xs
xsm
sm
md
lg

สนธิประกาศตัดขาดทนง "แผ่นดินต้องมาก่อนเพื่อน"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 12 สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ พูดถึง "11 วันอันตรายก่อนลดค่าเงินบาท" พระเอกของเรื่องหรือ "อีกาคาบข่าวลดค่าเงินบาท" คือใครไม่ได้นอกจาก ทนง พิทยะ ขุนคลังคนปัจจุบันผู้ทำหน้าที่ขุนคลังเมื่อปี 2540 ไฮไลต์งานนี้มิเพียงชำแหละพฤตกรรมน่าอดสูในฐานะคนรับใช้เครือข่ายชินวัตร จนทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อินไซเดอร์แห่งนี้ตั้งต้นร่ำรวยล้ำหน้ากว่าบริษัทอื่นมาจนทุกวันนี้ ทว่ายังมีประเด็นส่วนตัวระหว่างเพื่อน เพราะทนง พิทยะ คือเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่น 18 อัสสัมชัญ ศรีราชา ของสนธิ ทว่าสำหรับ "สนธิ" แผ่นดินต้องมาก่อนเพื่อน...

"ทนง พิทยะ นามสกุลเดิม ลำไย เป็นคนสุพรรณบุรี เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง เรียนรุ่นเดียวกับผม (สนธิ) อัสส ัมชัญ ศรีราชา รุ่น 18 พอเข้ามาโด่งดัง คล้ายๆ สาวสวนแตง เข้ามาในเมืองหลวง แล้วก็โด่งดังขึ้นมา เกิดอาการอะไรไม่รู้ มีความรู้สึกว่าลำไยนั้นไม่เพราะ ก็เลยไปขอเปลี่ยนนาม กุลเป็นพิทยะ

คุณทนงเพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) บอกว่า ไม่รู้ว่าผมจะพูดเรื่องอะไร เพราะว่า เขาบอกว่าเขาเป็นคนพูดไม่เก่ง คือเขามาบอกว่าผมนี่พูดเก่งงั้น ผมพูดอะไรก็ได้ เสร็จแล้วเขาบอกว่า ขอกันกินมากกว่านั้น ก็เลยอยากจะกราบเรียนเพื่อนรักว่า ชีวิตผมไม่เคยขอคุณกิน มีแต่คุณเคยขอผมกิน

ที่ต้องเช็กบิลคุณทนง พิทยะ ถ้าคุณอยากจะรู้เรื่องว่าทำไมผมถึงต้องพูดถึงเรื่องคุณ ก็เพราะว่าคุณรับใช้นายกฯ ทักษิณดีมาก นายกฯ ทักษิณท่านสั่งให้บรรดาพวกที่รู้จักสนิทกับผมอยู่ในรัฐบาล ให้ออกมาด่าผม เหมือนกับว่า แม้กระทั่งเพื่อนสนิทกันยังด่าเลย มีคนเดียวที่ยังไม่กล้าสักแอะหนึ่ง ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังเก็บเงียบอยู่

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 คุณทนงไปพูดในระหว่างการมอบนโยบายข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ในการประชุมคลังสัญจร ที่ จ.เชียงราย เขาพูดว่า ที่น่าห่วงคือกระแ ข่าวเล็กๆ น้อยๆ ที่มีบุคคลบางกลุ่มสร้างขึ้นเพื่อสั่นคลอนความเชื่อมั่นของรัฐบาล โดยอาศัยนิสัยเบื่อง่ายของปัญญาชนไทย มาปลุกระดมกระแสเอาชนะทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว ด้วยการสร้างจิตวิทยามวลชน เพราะไม่ว่าจะพูดถูกหรือผิดคนจะฟัง เพราะฟังแล้วเกิดความมันสะใจ ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาได้ แม้จะพูดซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งการสร้างกระแสของกลุ่มบุคคลดังกล่าวน่าเป็นห่วงมาก

นี่ เขาด่าผม แล้วเขาบอกพ่อแม่พี่น้องเป็นคนซึ่งเชื่อง่าย เป็นคนโง่ เพราะว่าพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังเชื่อ ผมก็เลยบอกว่า จำทีจะต้องพิฆาตเพื่อนให้ถึง สิ้นชีพตักษัย ในภาษาบู๊ลิ้มเขาเรียกว่า เอากระบี่ตัดชายเสื้อ ก็คือ ให้ขาดซึ่งกันและกันไปเลย

**เปรียบทนงเป็นอีกาคาบข่าว

ปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ.2540 เป็นช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ในภาวการณ์ต้องตัดสินใจว่าจะต้องลดค่าเงินบาท จาก 1 ดอลลาร์ 25 บาท จะเป็นเท่าไรก็ว่ากันไป เพราะว่าถูกโจมตีค่าเงินบาทมาก คนที่รู้เรื่องนี้ คือ หนึ่ง คณะกรรมการพิจารณาว่าค่าเงินบาทควรจะลดหรือไม่ ประธานคณะกรรมการชื่อ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ในยุคนั้นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อ นายเริงชัย มะระกานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคนั้นที่เพิ่งเข้ามาก็คือ นายทนง พิทยะ แล้วนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีอีกคนหนึ่งซึ่งรู้ ก็คือ นายโภคิน พลกุล

คุณทนงเขาจะพูดตลอดเวลา เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะว่าเขาขี้เกียจจะมาตอบปัญหาว่า 11 วันนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณไม่ตอบไม่เป็นไรเพราะว่าคุณก็ต้องตายไปกับมัน ชีวิตนี้เพราะชีวิตนี้คุณไม่มีวันตอบได้แน่นอน เพราะสิ่งแวดล้อมมันทำให้คนเชื่อได้ว่าคุณต้องรับรู้ในเรื่อง 11 วันนั้น

คุณทนง ก่อนที่จะเข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นทำงานอยู่บริษัท ชินวัตร ทำงานเรื่องการเงิน การลดค่าเงินบาทพ่อแม่ พี่น้องต้องเข้าใจ พริบตาเดียวรวยแล้วก็จนได้ทันที คือถ้ารู้ว่าเงินบาทต้องลดใช่ไหมครับ จาก 25 บาท เป็น 30 บาท ก็รีบเอาเงินบาทที่มีอยู่ไปซื้อดอลลาร์ในราคา 25 บาทไว้ก่อน พอพรุ่งนี้มันเป็น 30 ก็ขายดอลลาร์ทิ้ง ก็กำไรดอลลาร์ละ 5 บาท

ทีนี้เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างนี้ วิธีหนึ่งก็คือว่า คนที่รู้ข้อมูลภายในข้อที่หนึ่ง ก็สามารถจะกู้เงินธนาคารแล้วสั่งซื้อดอลลาร์ไว้ได้ วิธีซื้อดอลลาร์ไม่ต้อง ซื้อเต็ม 25 บาท เขาเรียกว่าซื้อโดยใช้มาร์จิน เหมือนคนเล่นหุ้น จ่าย 25 เปอร์เซ็นต์ก็ซื้อได้ 1 ดอลลาร์ ก็คืออาจจะจ่ายแค่ 5 บาท ซื้อดอลลาร์ในมูลค่า 25 บาท ซื้อเก็บ

หรือว่าสอง ถ้าไปกู้เงินต่างชาติ บริษัทตัวเองกู้เงินต่างชาติเอาไว้แล้ว สามารถที่จะประกันความเสี่ยง คือถ้ารู้ว่าดอลลาร์จะต้องแข็งแล้วบาทจะต้องตก ก็จ่ายค่าประกันความเสี่ยงเอาไว้ ก็คือดอลลาร์จะแข็งบาทจะตกแค่ไหนก็จ่ายคืนเท่าเดิม

สามสั่งสินค้าเข้ามา ต๊อกเอาไว้เยอะๆ ในราคาดอลลาร์ละ 25 บาท

นี่คือ 3 วิธีของการที่จะกำไรจากตรงนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า วันที่เมื่อมีการประชุมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันมีช่วง 11 วัน ที่ตัดสินใจกันแล้วว่าจะต้องลดค่าเงินบาท 3-4 คนที่ผมเอ่ยชื่อนี่รู้หมด ปรากฏว่า พอลดค่าเงินบาทปังปั๊บ ทุกบริษัทเจ๊งหมด ยกเว้นบริษัทของท่านนายกฯ ไม่เจ๊ง เพราะท่านป้องกันตัวเองไว้หมดแล้ว

เอาล่ะ ท่านบอกว่าท่านรู้ ท่านดูออก ผมก็ถามว่าดูออกได้อย่างไร บุคคลภายนอกไม่มีวันจะรู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่า ทุนสำรองของประเทศตอนนั้นเหลืออยู่เท่าไร ไม่มีใครรู้ ขนาด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส่งทีมไปเจรจาขอกู้เงินที่จีน เพื่อเอามาช่วยเรื่องดอลลาร์ไม่มี ผู้ว่าแบงก์ชาติจีนเขาถามแบงก์ชาติ เรื่องตัวเลขทุนสำรอง ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นคุณศิริ การเจริญดี คุณศิริบอกว่า เงินสำรองระหว่างประเทศเป็น ความลับ บอกให้ ใครทราบไม่ได้ ใช่ไหม ขนาดนี้เขายังไม่บอกกัน แล้วผมถามว่าคนนอกจะไปรู้ได้อย่างไร เงินสำรองประเทศเหลือเท่าไร

เพราะฉะนั้นแล้วการที่รู้ว่าเงินบาทจะต้องตก เพราะว่าจะต้องมีการลดนั้น ก็คือการเอาข้อมูลที่ตัดสินใจกันไปเรียบร้อยแล้ว ภายใน 11 วันนั้นล่ะ เอาไปกระซิบบอกคนโน้นที บอกคนนั้นที งานนี้บริษัท ชินวัตรไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นพ่อค้า คนผิดคืออีกาคาบข่าว ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ

เมื่อเรื่องราวเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นมา ก็เลยมีคำถามถามว่า ถ้าอย่างนั้นใครเอ่ยที่มีโอกาสที่จะไปแจ้งให้บริษัทชินวัตร หรือบริษัทหลายบริษัท รู้ว่า จะมีการลดค่าเงินบาท ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว หนีไม่พ้นที่ต้องตั้งข้อสงสัยที่คุณทนง พิทยะ ก่อน ผมไม่ได้กล่าวหาท่านนะ ผมบอกว่า มีความเป็นไปได้ เนื่องจากความใกล้ชิดสนิทสนมดั้งเดิมที่ท่านทำมาค้าขาย กับเขามา และท่านได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตอนนั้น หลังจากที่ ดร.อำนวย วีรวรรณ ลาออกไป ก็เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปบอก พล.อ.ชวลิต ให้ตั้งทนง พิทยะ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

อีกข้อหนึ่งที่ต้องพูดกัน เงินบาทพอร่วงปั๊บในครั้งแรก ตกจาก 25 บาท เหลือ 28 บาท วันนั้นใครเล่นเงินบาทก็สามารถจะขายทิ้งไปได้ กำไร 3 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ แต่มีคนบางคนยังโลภ บอกว่าเงินบาทตก 28 บาท กำไร 3 บาท มันน้อยไป เพราะว่าซื้อดอลลาร์เก็บเอาไว้เยอะ แล้วทำอย่างไรจะให้บาทมันตกมากกว่านั้นล่ะ ก็สั่งปิดไฟแนนซ์ 56 แห่ง ไปดูวัน ว. เวลา น. ของเงินบาทที่ตกครั้งแรก แล้วผ่านไปอีกไม่นาน มีการปิดไฟแนนซ์ พอปิดไฟแนนซ์ปัง จาก 28 บาท เป็น 37 บาททันทีเลย 12 บาท 12 บาท ซื้ออยู่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อมาร์จินนี่นะ ซื้อไว้ 100,000 ล้านบาท ก็กำไร 30,000 กว่าล้านบาท

นี่คือการร่ำรวยขึ้นมาบนซากศพของคนไทย คุณทนง คุณต้องตอบคำถามนี้จนกระทั่งคุณเกิดชาติหน้าแล้วตายไปอีก 10 ชาติคุณยังต้องตอบคำถามนี้ต่อไป ผมไม่รู้ว่าคุณไปบอกหรือเปล่า แต่การกระทำแบบนี้ การปิดไฟแนนซ์เพื่อบีบให้ราคาเงินดอลลาร์ตกไปนี้เป็นวิธีการที่ชั่วร้ายที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น