั้นศาลฯ
ราคาหุ้นปิคนิคสูงสุดปีนี้ที่ 16.20 บาท (ณ 10 ม.ค.) ส่วนราคาต่ำสุดอยู่ที่ 0.45 บาท (ณ 1 ธ.ค.)
(7. “อากู๋” ช้ำเทกโอเวอร์มติชน
ส่วนดีลที่สร้างความฮือฮาให้กับผู้คนวงการหุ้นไทยไม่แพ้ดีลแรก ยกให้เป็นดีลเทกโอเวอร์กิจการแบบปรปักษ์ โดยกลุ่มอากู๋-นายไพบูลย์ เจ้าของอาณาจักรแกรมมี่ ที่ส่งมือดีเข้าไปกว้านซื้อหุ้น บมจ.มติชน (MATI) ของนายขรรค์ชัย บุนปาน ถึง 32% ก่อนจะประกาศเทกโอเวอร์อย่างเป็นทางการ และเกิดกระแสต่อต้านว่าเป็นตัวแทนกลุ่มการเมืองหวังฮุบสื่อมวลชน เพราะนอกจากจะซื้อหุ้นมติชนแล้วยังได้เข้าซื้อหุ้น บมจ.บางกอกโพสต์ (POST) กว่า 20% พร้อมกัน
“อากู๋” ใช้ความพยายามชี้แจงว่าการเทกโอเวอร์ครั้งนี้เป็นการต่อยอดทางธุรกิจให้กับ บมจ.จีเอ็มเอ็มมีเดีย (GMMM) แต่คำชี้แจงดังกล่าวฟังไม่ขึ้นในความเห็นของมวลชน กระแสต้าน “อากู๋” ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสุดท้าย “อากู๋” จึงยอมยุติการเทกโอเวอร์ฯ ด้วยการขายหุ้นมติชนคืนให้กับนายขรรค์ชัย ลดการถือครองหุ้นมติชนเหลือเพียง 20% รวมถึงถือครองหุ้น POST ไว้แค่ 23%
(8. “เบญจรงคกุล” ขายยูคอม.. “ตัน” ขายโออิชิ
“เบญจรงคกุล” ตระกูลดังยักษ์ใหญ่วงการสื่อสารอันดับ 2 ของประเทศไทย ปิดตำนานโอเปอร์เรเตอร์มือถือ ด้วยการประกาศขายหุ้น บมจ.ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี (UCOM) รวมจำนวน 173,331,750 หุ้น หรือ 39.88% ของทุนจดทะเบียนบริษัทให้กับบริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด (Thai Telco Holdings Limited) หรือ TTH ในราคาหุ้นละ 53 บาท รวมมูลค่าเกือบ 9.2 พันล้านบาท
สำหรับผู้ถือใหญ่ในบริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบด้วย 1.บริษัท เทเลนอร์ เอเชีย พีทีอี แอลทีดี จำนวน 19,600,000 หุ้น 2.บริษัท โบเลโร จำกัด จำนวน 10,480,000 หุ้น 3.นายบุญชัย เบญจรงคกุล จำนวน 3,960,000 หุ้น 4.บริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) จำนวน 3,959,993 หุ้น และอื่นๆ รวม 40 ล้านหุ้น ทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม “เบญจรงคกุล” ได้มีการจัดตั้งบริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด เสนอซื้อสินทรัพย์ของ UCOM ประกอบด้วย ทรัพย์สินที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของบริษัท ในราคา 1,112 ล้านบาท และไพรเวท พร็อพ เพอร์ตี้ที่ถือหุ้นใหญ่ตระกูล “เบญจรงคกุล” เสนอซื้อทรัพย์สินของบริษัท ซึ่งประกอบด้วย สิทธิ กรรมสิทธิ์ และผลประโยชน์ใน ที่ดิน อาคาร สัญญาเช่า อสังหาริมทรัพย์ สินค้าคงเหลือ เครื่องใช้และอุปกรณ์ และสิทธิตาม ราคา 413 ล้านบาท
ส่วน นายตัน ภาสกรนที ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารคนสำคัญ บมจ.โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) ได้ออกมาแถลงข่าวว่า ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ Mr. Ma Wah Yan ในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้จะซื้อเพื่อซื้อหุ้นบริษัท โออิชิ จำนวนไม่น้อยกว่า 103,125,000 หุ้น จากจำนวนทั้งหมด 187,500 ล้านหุ้น หรือ 55% ของหุ้นทั้งหมด โดยนายตันจะเป็นผู้รวบรวมหุ้นของโออิชิจากผู้ถือหุ้นอื่น โดยกำหนดเพดานการซื้อขายเบื้องต้นที่หุ้นละ 30-32.50 บาท
นอกจากนี้ นายตันยังยืนยันว่า การขายหุ้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสกดดันเรื่องราคาขายน้ำชาเขียวโออิชิของนายตันที่ถูกบีบให้ขายในราคา 15 บาท และไม่ยอมเปิดชื่อผู้ซื้อจนกว่าจะลงนามซื้อขาย ในวันที่ 20 ม.ค.49 ส่วนกระแสร่ำลือว่าผู้ซื้อโออิชิ คือ กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้รับการปฏิเสธจากตัวแทนกลุ่มนายเจริญในภายหลังว่าไม่ใช่เป็นผู้ซื้อโออิชิ
(9.เบรก 2 หุ้นยักษ์ กฟผ.-ช้าง
กระแสต่อต้านการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (เบียร์ช้าง) อย่างรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำม็อบกดดัน ตลท. และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ไม่อนุมัติให้เบียร์ช้างกระจายหุ้นเข้าจดทะเบียนใน ตลท.
การชุมนุมกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ เกิดขึ้นหลายครั้งตามสถานที่ต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมหลากหลายสาขาทั้งเยาวชน ประชาชนชาวไทยพุทธ คริสต์ อิสลาม ตลอดจน พระภิกษุสงฆ์ โดยผู้คัดค้านให้เหตุผลว่าสุรา เบียร์ เป็นธุรกิจที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ขณะที่ผู้สนับสนุนก็จะมองประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ตลท.จึงทำหน้าที่รับข้อมูลคัดค้าน สนับสนุนรวบรวมให้ ก.ล.ต.พิจารณา แต่อย่างไรก็ตาม การประชุมพิจารณาเบียร์ช้างมีอันต้องเลื่อนออกไป จนล่าสุด ก.ล.ต.ถอนวาระพิจารณาเบียร์ช้างออกไปไม่มีกำหนด โดยให้รอพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายที่จะนำมาใช้ควบคุมดูแลการบริโภคสุราออกมาก่อน
ส่วนหุ้นรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ บมจ.กฟผ.(EGAT) ซึ่งทำท่าจะเข้าจดทะเบียนใน ตลท.ได้ในปีนี้ ยังมีอันต้องพลิกผันอย่างกะทันหัน เมื่อภาคประชาชนยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี รมว.พลังงาน กระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของ บมจ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเวลาการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่าผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548 โดยร้องขอให้เปิดไต่สวนฉุกเฉิน
ศาลปกครองสูงสุดได้นัดไต่สวนฉุกเฉินและนัดฟังคำสั่งในวันที่ 14 พ.ย.ก่อนเลื่อนมาตัดสินในวันที่ 15 พ.ย. และมีคำสั่งให้ระงับการนำหุ้นของ บมจ.กฟผ. กระจายให้นักลงทุนจองซื้อเป็นการชั่วคราว
(10.ปตท.ฮุบทีพีไอ
การฟื้นฟูกิจการ บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) ซึ่งลากยาวมา 3 รัฐบาล กำลังจะจบลงในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยที่ 2 เนื่องจากปี 2548 เป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการตามแผนฯ โดยน้ำมือคณะผู้บริหารแผนจากกระทรวงการคลัง ได้ปิดทางนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในการดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาลงทุน แม้ว่าจะสามารถเจรจาให้กลุ่มใหม่จากประเทศจีนเข้ามาซื้อหุ้นทีพีไอในราคา 13 บาท แต่กลับนำไปขายให้ ปตท.และพันธมิตรในราคาหุ้นละ 3.30 บาท
ทั้งนี้ ทุนชำระแล้วเดิมของบริษัทเดิมอยู่ที่ 7,848,911,211 บาท (หุ้นสามัญจำนวน 7,848,911,211 หุ้น) ขณะที่ทุนชำระแล้วใหม่ 19,500,000,000 บาท (หุ้นสามัญจำนวน 19,500,000,000 หุ้น) มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น โดยหุ้นเพิ่มทุนทีพีไอที่นำออกขายได้รับความสนใจจากผู้ถือหุ้นรายย่อย และเจ้าหนี้เป็นอย่างมาก
สำหรับกลุ่มผู้ลงทุนหลักจำนวน 7,751,088,789 หุ้น ประกอบด้วย บมจ.ปตท. จำนวน 3,970,069,869 หุ้น, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ จำนวน 1,260,339,640 หุ้น, ธนาคารออมสิน จำนวน 1,260,339,640 หุ้น, กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จำนวน 1,260,339,640 หุ้น โดยมีเงื่อนไขการลงทุนห้ามขายภายใน 2 ปี
ส่วนหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 3,900,000,000 หุ้น ที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ส่งผลราคาหุ้นทีพีไอไดลูทลงมาปิดที่ 6.70 บาท