xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทยรายสัปดาห์ 12 : “สนธิ” ตัดขาด “ทนง” - แฉป้อนข้อมูล “แม้ว” ฟันกำไรค่าเงินบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” ตัดขาดความเป็นเพื่อนกับ “ทนง” แฉปม 11 วันอันตรายก่อนลอยตัวค่าเงินบาทปี 40 ระบุ รมว.คลัง นำข้อมูลบอก “ทักษิณ” ตุนดอลลาร์เก็งกำไร เปิดโปงทุจริตงบซื้อเครื่องตรวจจับสึนามิ เงินหล่นแถวกรมอุตุฯ 20 ล้าน ปูด “เจ๊ทางเหนือ” ซื้อหุ้นบริษัททำอาหารป้อนสายการบินได้งานโดยไม่ต้องประมูล แฉ “เฮียเพ้ง” เซ็นโอนงานสนามบินสุวรรณภูมิให้ “ภูมิธรรม” ดูแล ก่อนกลับใจ เหตุข่าวรั่วรู้ถึงหู “ราชเลขาฯ” ด้าน “ภูมิธรรม” รวมหัวกลุ่มการเมืองฮุบ บทด.เอื้อพวกพ้องผูกขาดธุรกิจขนส่งทางทะเล จวก กฟผ.ปล้นข่มขืนประชาชน เช่า 21 เขื่อนสุดถูกเอากำไร 100 เท่า เม็ดเงิน 9 แสนล้าน


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 12 ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 12 ช่วงที่ 2 จบ

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป ไฮไลท์เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 12(56k)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป ไฮไลท์เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 12(256k)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป รวมฮิตโฆษณาผู้จัดกวน(56k)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป รวมฮิตโฆษณาผู้จัดกวน(256k)

คลิกชมภาพสไลด์โชว์ บรรยากาศเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 12 ณ สวนลุมพินี


ดูภาพชุดจาก Manager Multimedia


คลิกชมภาพสไลด์โชว์ ประชาชนนับหมื่นร่วมฟัง "ความจริงที่รัฐฯ ไม่อยากฟัง คำถามที่รัฐฯ ไม่กล้าตอบ..."


ดูภาพชุดจาก Manager Multimedia


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป การแสดงดนตรีของวง มาลีฮวนน่า (56k)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป การแสดงดนตรีของวง มาลีฮวนน่า (256k)

สโรชา - สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับเข้าสู่เมืองไทยรายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 ค่ะ วันนี้บรรยากาศดีนะคะ อากาศก็ดีนะคะ เข้าหน้าหนาวแล้วก็ได้เอ็นจอยกัน เดี๋ยวช่วงเทศกาลปีใหม่จะได้คึกคักกันเต็มที่นะคะ แต่คึกคักแล้วก็อย่าลืมนะคะว่ามีพี่น้องชาวไทยในภาคใต้ที่ต้องมาประสบกับภัยธรรมชาติในช่วงปลายๆ ปีพอดี เข้าใจว่าช่วงนี้เป็นน้ำท่วมครั้งที่ 3 แล้วนะคะ ในรอบไม่กี่วันเท่านั้นเอง แล้วก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะลืมกันนะคะ ในขณะที่เราไปเที่ยว ไปสังสรรค์กัน ก็อย่าลืมว่ามีพี่น้องประชาชนชาวไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่กำลังประสบภัยอยู่ รวมไปถึงฝั่งอันดามันด้วยค่ะ คุณสนธิ 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน กำลังจะครบรอบ 1 ปี สึนามิ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วนะคะ ก็ไม่ทราบว่าได้รับความช่วยเหลือกันไปมากน้อยขนาดไหน

สนธิ - ครับ พูดเรื่องสึนามิให้ฟังนิดแล้วกัน เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนจะเข้าเรื่องสึนามิ ซึ่งเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูแล้วก็เลวร้ายที่สุดที่รับทราบมา แล้วก็ผมแทบคิดไม่ออกเลยว่า นี่มันเป็นความคิดหรือเป็นวิธีการกระทำของมนุษย์ หรือว่าเป็นของสัตว์เดียรัจฉานกัน แน่นอนนะฮะ เดี๋ยวๆ รอใจเย็นๆ ฮะ มีเรื่องสนุกให้ฟัง แต่ว่าอยากให้พ่อแม่พี่น้องและท่านผู้ชมทางบ้าน อ้อ เดี๋ยวนี้เขาเปิดเคเบิลทั่วประเทศ เขายอมแล้วนะ คือ ก็ไม่ได้ยอมล่ะ เคเบิลเขากบฏ เขาก็เลยเปิดนะฮะ ก็เป็นอันว่า ทุกวันนี้มีคนประมาณเกือบๆ 8 ล้านคน ทั่วประเทศไทย กำลังดูรายการนี้อยู่นะครับ

สโรชา - สดๆ นะคะ

สนธิ - ครับ อยากให้ฝ่ายภาพช่วยเอาภาพแรกขึ้นนิดนะครับ

สโรชา - เป็นภาพที่น่าปลาบปลื้มนะคะ เป็นสิริมงคลจริงๆ

สนธิ - ครับ เป็นสิริมงคลกับพวกเรานะฮะ ว่ายังไงครับภาพไปไหนครับ


(ภาพสมเด็จญาณฯ)


สนธิ - พวกเราหันไปทางซ้ายพร้อมกันนะครับ แล้วตึกวชิรญาณที่องค์สมเด็จญาณฯ อยู่ แล้วก็ พวกเราพร้อมใจกันกราบถวายพระพรพระองค์ท่านนะครับ กราบ 1 กราบ 2 กราบ 3
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานะครับ ท่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ไปเยี่ยมสมเด็จญาณฯ ที่ตึกวชิรญาณ เป็นเรื่องที่คนใกล้ชิดข้างในพูดแล้วน้ำตาคลอ คือ หลวงตาท่านเข้าไปกราบที่ตักของสมเด็จญาณฯ สมเด็จญาณฯ ก็เอามือแตะ แล้วก็ไม่พูดอะไร แล้วต่างฝ่ายต่างจ้องซึ่งกันและกัน เป็นเวลาเกือบ 10 นาที ก็คือว่า ใช้กระแสจิตคุยกัน นะครับ แล้วก็ทรงพระสรวล สมเด็จญาณฯ ทรงพระสรวล คือหัวเราะ คล้ายๆ กับบอกว่า ขอบใจนะสหาย ที่ได้ช่วยเหลือเรามาตลอด นะครับ เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่รัฐบาลนี้ไม่มีวันจะตอบให้พวกเราฟังในชาตินี้นะครับ แล้วก็เลยอยากจะเอารูปนี้มาให้พ่อแม่พี่น้อง แล้วก็หลายๆ คน ได้ดูกันว่า เป็นเรื่องเป็นราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 วันนี้เอง เมื่อไม่กี่วัน รู้สึกจะเมื่อวานซืนนี้เองครับ สดๆ ร้อนๆ นะครับ แล้วก็ เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าพระมหาเถระ พระอริยสงฆ์ 2 รูป ซึ่งรูปหนึ่งคือสมเด็จญาณฯ อีกรูปหนึ่งคือหลวงตาบัว นะครับ ซึ่งอายุก็ใกล้ๆ กัน สมเด็จญาณฯ ก็ 94 นะครับ หลวงตาก็รู้สึกจะ 92 นะครับ ดูสิครับ คน 90 กว่านะครับ ยังไม่ยอมละสังขารนะครับ ท่านยังบอกว่าท่านต้องอยู่ช่วยให้ประเทศไทยพ้นจากมือเทวทัตเสียก่อน แล้วค่อยถึงจะไปนะครับ

สโรชา - เห็นภาพอันเป็นสิริมงคลไปแล้วนะคะ เรา เมื่อสักครู่นี้พูดถึงเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศ คงต้องทักทายไปถึงผู้ชมที่สหรัฐอเมริกา เข้าใจว่ามีหลายท่านที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม และดูสดๆ ถึงแม้ตอนนี้ที่สหรัฐฯ ประมาณตีสอง ตีสาม ดูเราสดๆ ก็ส่งคำทักทาย และคำสวัสดีไปแล้วนะคะ วันนี้มีเรื่องต้องคุยกันหลายเรื่องเช่นเคย แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งซึ่งถามด้วยความจริงใจค่ะคุณสนธิ แอ้มไม่ทราบว่าคุณสนธิจะพูดเรื่องนี้หรือเปล่า

สนธิ - เรื่องอะไรครับ

สโรชา - ดูภาพค่ะ (ภาพ ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม)

สนธิ - ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่พูดหรอก ไม่ต้องนั่งแอบดูจออยู่ที่บ้านแล้วก็เหงื่อตกว่า ผมจะพูดอะไร ผมบอกแล้วว่า เป็นเรื่องส่วนตัวผมไม่พูด คุณสุรนันทน์ก็ยังเอ่ยมาตั้งแต่แรกว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็ไม่ได้มีใครถาม คุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ทะลึ่งมาบอกว่า นายกฯ ทำหมันแล้ว เขาไม่ได้ถามมึงซะหน่อย ต่อไป ต่อไป ไม่พูด ไม่พูด

สโรชา - ไม่พูดนะคะ ไม่พูด

สนธิ - ไม่พูด ไม่ได้ ไม่ได้

สโรชา - อีกนิดหนึ่งก็ไม่ได้นะคะ

สนธิ - เราเอาเรื่องโกงชาติโกงเมือง เราเอาเรื่องของคนที่ไม่มีความจริงใจต่อชาติบ้านเมืองมานะครับ ก่อนเริ่ม คุณสโรชามีอะไรอีกไหม

สโรชา - ก่อนเริ่มนะคะ ต้องทักทายและก็แซวกันเล็กน้อย คุณสนธิ เพราะว่าตอนนี้คุณสนธิกลายเป็นผู้มีอิทธิพลไปแล้วนะคะ เพราะว่าตามเอแบคโพลล์ หลายๆ ท่านคงเห็นแล้วนะคะ ท่านนายกฯ เป็นอันดับที่ 1 คุณหญิงพจมานเป็นอันดับที่ 2 เอ๊ย คุณอภิสิทธิ์ค่ะ ประทานโทษ คุณหญิงพจมานคือ ฝ่ายหญิง เอาฝ่ายชายแล้วกันนะคะ ท่านนายกฯ มาถึงคุณอภิสิทธิ์ และมีท่านนี้ล่ะค่ะ ตามมาติดๆ

สนธิ - ผมเป็นเพียงตัวแทน ตัวแทนของพ่อแม่พี่น้อง ที่ต้องการที่จะร่วมอุดมการณ์ของการรักษาชาติบ้านเมือง ผมไม่ใช่เป็นผู้นำ ผมเป็นตัวแทนของพ่อแม่พี่น้อง ผมเป็นปากเป็นเสียงให้ อย่างที่ผมบอกว่า เหมือนกับคุณ เปลว สีเงิน บอกว่า ผมมาทำบุญไถ่บาปเก่าๆ นะฮะ เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ได้คิดว่าผมมีบารมีอะไรทั้งสิ้น วันนี้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะว่าจิตใจพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในนี้ ที่อยู่ต่างจังหวัด ที่อยู่ต่างประเทศ ได้มอบกำลังใจและก็บอกว่า "สนธิ สู้แทนพวกเราหน่อยได้ไหม" เพราะฉะนั้นแล้วผมเป็นแค่ตัวแทนพ่อแม่พี่น้อง และก็จะเป็นตัวแทนไปจนตาย มิใช่ผู้นำเด็ดขาด เป็นเพื่อนพ่อแม่พี่น้อง เป็นคนไทยเหมือนกัน ที่ทนไม่ไหวกับสมบัติแผ่นดินที่จะต้องถูกสูบ ถูกโกง แล้วก็ถูกวิชามารทั้งหลาย เพื่อที่จะดูดเข้าไปในหมู่วงศาคณาญาติ แล้วก็มาด่าเพื่อนฝูงต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่ได้มีอะไรที่ดีเด่นไปกว่าใคร ผมเป็นเพียงแต่คนไทยที่รักชาติรักแผ่นดิน เหมือนพ่อแม่พี่น้องที่นี่ทุกคน และผมเป็นเพียงตัวแทนของพ่อแม่พี่น้องเท่านั้นเองครับ

สโรชา - มีอีกเรื่องหนึ่งนะคะที่อยากจะนำมาให้ดูกันวันนี้ เพราะว่าเห็นแล้วก็ดีใจ ดีใจไม่ใช่ว่า ในส่วนของการมีชื่อเสียงหรืออะไรก็แล้วแต่นะคะคุณสนธิ แต่ดีใจว่าเด็กรุ่นหลังสนใจเรื่องการบ้านการเมือง ภาพต่อไปนี้ เป็นการแปรอักษรของ

สนธิ - เด็กสวนกุหลาบ

สโรชา - เด็กสวนกุหลาบ นะคะ

สนธิ - ในฟุตบอลประเพณีจตุรมิตร นะครับ

สโรชา - เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา


(ภาพการแปรอักษร)


สโรชา - ประโยคฮิต "ผมแค่ถาม"

สนธิ - เดี๋ยวๆ คุณสโรชา ขอเล่าเรื่องที่อุบาทว์ให้ฟังนิดหนึ่ง คือพ่อแม่พี่น้องจำเรื่องสึนามิได้ใช่ไหม ก่อนที่จะเกิดเหตุสึนามิ เขาได้มีการพิจารณาว่าประเทศไทยนั้นควรจะมีเครื่องสัญญาณเตือนภัยลักษณะสึนามิ ก็มีการตั้งงบประมาณกันที่กรมอุตุนิยมวิทยา พอตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจ พอเกิดสึนามิก็เลยบอกให้ดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ทีนี้ ไอ้ผู้ที่จะผลิตเครื่องสัญญาณเตือนภัย ในโลกนี้มันมีเยอะ แต่ว่าในโลกนี้ที่เขาใช้กันอยู่ มีไม่เกิน 3 ยี่ห้อ ทั่วโลก

สโรชา - ค่ะ

สนธิ - 3 ยี่ห้อนี้ เป็น 3 ยี่ห้อที่สามารถที่จะแจ้งภัยได้ แล้วก็มันเชื่อมโยงซึ่งกันและกันได้ เกิดมีคนฉลาดหัวใส เอาเงินตกหล่นไปแถวๆ กระทรวงที่คุมกรมอุตุนิยมวิทยา 20 ล้านบาท เสร็จเรียบร้อยแล้วคนในกรมอุตุนิยมวิทยามีการเลี้ยงดูปูเสื่อกันในสมัยที่ยังเป็นข้าราชการระดับเล็กจนกระทั่งใหญ่ขึ้นมา ในที่สุดแล้ว 1 ใน 3 เจ้า ซึ่งดีที่สุดในโลกก็ไม่ได้รับเลือก แต่ไปได้รับเลือก 1 เจ้า ทีนี้ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้ เจ้านี้ที่ได้รับเลือก นักวิชาการทั้งจุฬาฯ ทั้ง ม.รังสิต ทั้ง สถาบัน AIT บอกว่า น่าเป็นห่วงเพราะเทคโนโลยีอันนี้มันเป็นเทคโนโลยีซึ่งมันไม่สามารถจะเชื่อมโยงได้ และมันไม่สามารถจะบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า เรียลไทม์ ได้ คือว่า พอคลื่นมาไม่สามารถบอกได้ ปรากฏว่า รองอธิบดีหัวใส ซึ่งเป็นประธาน ก็บอกว่า อุปกรณ์พวกนี้ไม่จำเป็นต้องเรียลไทม์ก็ได้ มันบ้าหรือเปล่า สึนามิมันเกิดขึ้นไม่เรียลไทม์ได้อย่างไร จะให้น้ำมันท่วมก่อนแล้วค่อยแจ้งว่ามา ด้วยเหตุนี้ไม่เห็นหรือมันถึงมีสัญญาณเตือนภัยที่ผิดพลาดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาวิ่งกันทั่ว 3 จังหวัดเลย แล้วมันก็อ้างว่า มันเช็ดไปเช็ดมาแล้วกดปุ่มผิด เห็นหรือยัง เลวไหม มันเอาชีวิตคนมาแขวนอยู่บนเส้นด้าย บนเส้นลวด เพียงเพราะว่าพวกเขากินคอร์รัปชั่นกันเพื่อซื้อของให้พรรคพวกตัวเอง แล้วพอมีเรื่องมีราวเกิดขึ้นมาแล้วเขาก็บอกว่า ไม่ต้องเรียลไทม์ก็ได้ เอ๊ะถ้าแผ่นดินไหวมันไม่เรียลไทม์ได้อย่างไร ให้มันไหวเสร็จเรียบร้อยก่อนหรืออย่างไรแล้วค่อยบอกว่า มันไหวนะ มันไม่ใช่ เห็นไหม ผมถึงนึกไม่ออกว่านักการเมืองร่วมมือกับข้าราชการบางคนเขาคิดแบบนี้ได้อย่างไร คิดในเรื่องชีวิตของคน คุณสโรชาผมนึกไม่ออกจริงๆ และนี่คือลักษณะของสังคมไทยทุกวันนี้ที่น่ากลัวมากๆ คุณสโรชา

สโรชา - แล้วออกมาสัมภาษณ์ภายหลังเกิดเหตุว่า คงจะต้องกลับไปตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณ์ที่นำมาใช้

สนธิ - ควรจะต้องกลับไปตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ อะไรก็ตามเป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคนนั้นจะมาเสี่ยงภัยกันไม่ได้เด็ดขาด จะมาเสี่ยงภัยกันไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้หมายความว่าจะให้ซื้ออันใดอันหนึ่ง แต่ว่าในโลกนี้เขาทำอยู่ 3 อันที่ดีที่สุด มาเลเซียเขาก็ใช้ อินโดนีเซียเขาก็ใช้ ฮาวายเขาก็ใช้ ทุกแห่งที่ติดทะเลเขาใช้หมด เขาใช้เหมือนกันหมด 1 ใน 3 อันนี้ ปรากฏว่าค่าคอมมิสชั่นมันน้อยก็เลยไปเลือกเอาอีกอันหนึ่งซึ่งมันให้ค่าคอมมิสชั่นเยอะ มันก็เหมือนกับเครื่องบินรัสเซีย SU ไงล่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง อีกเรื่องหนึ่งพูดให้ฟังนิดหนึ่งเป็นน้ำยาเพื่อที่จะเอามาเล่าให้ฟังในวันศุกร์หน้า วันที่ 23 พ่อแม่พี่น้องเวลาไปที่สนามบินเคยเห็นไหมบริการบนเครื่องบิน บริการอาหารขึ้นไปถ้าไม่ใช่ของการบินไทยเขาจะมีบริษัทกลาง ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำอาหารแล้วก็ป้อนให้กับสายการบินต่างๆ บริษัทนี้เขาเรียกว่า แท็กส์ (TAGS) Thai Airport Ground Service บริษัทนี้มันตลก การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยถือหุ้นอยู่ 28 เปอร์เซ็นต์ 28 เปอร์เซ็นต์นะ ที่เหลือถือหุ้นโดยบริษัทเครื่องบินต่างๆ หลายๆ สายมาร่วมกันถือ แล้วจู่ๆ พ่อแม่พี่น้อง คณะกรรมการบริษัทไม่ได้อนุมัติอะไรทั้งสิ้น กรรมการผู้จัดการสมุห์บัญชีไปมีมติจ้างบริษัทหนึ่งเป็นที่ปรึกษาแล้วก็โอนเงินออกไป 300 ล้านบาท ไปเข้าสิงคโปร์ เข้าสิงคโปร์แล้วต่อไปเข้าแหล่งที่เขาฝากเงินโดยไม่เผยชื่อว่าบริษัทนี้ใครเป็นผู้ถือหุ้น หายไปเลย 300 ล้านบาท แล้วจู่ๆ ก็มีกลุ่มคนกลุ่มคนหนึ่งมาขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนของแท็กส์โดยใช้เงิน 300 ล้านบาทนั่นมาซื้อ แล้วกลุ่มนั้นก็เป็นกลุ่มของเจ๊ที่อยู่ทางภาคเหนือ เดี๋ยวๆ ฟังให้ดีๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วบริษัทนี้ตอนนี้มีกลุ่มของเจ๊ถือหุ้นอยู่แล้วก็วิ่งเข้าไปรับงานที่สุวรรณภูมิ อ้างสิทธิของการที่การท่าอากาศยานถือหุ้นอยู่ 28 เปอร์เซ็นต์ ไปได้งานโดยที่ไม่ต้องประมูล ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายๆ บางเรื่องที่ผมจะพูดอยู่ อันนี้มีทีเด็ด ศุกร์หน้าจะเล่าให้ฟัง คือตอนนี้ผมมีปัญหา พ่อแม่พี่น้อง มีปัญหามาก อย่างที่กราบเรียนให้ทราบคราวที่แล้ว ข้อมูลมันไหลมาเทมา พูดอีก 5 ปี ก็ไม่หมด ต่อให้ลี้ภัยไปตายเมืองนอกก็ยังพูดไม่หมด มันเยอะเหลือเกิน

สโรชา - จาก 4 เป็น 7 เป็น 10 เป็น 20 ตอนนี้เท่าไรแล้ว สัก 30 กว่าได้แล้วไหมคะ

สนธิ - โอ้โฮ ส่งกันมาตลอดเวลา ไม่มีหยุด เดี๋ยวนี้เริ่มมีข้าราชการที่รักชาติ รักแผ่นดิน เริ่มกล้าที่จะเดินมาหาผม เอาข้อมูลมาให้ผม แล้วผมก็ถามบอกว่า "ทำไมต้องรอมาตั้งนานแล้วค่อยเอามาให้" เขาบอกว่า "ผมเห็นว่าคุณสนธิยังไม่ตาย" แล้วบอกว่า "เดิมทีผมไม่กล้าให้เพราะนึกว่าคุณสนธิไม่นานก็ตายแล้ว" ผมบอกว่า "ผมจะตายได้อย่างไรในเมื่อมีพ่อแม่พี่น้องนั่งอยู่ในนี้ จะตายได้อย่างไร"

สโรชา - ก่อนที่จะเริ่มเรื่องแรกนะคะ จริงๆ แล้วคุยกันมาหลายเรื่องแล้วนะคะ แต่ขอขายของก่อนนะคะ นิดหนึ่งๆ คือเรามีหนังสืออยากจะแนะนำให้ด้วยความจริงใจนะคะ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า "ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่พึ่งของคนไร้เส้น" หนังสือเล่มนี้จะบรรยายถึงเรื่องราวความ การใช้อำนาจอย่างผิดทาง และคนที่ถูกอำนาจคุกคามจะมีทางออกอย่างไรบ้าง นะคะ

สนธิ - คือจริงๆ แล้วพวกเราต้องรู้นะฮะ สิทธินี่พวกเรามี แต่พวกเราไม่เคยเข้าใจ ขอยืมหนังสือหน่อยฮะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยท่านวิชัย วิวิตเสวี ท่านประพันธ์ ทรัพย์แสง ท่านนิธิ ศรีนาราง ท่านชุมพิชา วิวิตเสวี ผู้พิพากษาทั้งสิ้น ท่านวิชัยนี่เป็น กต. คณะกรรมการตุลาการ ท่านประพันธ์ ทรัพย์แสง นี่เป็นประธานศาลฎีกาแผนกนักการเมือง ท่านกำลังบอกว่า มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้า หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น เป็นสิทธิของพวกเราหมดเลยนะ อย่าไปกลัว นะฮะ ชื่อว่า "ที่พึ่งของคนไร้เส้น" นะฮะ หนังสือราคาไม่แพงหรอกครับ ซื้อเก็บเอาไว้ที่บ้านก็ได้ ซื้อเก็บเอาไว้ที่บ้าน "ที่พึ่งของคนไร้เส้น" นะฮะ ดูให้ดีๆ ซื้อเก็บไว้ที่บ้านแล้วก็วันดีคืนดีโดนใครรังแกมา ลองพลิกดูซิ มันจะมีช่องทางที่เราสู้ได้ เราฟ้องได้ อย่างเต็มที่นะครับ

สโรชา - ค่ะ อีกเล่มหนึ่งที่อยากจะแนะนำคือ มีหลายๆ ท่านตั้งคำถามว่า กว่าเมืองไทยรายสัปดาห์จะมาถึงการสัญจรในครั้งนี้ เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น เป็นอย่างไร เหตุใดเราจึงมายืนอยู่ตรงนี้ เล่มนี้สามารถอธิบายได้ค่ะ "จากกัลยาณมิตร ถึงนายกทักษิณ ชินวัตร" เซี่ยงเส้าหลง เป็นคอลัมน์ที่ลงในผู้จัดการรายวัน นะคะ หลายๆ ท่านคงจะได้อ่าน เป็นการรวมเล่ม ซึ่งอ่านแล้วจะเห็นภาพรวมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในช่วงสักหลายเดือนที่ผ่านมานะคะ อันนี้ยังไม่วางแผงนะคะ เราขายที่นี่ นะคะ จะไปขายวางแผงจริงๆ แล้วคงอีกสักประมาณ 1-2 สัปดาห์ ที่นี่เราลดราคาเหลือ 180 นะคะ ราคาปก 220 นะคะ ถ้าเกิดว่าสนใจก็ฝากด้วย
อีกเรื่องหนึ่งคุณสนธิ ที่ค้างกันมาหลายสัปดาห์มาแล้ว เพราะว่าคุณสนธิเกริ่นไว้แล้วก็ยังไม่เล่าให้เราฟังสักที เรื่องราวของคุณทนง พิทยะ

สนธิ - เรื่องทนง พิทยะ เดี๋ยวๆๆๆ เล่าแน่ๆๆ แต่มันมีเรื่องค้างอยู่

สโรชา - มีหรือคะ

สนธิ - เรื่อง ผมเรียกว่าเงื้อค้าง คือถ้าพ่อแม่พี่น้อง ผมถึงบอกว่าพ่อแม่พี่น้องเวลาดูข่าวจากนี้ไป ให้หมั่นสังเกตสังกา แล้วจะรู้ข้อเท็จจริงหลายอย่าง เมื่อประมาณสักวันที่ 13 ธันวาคม ก็คือเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ท่านได้มีคำสั่งโอนงาน โอนงานสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ท่าน พล.อ.ชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วย ถูกมอบหมายให้ดูแลนั้น โอนมาให้ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ภูมิธรรม เวชยชัย เพื่อนรักพวกเรานะฮะ ปรากฏว่า พอตกค่ำ เซ็นไปแล้วนะ พอตกค่ำเรียกคำสั่ง วัน ดึกๆ คืนมาหมด เปลี่ยนคำสั่งใหม่ ให้กลับไปเป็น พล.อ.ชัยนันท์ เหมือนเดิม มันมีที่มาที่ไปเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ผมถึงจะบอกว่าท่านพ่อแม่พี่น้องเวลาดูข่าว มองอะไรต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง เหตุผลก็เพราะว่า พล.อ.ชัยนันท์ นั้นเป็นทหารช่าง ได้รับแต่งตั้งมาเพื่อที่จะมาเร่งงานสนามบินสุวรรณภูมิ เร่งให้เสร็จตามกำหนด เมื่อท่านมาอุปมาอุปไมยเหมือนท่านมางานเลี้ยง ปรากฏว่าเขากินกันเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านมีหน้าที่จะต้องล้างชาม

สโรชา -ว้าย

สนธิ - ท่านก็อึดอัดใจเพราะว่าชามที่ล้างนั้นมันแตก มันบิ่น ก็คือว่า งานที่เสร็จนั้นไม่สามารถรับมอบได้ เพราะว่าอุปกรณ์ที่มีอยู่นั้นมันต่ำกว่าคุณภาพ งานไม่เสร็จสมบูรณ์ หลายๆ อย่างมีปัญหา อย่างเช่น ลานบินรันเวย์ทางตะวันตกที่บอกว่าเสร็จตั้งแต่สิงหาคมนั้น อีกไม่นานนี้ก็จะโผล่มาแล้วว่าต้องรื้อใหม่หมด 30,000 ตารางเมตร รื้อผิวใหม่หมด 30,000 ตารางเมตร เพราะว่าที่เป็นซอกระหว่างรันเวย์ที่เขาจะเผื่อให้น้ำไหลมันเกิดใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ แล้วเวลาเครื่องบินขึ้นไอพ่นมันจะดูดเศษอะไรเข้าไปแล้วเครื่องบินมันระเบิด เหมือนเครื่องบินคองคอร์ดที่ระเบิดที่สนามบินปารีส

สโรชา - ค่ะ ใช่ค่ะ

สนธิ - ก็เพราะเหตุนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เลยไม่มีการเซ็นกันมันก็เลยทำให้ล่าช้า ทีนี้มาเฟียสนามบินกับนักการเมือง และบรรดาผู้รับเหมาเขากินโต๊ะจีนกันไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือว่า ให้มาเซ็นรับงาน ก็คือคุณชัยนันท์มาจะต้องมาล้างชามให้ จัดชามให้เสร็จเรียบร้อย คุณชัยนันท์มาดูแล้วบอกว่าชามที่กินเสร็จมันแตก มันร้าว ฉันคงรับประทานไม่ไหว เพราะแกเป็นทหารช่าง ข้อดีแกก็มี ปรากฏว่า หนึ่งในทีมคุณชัยนันท์นั้นมีความสนิทสนมกับท่านราชเลขา คือ นายอาสา สารสิน ก็เลยโทรศัพท์ไปบอกท่านราชเลขา บอกว่าที่เปลี่ยนทีมอันนี้ก็เพราะว่ามันมีการคอร์รัปชั่นทุจริตกันแล้วทีมผมไม่ยอมเซ็นรับ นายอาสา สารสิน ราชเลขา ก็โทรศัพท์ไปหานายวิษณุ เครืองาม นายวิษณุก็เลยโทรไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย ก็เลยเกิดอาการเงื้อค้าง เข้าใจไหม กลัวเพราะว่าในหลวงเพิ่งจะตรัสเมื่อวันที่ 4 คืนนั้นทันทีก็เลยรีบสลับกลับคืนไปเหมือนเดิม ก็คือว่า ให้ พล.อ.ชัยนันท์กลับมาดูสนามบินสุวรรณภูมิเหมือนเดิม แล้วให้นายภูมิธรรม มาดูเหมือนเดิมแต่ว่าเพิ่มให้นายภูมิธรรมเพิ่มเรื่องการขนส่งทางอากาศให้ ยกเว้นสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อกันข้อครหานินทา เห็นหรือยัง นี่คือเบื้องหลังทั้งหมด

สโรชา - เอ๊ะ แล้วคำสั่งนี้คือเรียกกลับเลยหรือคะ

สนธิ - เขาเรียกกลับ เขาอ้างว่า พนักงานพิมพ์ดีดพิมพ์ผิด งานเลี้ยงมันเสร็จไปแล้ว รับประทานกันไปเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เชิญ พล.อ.ชัยนันท์ ซึ่งเป็นคนซึ่งซื่อสัตย์มาจัดการล้างชามให้หน่อย พอมาถึงก็บอกว่า เอ๊ะเนื้อก็ไม่ได้กินหนังก็ไม่ได้รองนั่งแล้วยังทะลึ่งเอากระดูกมาแขวนคอ ไม่เอาดีกว่า นี่ยังมีเรื่องที่ยังรับงานไม่ได้อีกมากนะผมจะบอกให้รู้นะ สนามบินสุวรรณภูมิจะเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งสักวันหนึ่ง วันศุกร์ศุกร์หนึ่งให้พ่อแม่พี่น้องได้รู้ว่า ตั้งแต่ประเทศไทยมีมาไม่มีโครงการไหนที่ทุจริต คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวงมากเท่ากับสนามบินนี้ อย่างที่เคยมีข่าวมาตลอด เปอร์เซ็นต์การก่อสร้าง 20 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไอ้คนที่มันต้องจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ มันก็ลดของสิ ก็ต้องลดคุณภาพของของ เพราะฉะนั้นแล้วสนามบินสุวรรณภูมิ ผมเคยเรียนให้พ่อแม่พี่น้อง จำได้ไหมว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีต้องไปทำพิธีเปิดอย่างไม่เป็นทางการลงที่สุวรรณภูมิ ผมบอกว่า การที่นายกฯ เอาเครื่องไปลงตอนนั้นก็คือการไปช่วยผู้รับเหมา แสดงว่ามีการรับสนามบินแล้ว ก็คือรับลานบินแล้ว แล้วก็ไม่กล้าลงลานบินตะวันตกด้วยนะทั้งๆ ที่เสร็จแล้วนะ กลับไปลงอีกลานบินหนึ่งที่ยังไม่เสร็จ เห็นไหม แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่าปัญหามี เมื่อลงไปแล้วก็แปลว่าผู้รับเหมาซึ่งทำลานบินตรงนั้นก็ไม่ต้องส่งมอบแล้ว ถือว่าส่งมอบไปแล้วเรียบร้อย เพราะว่าถ้าคุณเอาเครื่องบินลงก็ถือว่าผมทำงานเสร็จแล้ว เห็นหรือยัง คือวิชามารพวกนี้มันเยอะมาก แล้วเดี๋ยวจะเล่าต่อว่ามีวิชามารอะไร

สโรชา - คือมันมีหลายส่วน ส่วนของการเซ็นรับมอบว่าของไม่มีคุณภาพนั่นก็ส่วนหนึ่ง ส่วนค่าปรับก็อีกส่วนหนึ่ง

สนธิ - ค่าปรับ เพราะว่าทำไมรู้ไหม เพราะว่า พล.อ.ชัยนันท์ เขาจะเริ่มปรับ 2-3 บริษัท วันละ 2.5 ล้านบาท เพราะทำงานไม่เสร็จ วันละนะ เสร็จแล้วพอสิ้นธันวาจะเพิ่มค่าปรับเป็นวันละ 5 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วผู้รับเหมาถึงต้องเตะ พล.อ.ชัยนันท์ ออกไป นั่นคือที่มาของคำสั่งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม เมื่อวันอังคารนี้ ที่จู่ๆ ก็โยกย้ายทันทีเลยโดยไม่มีเหตุผล เห็นหรือยัง เห็นความเลวของรัฐบาลชุดนี้หรือยัง แล้วมาบอก มีหน้ามาพูดว่า เขาถอยแล้วก้าวหนึ่ง ผมถอยบ้าง ผมถอยได้อย่างไรล่ะ

สโรชา - คงจะเห็นว่าไม่ถอยนะคะ ค่อนข้างชัดเจน

สนธิ - ไม่ถอย

สโรชา - คุณสนธิพูดถึงเรื่องคุณภูมิธรรม ก็มีหลายท่านก็ตั้งใจฟังอยู่ แต่ว่าทางคุณภูมิธรรม ท่านดู เดิมทีก่อนที่จะมีการรับมอบหมายหน้าที่ใหม่ ท่านดูทางด้านขนส่งทางน้ำมาเป็นหลัก ถูกไหมคะ แต่หลังจากคำสั่งอันใหม่ของกระทรวงคมนาคมออกมาแล้ว ท่านกลับได้มาดูทั้งทางน้ำและทางอากาศ เว้นแต่สนามบินสุวรรณภูมิ

สนธิ - คือผมจะเล่าภาพรวมให้ฟัง ธุรกิจที่เขาต้องการจะฮุบ มีดังต่อไปนี้ ธุรกิจแรกคือธุรกิจพลังงาน พลังงานทราบอยู่ ที่เล่าให้ฟัง ปตท. กฟผ. หลายอย่าง ธุรกิจที่สองที่ต้องการจะฮุบ คือธุรกิจขนส่งทางอากาศ หรือธุรกิจที่เขาเรียกว่า "ธุรกิจลอจิสติกส์" พ่อแม่พี่น้องที่ไม่เข้าใจคำว่า "ลอจิสติกส์" หมายความว่า เป็นระบบของการขนส่ง

สโรชา - ขนส่งลำเลียง

สนธิ - ระบบขนส่งลำเลียงนะฮะ เหมือนกับว่า ใครก็ตามเป็นเจ้าของระบบขนส่งลำเลียง รถบรรทุก มีรถบรรทุกสิบล้ออยู่ 500 อยู่ 2,000 คันทั่วประเทศไทย สามารถจะส่งของจากกรุงเทพฯ แจกไว้ในทุกจังหวัด แล้วผูกขาดอยู่แต่ผู้เดียว คนๆ นี้ก็สามารถที่จะกำหนดราคาขนส่งได้ นั่นคือทางอากาศ อีกอันหนึ่งคือธุรกิจลอจิสติกส์ ขนส่งลำเลียงทางน้ำ ก็คือทะเล ใช่ไหมฮะ เห็นหรือยังฮะ พลังงาน ธุรกิจขนส่งลำเลียง โทรคมนาคม นะฮะ แล้วก็สถาบันการเงิน นะฮะ ผมเคยพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ทั้งหมดที่ทำนี้ ไม่ได้ทำเพื่อสังคม ไม่ได้ทำเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน จำได้ไหมผมพูด แล้วเดี๋ยวผมจะชี้ให้ดู ว่าทำไมถึงไม่มีโอกาสเท่าเทียมกัน ที่นั่งกันอยู่นี่ ทั้งหนุ่มๆ แน่นๆ หรือว่าที่แก่ๆ เหมือนผมแล้วมีลูกมีหลาน ลูกหลานเรา พวกเรา จะไม่มีโอกาสได้ใช้ความสามารถของเราเพื่อแข่งขัน มันไม่ใช่แฟร์เกมส์ มันเป็นเกมของการโกง เป็นเกมของการผูกขาด เป็นเกมของการที่ทำให้พวกเราต้องเป็นข้าทาสของลูกหลานพวกเขาตลอดชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมต่อสู้มาตลอด
ทีนี้ คุณสโรชา ผมขอพูดถึงคุณภูมิธรรม เวชยชัย หน่อย ผมหวังว่าคุณภูมิธรรมจะอยู่และฟัง และผมอยากให้ฟ้องผมด้วย อยากให้ฟ้อง คุณภูมิธรรมคนนี้ จำได้ไหมพ่อแม่พี่น้อง ที่มาสอนผมเรื่องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตัวเองสมัยก่อนเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่มีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้างชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่วันนี้ทะลึ่งมาสอนผมเรื่องประชาธิปไตย ว่าผมไม่เข้าใจประชาธิปไตย เอาล่ะ ผมจะสรุป พยายามอธิบายเรื่องยากๆ ให้มันง่ายๆ ประเทศไทยมีรัฐวิสาหกิจหลายอัน อันหนึ่งซึ่งมี เขาเรียกว่าบริษัท บทด. บริษัท ไทยเดินเรือ บริษัทไทยเดินเรือ นั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ มีการขาดทุน กำไรเล็กน้อย ขาดทุนบ้าง ไม่มีใครสนใจบริษัทบ้านี่เลย ไม่มี ไม่มี เพราะว่าเป็นบริษัทซึ่งเรือตัวเองก็ไม่มี ต้องไปเช่าเรือเขา แล้วก็รับจ้างส่งสินค้า ส่งสินค้าบ้าง รับสินค้ามาบ้าง พยายามแปรรูปมา 18 ปี

สโรชา - 18 ปี

สนธิ - 18 ปี ไม่มีใครสนใจ จู่ๆ เกิดมีคนสมองใสขึ้นมา สมองใส มาคิดที่จะแปรรูปเมื่อประมาณปีที่แล้ว 2547 โดยบอกว่า เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นตั้งนโยบายแปรรูปบริษัท ไทยเดินเรือ มาก็แล้วกัน ฟังให้ดีๆ วิธีแปรรูปเขา มติ ครม.มีบอกว่า ไอ้บริษัทนี้ให้บริษัทอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัท 23 บริษัทเดินเรือเข้ามาถือหุ้น 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์นั้นจะต้องเป็นบริษัทไทยเดินเรือเป็นคนถือหุ้นอยู่ในมูลค่า 200 ล้าน อีก 70 เปอร์เซ็นต์ มาถือหุ้นอยู่ในมูลค่าประมาณ 600 กว่าล้าน แต่ 600 กว่าล้านให้จ่ายก่อนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จเงินที่ลงประมาณ 90 กว่าล้านเอง แต่ที่น่าสนใจน่าสนใจตรงไหนรู้ไหม น่าสนใจตรงที่ว่า เมื่อแปรรูปแล้วเขาก็จะเอามติ ครม. เอาการเมืองไปคุยกับ ปตท. แล้วให้ ปตท.โอนการขนส่งน้ำมันที่ ปตท.ทำอยู่มาให้บริษัทนี้ทำ คำถามก็มีอยู่ว่า ถ้าแกสามารถจะทำอย่างนี้ได้กับเอกชนเข้ามาทำ ทำไมแกไม่ให้บริษัท ไทยเดินเรือ ทำตั้งแต่ต้นล่ะ เห็นหรือยัง เข้าหลักเดียวกันกับ ปตท. เห็นหรือยัง ว่าถ้ามันกำไรแบบนี้ทำไมไม่ใช้แต่ต้น เขาบอกว่า เขาจะให้ทำแค่ 5 ปี ให้บริษัทนี้ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะออกไปแข่งขันต่อในต่างประเทศ ผมก็ถามกลับ แสดงว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่เข้ามาถือหุ้นมันมาพึ่งพิงอิงแอบอาศัยสิทธิของรัฐวิสาหกิจ บริษัท ไทยเดินเรือ เพื่อให้ได้สิทธิ์ของการขนส่งน้ำมันที่ผูกขาดมาใช่ไม่ใช่ เห็นหรือยัง นี่คือวิธีการทำมาหากินในหมู่พรรคพวกตัวเอง เข้าใจหรือยัง ทีนี้ที่น่าสนใจว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือใครถือหุ้นบ้าง ใครถือหุ้นบ้าง ปรากฏว่าดูไปดูมามันมีคนอยู่หลายๆ คนที่น่าสนใจ มีบริษัทหนึ่งที่ถือหุ้นอยู่ ชื่อบริษัท คุณนที เขาเอาเรือมาลงทุน คิดเป็นจำนวนหุ้น 41 เปอร์เซ็นต์ ปรากฏที่น่าสนใจคือ ดูไปดูมาบริษัทคุณนทีนั้นเป็นกลุ่มของไทยรักไทยทั้งสิ้น โดยมีเพื่อนๆ ของคุณภูมิธรรม เวชยชัย เป็นหลักอยู่ เป็นหลักอยู่ บริษัทคุณนที น่าสนใจมาก บริษัทคุณนที รับไปเนื้อๆ เลย เขามีใครบ้างถือหุ้นในนี้ ผมจะอ่านให้ฟัง อ่านแล้วอย่าตกใจ คนแรกคือ นายชูรัตน์ เลาหพงศ์ชนะ

สโรชา - เอ๊ะนามสกุลคุ้นๆ

สนธิ - เป็นเครือญาติกับนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รมช.พาณิชย์ บริษัทที่สอง คือบริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด ซึ่งตระกูลเลาหพงศ์ชนะถือหุ้นอยู่ประมาณ 3.3 แสนหุ้น และที่สำคัญก็คือว่า กรรมการบริษัท เจ้าพระยาประกันภัย ซึ่งถือหุ้นอยู่ในบริษัทคุณนทีอันนี้ ชื่อ คุณสุนิสา ปฐมพฤกษ์ คุณสุนิสาเป็นใคร เป็นกรรมการบริษัท เอ็มลิงก์ บริษัท เอ็มลิงก์ ของใคร คือของพี่แป๋วที่ใช้ ซี 130 ไง

สโรชา - แหมชื่อคุ้นๆ กันทั้งนั้น

สนธิ - อีกคนคือ คุณสมบูรณ์ สิมะแสงยากรณ์ คุณสมบูรณ์ สิมะแสงยากรณ์ เป็นใคร น่าเกลียดที่สุด ปัจจุบันตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา รมช.คมนาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีแล้วมาถือหุ้นในบริษัทนี้แล้วใช้สิทธิ์ของ อำนาจของ รมช.คมนาคม ในการเข้ามาถือหุ้นอยู่ในบริษัทซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นไปได้อย่างไร เห็นหรือยัง นี่ยิ่งกว่าปล้นกลางแดด ยังมีอีกพ่อแม่พี่น้อง มีชื่อคุณสวาย อุดมเจริญชัย ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจที่ร่วมทำกับตระกูลเลาหพงศ์ชนะ มานานวัน ในอดีตเคยเป็นคนเดือนตุลา มีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย คนเดือนตุลาที่ดีก็มาก ที่เลวก็ไม่น้อย เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปเชื่อว่าไอ้คนเดือนตุลามันจะดีไปทุกคน อีกคนคือคุณเมธี เกียรติก้องขจร เป็นที่ปรึกษาคุณภูมิธรรม เวชยชัย เป็นกรรมการบริษัท ไทยเดินเรือ เพราะฉะนั้นแล้ว พอเราฟังเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเราจะเห็นได้ชัดเลยว่า นี่คือการกินโต๊ะจีนทางการเมืองเขา เอาสมบัติของชาติมานั่งเฉลี่ยแล้วก็เผื่อแผ่ให้เขารับประทานกัน ผมถามคนขับแท็กซี่ ผมถามบอกว่า พี่เขาอายุมากกว่าผม เขาอายุมากกว่าผม แก่ชราแล้ว บอกพี่ขับแท็กซี่มากี่ปี บอก 20 ปี วันนี้กลับบ้านแล้วมีเงินเหลือกลับบ้านเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้วที่มีเหลือกลับบ้านอันไหนดีกว่ากัน เขาบอกว่าสมัยก่อนมีเงินเหลือกลับเยอะยังส่งลูกเรียนหนังสือได้ สมัยนี้แค่ส่งค่ารถอย่างเดียวยังแทบจะไม่พอวันๆ แล้วนี้หรือคนจนจะหายไปใน 4 ปี 6 ปี เพราะฉะนั้นแล้วสั้นๆ ว่าบริษัท ไทยเดินเรือ เห็นได้ชัด พิสูจน์ได้ชัดว่านี่คือการเอาสิทธิของความเป็นรัฐวิสาหกิจมาผ่องถ่ายให้พวกตัวเอง แล้วการผ่องถ่ายให้พวกตัวเองนั้นก็จะใช้เส้นสายทางการเมืองเพื่อไปคุยกับ ปตท. โดยผ่านนายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการพลังงาน เพื่อให้ ปตท.นั้นโอนสิทธิในการขนส่งน้ำมันผูกขาดมาให้บริษัทนี้ผูกขาด ไอ้คิดค้าขายแบบนี้ พวกเราก็คิดเป็นไม่ใช่เหรอ ใช่ไหม แต่เพียงแต่พวกเรามีอยู่ 2 อย่าง คือ 1. ไม่คิดชั่วๆ แบบนั้น 2. ยังมีหิริโอตัปปะหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ตัวอย่างหนึ่ง

สโรชา - ค่ะ ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้นนะคะ สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลายๆ เรื่อง นำมาพูดคุยกันในรายการ เราก็จะถูกมองว่า เอ๊ะ จ้องจับผิดหรือเปล่า เพียงแต่ว่านำความจริงมาพูดกันเท่านั้นเอง

สนธิ - เขาไม่เคยตอบเรานะ

สโรชา - ไม่เคย

สนธิ - ซี 130 ก็ไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวน เห็นไหม ซี 130 ไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวน เอสยู เครื่องบิน ซู ก็ไม่มีการออกมาแถลงอะไรให้ชัด มีแต่ออกมาพูดบอกว่า คนอย่างผม อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนั้น พูดอยู่ตลอดเวลา พูดไปเยอะๆ นะคุณคงศักดิ์ แล้วอาทิตย์หน้าผมจะมีเรื่องใหม่ของคุณมาอีก


**********************************



สโรชา- ใจคอจะให้หลายๆ ท่านอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นอาทิตย์ๆ ไปใช่ไหมคะ

สนธิ- คุณทนง ใช่ไหม คุณทนงนี่ ทนง พิทยะ นี่นามสกุลเดิมนี่ “ลำไย”

สโรชา- ว้าย

สนธิ- ชื่อ ทนง ลำไย

สโรชา- ไม่ผิดๆ ชื่อลำไยไม่ผิด

สนธิ- ไม่ๆๆ ทนง ลำไย ทีนี้เป็นคนสุพรรณฯ เกิด เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง เรียนรุ่นเดียวกับผม อัสสัมชัญ ศรีราชา รุ่น 18

สโรชา- ทราบไหมคะว่าทำไมถึงเปลี่ยนนามสกุล

สนธิ- หา

สโรชา- ทราบไหมคะว่าทำไมถึงเปลี่ยนนามสกุล

สนธิ- ก็ผมรู้จักมาตั้งแต่สมัยมันนามสกุลลำไยอ่ะ ใช่ไหม ปรากฏว่า เป็นคนสุพรรณฯ พอเข้ามาโด่งดัง เหมือนคล้ายๆ สาวสวนแตง เข้ามาในเมืองหลวงแล้วก็โด่งดังขึ้นมา เกิดอาการอะไรไม่รู้ มีความรู้สึกว่าลำไยนั้นมันไม่เพราะ ก็เลยไปขอเปลี่ยนนามสกุลเป็นพิทยะ นะ คุณทนงนี่เพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ บอกว่าไม่รู้ว่าผมจะพูดเรื่องอะไร เพราะว่าเขาบอกว่าเขาเป็นคนพูดไม่เก่ง คือเขามาบอกว่าผมนี่พูดเก่ง งั้นผมพูดอะไรก็ได้ เสร็จแล้วเขาบอกว่า ขอกันกินมากกว่านั้น ก็เลยอยากจะกราบเรียนเพื่อนรักว่า ชีวิตผมไม่เคยขอคุณกิน มีแต่คุณเคยขอผมกิน ทีนี้ที่ต้องเช็กบิลคุณทนง พิทยะ ถ้าคุณอยากจะรู้เรื่องว่าทำไมผมถึงต้องพูดถึงเรื่องคุณ ก็เพราะว่าคุณรับใช้นายกฯ ทักษิณดีมาก นายกฯ ทักษิณท่านสั่งให้บรรดาพวกที่รู้จักสนิทกับผม อยู่ในรัฐบาล ให้ออกมาด่าผม เหมือนกับว่า แม้กระทั่งเพื่อนสนิทกันยังด่าเลย มีคนเดียวที่ยังไม่กล้าสักแอะหนึ่ง ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังเก็บเงียบอยู่ ไม่กล้า ไม่กล้าเพราะว่าอาจจะรู้ว่าผมใช้มวยวัดป่าบ้านตาด สวนแล้วยังแถมให้

สโรชา- เรามี

สนธิ- คุณทนง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน อ้าว คุณจะพูดอะไร

สโรชา- จะบอกว่าเรามีวีทีอาร์ คุณสนธิเคยพูดเรื่องคุณทนงมาก่อนครั้งหนึ่ง 11 วัน อันตราย ตอนนั้นช่วงลดค่าเงินบาท

สนธิ- ใช่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 คุณทนงไปพูดในระหว่างการมอบนโยบายข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ในการประชุมคลังสัญจร ที่ จ.เชียงราย เขาพูดยังไงรู้ไหม เขาพูดบอกว่า ที่น่าห่วงคือกระแสข่าวเล็กๆ น้อยๆ ที่มีบุคคลบางกลุ่มสร้างขึ้นเพื่อสั่นคลอนความเชื่อมั่นของรัฐบาล โดยอาศัยนิสัยเบื่อง่ายของปัญญาชนไทย นี่ พวกนี้เบื่อง่ายทั้งนั้น (ชี้คนดู) มาปลุกระดมกระแสเอาชนะทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว ด้วยการสร้างจิตวิทยามวลชน เพราะไม่ว่าจะพูดถูกหรือผิดคนจะฟัง เพราะฟังแล้วเกิดความมันสะใจ ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาได้ แม้จะพูดซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งการสร้างกระแสของกลุ่มบุคคลดังกล่าวน่าเป็นห่วงมาก เนี่ยะพ่อแม่พี่น้องเขาด่าผม แล้วเขาบอกพ่อแม่พี่น้องเป็นคนซึ่งเชื่อง่าย เป็นคนโง่ เพราะว่าพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังเชื่อ ผมก็เลยบอกว่า จำทีจะต้องพิฆาตเพื่อนให้ถึงสิ้นชีพตักษัยเสียที ไม่เป็นไรคุณทนง ผมเองก็ไม่อยากพบคุณเท่าไหร่อายุมันมากแล้ว เวลาในโลกนี้มันเหลือน้อย คบคนให้น้อยลงจะดีกว่า เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้ในภาษาบู๊เขาเรียกว่า เอากระบี่ตัดชายเสื้อกัน ก็คือ ให้ขาดซึ่งกันและกันไปเลย มาดูวีทีอาร์ที่ผมเคยพูดถึงคุณทนงครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่เท่าไหร่นะ

สโรชา - 28 มกราฯ 48 นี่ค่ะ

สนธิ - 28 มกราคม 2548 ในรายการ

(เทปเก่า)

สนธิ - สั้นๆ เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องที่เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งได้รับทราบเอาไว้ ในปลายเดือนมิถุนายม พ.ศ.2540 เป็นช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ในภาวการณ์การตัดสินใจว่าจะต้องลดค่าเงินบาท จาก 1 ดอลลาร์ 25 บาท จะเป็นเท่าไหร่ก็ว่ากันไป เพราะว่าถูกโจมตีค่าเงินบาทมาก คนที่รู้เรื่องนี้ คือ หนึ่ง คณะกรรมการพิจารณาว่าค่าเงินบาทควรจะลดหรือไม่ คนนั้นประธานคณะกรรมการชื่อ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ในยุคนั้นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อ นายเริงชัย มะระกานนท์ จำไว้นะครับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคนั้นที่เพิ่งเข้ามาก็คือ นายทนง พิทยะ แล้วนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีอีกคนหนึ่งซึ่งรู้ ก็คือ นายโภคิน พลกุล อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็มี จำเอาไว้นะครับตัวละคร 5 ตัว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี โภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่รู้ว่ามีบทบาทหน้าที่อะไรที่จะต้องเข้าประชุมเพื่อรับรู้การลดค่าเงินบาท สาม นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สี่ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ และ ห้า นายเริงชัย มะระกานนท์ จำเอาไว้นะ 5 คนนี้นะ เอาละตามผมมา คุณทนงเขาจะพูดตลอดเวลา เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะว่าเขาขี้เกียจจะมาตอบปัญหาว่า 11 วันนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณไม่ตอบไม่เป็นไรเพราะว่าคุณก็ต้องตายไปกับมัน ชีวิตนี้เพราะว่าคุณไม่มีวันตอบได้แน่นอน 11 วันนั้นคืออะไร เพราะคุณตอบเท่าไหร่ผมคิดว่าสิ่งแวดล้อมมันทำให้คนเชื่อได้ว่าคุณต้องรับรู้ในเรื่อง 11 วันนั้น ฟังให้ดีๆ คุณทนง ก่อนที่จะเข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นทำงานอยู่บริษัท ชินวัตร ทำงานเรื่องการเงิน เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเหตุการณ์ของการ การลดค่าเงินบาทพ่อแม่พี่น้องต้องเข้าใจมันปริบตาเดียวรวยแล้วก็จนได้ทันที คือถ้ารู้ว่าเงินบาทต้องลดใช่ไหมครับ จาก 25 บาท เป็น 30 บาท ก็รีบเอาเงินบาทที่มีอยู่ไปซื้อดอลลาร์ในราคา 25 บาทไว้ก่อน พอพรุ่งนี้มันเป็น 30 ก็ขายดอลลาร์ทิ้ง ก็กำไรดอลลาร์ละ 5 บาท เข้าใจนะครับง่ายๆ อย่างนี้ พ่อแม่พี่น้องที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ ผมลืมบอกไป เมื่อกี้ดูภาพเก่าๆ แล้ว

สโรชา - ทำไมคะ

สนธิ - ตอนนี้คุณแก่ไปเยอะนะคุณแอ้ม ทีนี้เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างนี้ วิธีหนึ่งก็คือว่า คนที่รู้ข้อมูลภายในข้อที่หนึ่ง ก็สามารถจะกู้เงินธนาคารแล้วสั่งซื้อดอลลาร์ไว้ได้ วิธีซื้อดอลลาร์ไม่ต้องซื้อ 25 บาท ซื้อเต็ม 25 บาท เขาเรียกว่าซื้อโดยใช้มาร์จิน เหมือนคนเล่นหุ้น จ่าย 25 เปอร์เซ็นต์ก็ซื้อได้ 1 ดอลลาร์ ก็คืออาจจะจ่ายแค่ 5 บาท ซื้อดอลลาร์ในมูลค่า 25 บาท ซื้อเก็บ ซื้อเก็บ ซื้อเก็บ หรือว่าสอง ถ้าไปกู้เงินต่างชาติ บริษัทตัวเองกู้เงินต่างชาติเอาไว้แล้วสามารถที่จะประกันความเสี่ยง คือว่ารู้ว่าดอลลาร์จะต้องแข็งแล้วบาทจะต้องตก ก็จ่ายค่าประกันความเสี่ยงเอาไว้ ก็คือดอลลาร์จะแข็งบาทจะตกแค่ไหนก็จ่ายคืนเท่าเดิม นั่นคือการประกันความเสี่ยง สาม สั่งสินค้าเข้ามาสต๊อกเอาไว้เยอะๆ ในราคาดอลลาร์ละ 25 บาท เพราะฉะนั้น 3 วิธีคือ 3 วิธีของการที่จะกำไรจากตรงนี้ เข้าใจใช่ไหมฮะ ทีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า วันที่เมื่อมีการประชุมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันมีช่วง 11 วัน ที่ตัดสินใจกันแล้วว่าจะต้องลดค่าเงินบาท 3-4 คนที่ผมเอ่ยชื่อนี่รู้หมด รู้หมด ปรากฏว่า พอลดค่าเงินบาทปังปั๊บ ทุกบริษัทเจ๊งหมด ยกเว้นบริษัทของท่านนายกฯ ไม่เจ๊ง เพราะท่านป้องกันตัวเองไว้หมดแล้ว เรียบร้อยหมด เอาล่ะ ท่านบอกว่าท่านรู้ ท่านดูออก ผมก็ถามว่าดูออกได้อย่างไร บุคคลภายนอกไม่มีวันจะรู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่า ทุนสำรองของประเทศตอนนั้นเหลืออยู่เท่าไร ไม่มีใครรู้ ขนาด พล.อ.ชวลิต พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส่งทีมไปเจรจาขอกู้เงินที่จีน เพื่อเอามาช่วยเรื่องดอลลาร์ไม่มี จะเอาอะไรที่จีน ผู้ว่าแบงก์ชาติจีนเขาถาม จะเอาอะไรที่แบงก์ชาติ ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นคุณศิริ การเจริญดี คุณศิริบอกว่า เงินสำรองระหว่างประเทศเป็นความลับ บอกให้ใครทราบไม่ได้ ใช่ไหม ขนาดนี้เขายังไม่บอกกัน แล้วผมถามว่าคนนอกจะไปรู้ได้อย่างไร เงินสำรองประเทศเหลือเท่าไร เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นแล้วการที่รู้ว่าเงินบาทจะต้องตก เพราะว่าจะต้องมีการลดนั้น ก็คือการเอาข้อมูลที่ตัดสินใจกันไปเรียบร้อยแล้ว ภายใน 11 วันนั้นล่ะ เอาไปกระซิบบอกคนโน้นที บอกคนนั้นที บอกคนนี้ที ก็ถามต่อ งานนี้บริษัทชินวัตรไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นพ่อค้า ผิดคืออีกาคาบข่าว ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ คุณไม่ต้องมาฟ้องผมนะชินวัตร เพราะผมไม่ได้ว่าคุณผิด เพราะคุณเป็นพ่อค้า คุณย่อมมีความโลภ โลภ มีโลภมาก โลภน้อย โลภไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนคุณจะอยู่ในหัวข้อไหน ก็ คุณเลือกเอาเอง เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นมา เมื่อเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นมา ก็เลยมีคำถามถามว่า ถ้าอย่างนั้นใครเอ่ยที่มีโอกาสที่จะไปแจ้งให้บริษัทชินวัตร หรือบริษัทหลายบริษัท รู้ว่า จะมีการลดค่าเงินบาท ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว หนีไม่พ้นที่ต้องตั้งข้อสงสัยที่คุณทนง พิทยะ ก่อน นี่ผมพูดไปเลย ผมไม่ได้กล่าวหาท่านนะ บอก มีความเป็นไปได้ เนื่องจากความใกล้ชิดสนิทสนมดั้งเดิมที่ท่านทำมาค้าขายกับเขามา และท่านได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตอนนั้น หลังจากที่ ดร.อำนวย ลาออกไป ก็เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปบอก พล.อ.ชวลิต ให้ตั้งทนง พิทยะ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
อีกข้อหนึ่งที่ต้องพูดกัน เงินบาทพอร่วงปั๊บในครั้งแรก ตกจาก 25 บาท เหลือ 28 บาท วันนั้นใครเล่นเงินบาทก็สามารถจะขายทิ้งไปได้ กำไร 3 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ แต่มีคนบางคนยังโลภ บอกว่าเงินบาทตก 28 บาท กำไร 3 บาท มันน้อยไป เพราะว่าซื้อดอลลาร์เก็บเอาไว้เยอะ แล้วทำอย่างไรจะให้บาทมันตกมากกว่านั้นล่ะ คุณสโรชา

สโรชา - ทำไงคะ

สนธิ- ก็สั่งปิดไฟแนนซ์มัน 56 แห่งสิ เห็นหรือยัง ไปดูวัน ว. เวลา น. เข้าใจใช่ไหมฮะ วัน ว. เวลา น. ของเงินบาทที่ตกครั้งแรก แล้วผ่านไปอีกไม่นาน มีการปิดไฟแนนซ์ พอปิดไฟแนนซ์ปัง จาก 28 บาท เป็น 37 บาททันทีเลย 12 บาท 12 บาท ซื้ออยู่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อมาร์จินนี่นะ ซื้อไว้ 100,000 ล้านบาท ก็กำไร 30,000 กว่าล้านบาท นี่คือการร่ำรวยขึ้นมาบนซากศพของคนไทย คุณทนงคุณต้องตอบคำถามนี้จนกระทั่งคุณเกิดชาติหน้าแล้วตายไปอีก 10 ชาติคุณยังต้องตอบคำถามนี้ต่อไป เห็นหรือยัง ผมไม่รู้ว่าคุณไปบอกหรือเปล่า แต่การกระทำแบบนี้ การปิดไฟแนนซ์เพื่อบีบให้ราคาเงินดอลลาร์ตกไปนี้เป็นวิธีการที่ชั่วร้ายที่สุด เอาละถ้าอย่างนั้นแล้วกันเพื่อความสบายใจ พ่อแม่พี่น้องจำได้ไหมผมบอกว่าผมจะยื่นจดหมายผมยื่นไปแล้วนะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมยื่นไปที่สำนักงานสลากกินแบ่งชาติ ขอทราบรายได้ของสลากในกรณีพิเศษที่ไม่ใช่สลากกินแบ่งปกติ ที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ารัฐ ผมอยากจะทราบว่ารายได้เท่าไหร่ แล้วใช้จ่ายไปเท่าไหร่ ยื่นไปแล้ว อันที่สอง ผมยื่นไปแล้ว ก็คือผมยื่นไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีขอทราบ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเงินบริจาคสึนามิ 780 ล้านนั้นอยู่ที่ไหนแล้วจ่ายอะไรไปให้ใคร เรื่องที่สอง ผมขอทราบว่า เครื่องบินไทยคู่ฟ้านั้นตั้งแต่ซื้อมาบินไปไหน เที่ยวที่เท่าไหร่ กี่เที่ยว และก็มีใครนั่งบ้าง แล้วผมก็ยื่นเพิ่มไปที่บริษัทวิทยุการบิน เพื่อขอไฟลต์ของไทยคู่ฟ้าว่า เพราะทุกครั้งเครื่องบินจะขึ้นต้องแจ้งวิทยุการบินว่าจะไปไหน แล้วผมก็ยื่นอีกฉบับหนึ่งไปที่การท่าอากาศยานเพราะขอรายชื่อผู้โดยสารเครื่องบินไทยคู่ฟ้า ผมทำไปแล้วนะ ผมยื่นไปแล้ว เขาก็ให้คุณสุรนันทน์ เวชชาชีวะ มารับ เสร็จแล้วคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงโอนการท่าอากาศยาน สนามบินอะไรหลายๆ อย่างเรื่องอากาศให้คุณภูมิธรรมเป็นคนดูแล เอาละผมจะยื่นจดหมายอาทิตย์หน้าใหม่ ผมจะยื่นไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ผมจะยื่นดังต่อไปนี้ ข้อที่หนึ่ง ผมจะถามว่าใคร และเวลาใดที่มีการซื้อเงินตราต่างประเทศ หรือทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ทั้งในช่วงก่อนลอยค่าเงินบาท และก่อนผิดสถาบันการเงินชั่วคราว 56 แห่ง ผมขอทราบข้อมูลนี้ก่อนว่าใครบ้างซื้อ ข้อที่สอง ผมจะถามว่า ใครและเวลาใดที่คืนเงินกู้ต่างประเทศก่อนกำหนด หรือทำสัญญาคุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของเงินกู้ทั้งในช่วงก่อนลอยค่าเงินบาท และก่อนปิดสถาบันการเงิน 58 แห่ง ข้อที่สาม ผมจะถามว่า ใครและเวลาใดที่ถอนเงินบาทเป็นเงินสดเกิน 10 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 ถึง มีนาคม 2541 รู้ไหมทำไมผมถึงถามอย่างนี้ เพราะในช่วงนั้นมีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่หิ้วเงินออกจากเมืองไทย เงินไทยเป็นสิบๆ ล้านบาท เอาไปให้ฝรั่งเพื่อโจมตีค่าเงินบาท เอาไปจ่ายฝรั่งซึ่งฝรั่งไม่มีเงินบาทอยู่ในมือ เข้าใจไหม

สโรชา - ค่ะ

สนธิ - ขนออกไป เหมือนขนครั้งนี้เหมือนกัน ขนไป ขนไปสิงคโปร์แต่ไปฝากไว้ที่สิงคโปร์ ไม่เหมือนกันแล้วนะ ข้อที่สี่ ใครและเวลาใดที่สั่งซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมาตุนมากผิดปกติเพื่อเก็งกำไรทั้งก่อนลอยค่าเงินบาท และก่อนปิดสถาบันการเงิน 58 แห่ง ข้อห้า ใครและเวลาใดที่ทำสัญญาสวอปทั้งในช่วงเวลาก่อนลอยค่าเงินบาท และก่อนปิดสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราวทั้ง 58 แห่ง ผมอยากจะถามตรงนี้ ผมจะยื่นวันจันทร์นี้แล้วเชื่อผมไหม ไม่ให้หรอก ไม่ให้หรอกคุณสโรชา

สโรชา - แล้วคำถามชุดแรกนี่ก็ยังไม่มีคำตอบ

สนธิ - ไม่มี มันจะมีคำตอบได้อย่างไรในเมื่อผมถามไปที่กล่องดวงใจ จะมีคำตอบได้อย่างไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแล้วตาดูฟ้าเท้าติดดินอย่าไปนึกว่าเก่ง อย่าไปนึกว่าเก่ง ผมจะบอกพ่อแม่พี่น้องให้ ใครก็ตามทำธุรกิจที่ผูกขาด แล้วขายอากาศนาทีละ 3 บาท ไม่รวยให้มันรู้ไปสิ แล้วไปบอกว่าเก่ง ผมไม่เห็นเก่งตรงไหนเลย แน่จริงมาจัดเมืองไทยรายสัปดาห์แข่งกับผมสิ

สโรชา - เดี๋ยวเราพักกันก่อนดีไหมคะ

สนธิ - จะดูโฆษณาหรือเปล่า

สโรชา - คือมีข่าวดีเพราะว่า คือคราวที่แล้วเขาพอใจมาก เขาพอใจมากจนกระทั่งมีการสั่งให้ทำอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง พี่สำราญ เมื่อสักครู่นี้พูดถึงเรื่องฟ้อง จริงๆ แล้วเข้าใจผิดนะคะ เราไม่ได้พูดใครอื่นใดทั้งสิ้นเราพูดถึงธนาคารอมสินนะคะ อมสินนะคะไม่ใช่อย่างอื่น กรุณาเข้าใจให้ถูกต้อง ไปดูสปอนเซอร์รายใหญ่ของเราค่ะ

สนธิ - สปอนเซอร์ธนาคารอมสินครับ เชิญดูครับ

**********************************


สโรชา - ขอบคุณค่ะ พี่สำราญกับน้องจินะคะ ต้องแก้ข่าวนิดหนึ่งเพราะว่าไปหลังเวทีมีพี่ๆ บอกแอ้มบอกว่า แอ้มจริงๆ แล้วถ้าเทียบกับเทปเมื่อต้นปีแอ้มไม่แก้ขึ้นหรอกนะแอ้มสาวลง นะคะ ที่แน่ๆ จะแก่ขึ้นหรือไม่แก่ขึ้นอย่างไรก็ตามแอ้มเชื่อว่า แอ้มไม่ได้แก่คนเดียวนะคะ มีเรื่องฝากนิดหนึ่งนะคะสำหรับท่านผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านนอกอยากจะขอความกรุณา เพราะว่า คือการที่เขาให้เราใช้สถานที่เราอยากจะรักษาความสะอาดสักนิดหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการสูบบุหรี่นะคะ จริงๆ แล้วสวนลุมฯ แห่งนี้เป็นสวนสุขภาพ ก็ไม่น่าที่จะมาสูบบุหรี่ในนี้ แต่ถ้าหากว่าจะต้องสูบจริงๆ ก็ขอความกรุณาทุกๆ ท่านลุกให้ห่างออกจากผู้คนสักเล็กน้อย ที่แน่ๆ ทิ้งก้นบุหรี่ในถังขยะให้ถูกต้องนะคะ ดับแล้วก็ทิ้งใส่ถังขยะให้เราสักนิดหนึ่ง เจ้าของสถานที่ ทางกทม.จะได้ไม่ต้องปวดหัว แล้วยังฝากเช่นเคยค่ะ ทุกๆ ท่าน ณ ที่นี้กรุณาเก็บขยะหลังจากรายการจบด้วยนะคะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ คุณสนธิคะที่ต้องคุยกันในสัปดาห์นี้คงไม่พ้นเรื่องราวของการที่ท่านนายกฯ ท่านได้มีการ จะเรียกว่าประชุม จะเรียกว่ารวมตัวกับเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ด้านการทูตของหลายๆ ประเทศ และมีการพูดคุยกันถึงเรื่อง International Bidding Mega Project ของประเทศไทยเรา ตรงนี้มีเสียงพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างกว้างขวางพอสมควรว่า เราจะให้ต่างชาติเข้ามาทำทั้งหมดเลยหรือ นั่นก็เป็นคำถามใหญ่พอสมควรสำหรับสัปดาห์นี้

สนธิ - คือ พ่อแม่พี่น้องแล้วก็เพื่อนๆ ตลอดจนท่านผู้ชมที่อยู่ทั่วประเทศไทยแล้วก็อยู่ต่างประเทศ คงจำได้นะครับ วันที่ 4 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงตรังคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ผมนับเบ็ดเสร็จแล้ว 27 ครั้ง 23 ครั้ง พระองค์พูดอย่างชัดเจนเลยนะครับว่า ถ้าทุกคนเลื่อมใสว่าจะต้องพอเพียงก็ปฏิบัติเถิด เพราะว่าถ้าปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงมันใช้ได้จริงๆ ไปได้จริงๆ พระองค์พูดอย่างนี้ พระองค์ตรัสอย่างนี้จริงๆ พระองค์ตรัสว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นใช้ได้จริงๆ และก็ไปได้จริงๆ คุณสโรชา

สโรชา - ค่ะ ใช่ค่ะ

สนธิ - ทีนี้ ผมก็ติดใจในคำพูดของท่านนายกฯ คือจริงๆ ผมก็ติดใจทุกๆ คำพูดที่ท่านพูดน่ะนะ มันไม่ใช่เฉพาะเพียงคำพูดเท่านั้นเอง เมื่อตอนที่ท่านเชิญ ท่านคิดที่จะเชิญ เชิญพวกทูตานุทูตมาฟังเมกะโปรเจกต์ ซึ่งท่านจะให้เขามาลงทุนแล้วก็ให้สัมปทานไป 30 ปี ทำโน่น ทำนี่ ท่านพูดที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 ก็คือวันพุธที่มานี้ พฤหัสฯ ศุกร์ ก็คือท่านพูดเมื่อวานซืนนี้ ท่านบอกอย่างนี้ ท่านบอกว่า ไอ้การที่จะเอาต่างชาติมาประมูลงาน รับงานของประเทศไทยไปทำ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน ทุกอย่าง ท่านพูดบอกว่า การดำเนินงาน การดำเนินการอย่างนี้ยังไม่เคยมีใครทำ ท่านพูดอย่างนี้ ไทยจะเป็นประเทศแรกของโลก ท่านบอกว่า เราจะไม่ยอม เราจะไม่ผ่อนความเจริญ คือท่านมองว่าความเจริญนั้นต้องเกิดขึ้น แต่จะยอมผ่อนเงินเพื่อให้เกิดความเจริญ ท่านพูดอย่างนี้นะฮะ ผมไม่เหนื่อย ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ คนพูดกันมาก ให้ความเห็นกันมาก เราต้องทำความเข้าใจ หากทำความเข้าใจแล้วไม่ยอมเข้าใจ นั่นก็คือว่าเป็น "อาการป่วยของคนๆ นั้น" นี่แสดงว่าพวกเรานั่งในห้องนี้ป่วยกันหมด ใช่ไหม คือพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง เรื่องมีเท่าไร ให้ใช้เท่านั้น ให้ใช้เศรษฐกิจพอเพียง นายกรัฐมนตรีก็ออกมาสวนอย่างนี้เลย บอกว่าผ่อนความเจริญ ท่านไม่ยอมผ่อนความเจริญ ความเจริญในนัยมิติของนายกรัฐมนตรี กับความเจริญของผมนี่ไม่เหมือนกัน ท่านมองถึงโครงการที่มีราง ท่านมองถึงตึกสูงที่เกิดขึ้น ท่านมองถึงหวยบนดิน ท่านมองถึงเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะมีบ่อนการพนัน ท่านมองถึงอะไรหลายอย่าง ท่านมองถึงโอท็อปซึ่งเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังอาทิตย์หน้าว่าโอท็อปทำไมเจ๊ง เพราะผมมีข้อมูลหมดแล้ว ท่านมองเพียงแค่นี้

สโรชา - ค่ะ จีดีพี

สนธิ - จีดีพี แต่ผมมองความเจริญทางจิตวิญญาณ ผมมองความเจริญว่านักการเมืองนั้นต้องไม่โลภแล้วไม่โกงกิน ไม่ทำร้าย ทำลายประเทศ ผมมองความเจริญทางด้านศีลธรรม ทางด้านคุณธรรม ผมมองความเจริญในเรื่องของความสงบในสังคม ผมมองความเจริญของเรื่องครอบครัวที่เป็นหน่วยใดหน่วยหนึ่ง มีความอบอุ่น ผมมองความเจริญที่การศึกษาที่ให้องค์ความรู้คน ผมมองความเจริญของการไม่ปิดกั้นข่าวสาร ให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในประเทศ ไม่ใช่ให้เขาร่วมแค่ 4 วินาที ตอนที่เดินไปแล้วหย่อนบัตรเท่านั้นเอง ผมมองตรงนี้ คุณสโรชา เพราะฉะนั้นแล้วความเจริญของท่านนายกฯ กับความเจริญของผม มันคนละความเจริญกัน แล้วท่านก็มองผิดความเจริญอีก ท่านก็มองผิดความเจริญ ท่านมองว่าคนบ้านนอกเลือกท่านเข้ามา แต่คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล เพราะฉะนั้นท่านต้องให้คนกรุงเทพฯ ผมอยากจะบอกฝากคุณสโรชา และบอกฝากพ่อแม่พี่น้องสักนิดหนึ่ง ลองคิดตามผมนิดหนึ่งนะฮะ สมัยก่อนนี้ พ่อแม่เรา เวลาผ่อนบ้านหลังหนึ่ง เราผ่อน 15 ปี ก็หมด จำได้ไหมฮะ 15 ปี หมายความว่า เราเริ่มอายุ 30 เรากับภรรยามีเงินมีทองดาวน์บ้านหลังหนึ่ง แล้วก็ผ่อนไปเรื่อยๆ 15 ปี พอเราอายุ 45 เราก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว เจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว เงินทองที่มีเหลือก็ซื้อทรัพย์สมบัติเข้ามา ซื้อทองเข้ามาบ้าง ส่งลูกเรียนเมืองนอกบ้าง หรือว่าซื้อรถให้ลูก เอาเงินเก็บให้ลูกสักก้อนหนึ่ง พอเรา 60 เราเกษียณ เราก็มีเงินเก็บ 15 ปี ที่เราไม่ต้องผ่อนบ้าน พอลูกแต่งงานแล้ว เราบอก ลูกเอ๋ย อ่ะ พ่อให้ ลูก แม่ให้ จำได้ใช่ไหมฮะ มาวันนี้ ไม่มีใครผ่อนบ้านได้ 15 ปี กลายเป็น 25 กับ 30 แปลว่าอะไร แปลว่าไอ้ 30 ที่มันเพิ่มขึ้นมาจาก 15 พ่อแม่พี่น้องคิดดูสิ ทำงานจนเกษียณ 60 แล้ว ถึงจะได้บ้านหลังนั้นเป็นของตัวเอง มันมากไปหรือเปล่า แสดงว่าเราทำงานให้ใคร เราทำงานให้ใคร ทั้งๆ ที่บ้านที่เราซื้อ แล้วผ่อน 30 ปี ราคาที่แพงกว่าสมัยพ่อแม่เราซื้อประมาณเท่าตัว เมื่อเรามาดูคุณภาพย้อนหลังแล้ว ยังสู้ความแข็งแรงสมัยที่บ้านพ่อบ้านแม่เราซื้อยังไม่ได้เลย ใช่ ไม่ใช่? เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีบัตรเครดิตให้เราผ่อนทีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนไปอีกชาติจนกระทั่งตาย

สโรชา - ยังไม่หมด

สนธิ - ยังไม่หมด นี่หรือคือนายกฯ บอกให้เราผ่อน นี่คือความเจริญที่เราจะต้องผ่อนกันจนถึงลูกถึงหลานเลยหรือ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเราผ่อนบ้านหลังนี้หมด 30 ปี ลูกสาวเราไปแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ลูกเขยเรา มันก็ไปซื้อบ้าน เราก็หลับตาวาดภาพเอาอีหนูเอ๊ยมึง 60 มึงถึงจะได้บ้านหลังนั้น เอ๊ะอันนี้ไม่ใช่ความเจริญแล้วนะ อันนี้คือความถดถอย ผมไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้พูดผิดหรือเปล่า

สโรชา - ถ้าเกิดแอ้มจะขอถามในมุมกลับว่า ในแนวคิดผ่อนยาวขึ้น ผ่อนน้อยลง สามารถทำให้คนรายได้น้อยมีโอกาสที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองบ้าง อันนี้จะ

สนธิ - ก็ต้องถามกลับสิว่า อะไรทำให้บ้านและที่ดินมันแพงเหลือเกิน เข้าใจหรือยัง อย่าไปถามว่าผ่อนยาวเพื่อให้ผ่อนได้น้อยลงจะได้มีปัญญา ประเด็นที่เขาให้พวกคุณผ่อนกันยาวก็เพราะว่าเขาไปขึ้นราคาบ้าน ขึ้นราคาที่ดิน เขาปั่นบ้านและปั่นที่ดินให้มันสูงเพื่อให้พวกเราผ่อน 10 เปอร์เซ็นต์ บัตรเครดิต ผ่อนบ้านยาว 30 ปี ผ่อนรถ สมัยก่อนผมจำได้ซื้อรถยนต์คันหนึ่ง สมัยหนุ่มๆ เขาให้ผ่อนแค่ 36 เดือนเอง เดี๋ยวนี้ผ่อน 60 เดือน เพื่อให้ทุกคนเป็นหนี้เพื่อใครล่ะ เพื่อไอ้ข้างบนจะได้รวยไง บริษัทต่างๆ บริษัทที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเขาเอาเราเป็นทาสเพื่อมาเลี้ยงเพื่อให้เขามีเงินปันผลสูงขึ้น เข้าใจหรือยังตอนนี้ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วนี่มันเป็นความเจริญที่เราต้องการหรือ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ความเจริญที่เราต้องการ ไม่เชื่อลองกลับไปเอาคำพูดที่ผมพูดลองไปคิดดู ลองไปคิดดู คนที่เพิ่งตั้งตัวกินเงินเดือน 1,500-20,000 บาท ทำบัตรเครดิต 1 ใบ ได้วงเงิน 15,000 บาท ไปทำอีกใบได้ 15,000 ไปทำอีกใบได้อีก 15,000 ก็จับจ่ายใช้สอยในข้าวของที่แพงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เป็นหนี้เขา 45,000 45,000 ผ่อน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 4,500 4,500 จากการซึ่งจ่ายสิ้นเดือนทุกเดือนจ่ายหมดไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก็กลายเป็นดอกเบี้ย 24 เปอร์เซ็นต์ทันที ร้อยละ 2 ต่อเดือน เห็นหรือยัง ก็เท่า 4,500 ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 900 บาท เพราะฉะนั้นแล้วคนหนุ่มคนสาวในอนาคตก็เป็นหนี้เป็นสินไปจนตาย มีใครมั่งที่มีลูกทุกวันนี้ถึงเริ่มทำงานแล้วแล้วลูกไม่ขอเงินเราใช้ ไม่มีน้อยมาก ยังกลับมาที่บ้านบอก พ่อ แม่มีเงินไหม หรือว่าพ่อ จะซื้อบ้านสักหลังหนึ่งพ่อช่วยดาวน์ให้หน่อยได้ไหม สรุปแล้วที่เราทำทั้งหยาดเหงื่อ หยดเลือดของเราทำเพื่อผ่อนส่งทั้งนั้น ทำเพื่อผ่อนส่งทั้งนั้น แล้วผ่อนให้ใครล่ะ ก็ผ่อนให้เจ้าของที่เขามาปั่นไง เขามาปั่นราคาที่ดินขึ้นไป เขามาปั่นทรัพย์สินขึ้นไป เขามาปั่นราคารถยนต์ขึ้นไป ปั่นทุกอย่างเพื่อให้พวกเราผ่อนยาวๆ เพื่อให้เราผ่อนยาวๆ ผมจำได้ผมผ่อนบ้าน 15 ปีเอง มาสมัยนี้ต้อง 30 แล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เด็กซื้อรถคันหนึ่งบอกว่าผ่อนเดือนเท่าไหร่ 6,500 ครับ รถอะไร วีออส ผ่อนกี่ปี 60 เดือนครับ นี่คือเจตนารมณ์เอาดาวน์ไปซิ 10 เปอร์เซ็นต์ก็พอ 15 เปอร์เซ็นต์ก็พอ แล้วผ่อนไป 60 เดือน เพื่อให้เป็นหนี้ยาวๆ พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นอันตรายตรงนี้ พระเจ้าอยู่หัวก็บอกว่า นี่พวกเรามีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ขนส่งมวลชน ถ้าวันนี้ระบบขนส่งมวลชนมีพร้อมพวกเราก็ไม่ต้องใช้รถ แต่ว่าพวกเราไม่ต้องใช้รถขึ้นอยู่กับราคาขนส่งมวลชนมันเท่าไหร่ ถ้าสมมุติว่าใครอยู่แถวตลิ่งชันมาทำงานสีลม อีกหน่อยต่อรถใต้ดิน 2 ต่อ ไป-กลับ 1 วัน 100 บาท อย่างน้อย 1 เดือน 3,000 จบปริญญาตรีมาเงินเดือน 9,000 หมดไปแล้ว 3,000 เหลือ 6,000 6,000 จ่ายค่าห้องที่หนูมันยังอยู่ในห้องนั้นไม่ได้เลยอีกเดือนละ 3,000 เหลืออีก 3,000 ค่าโทรศัพท์มือถืออีกเดือนละ 1,000 แล้วจะให้มันกินแกลบหรือไง มันเป็นไปไม่ได้ วันนี้สังคมไทยมันเพี้ยนหมดแล้ว สังคมไทยกำลังถูกผู้นำนำพาไปสู่ความเป็นทาสทางเศรษฐกิจ ไม่ได้นำมาให้เรายืนบนลำแข้งของเราเอง นายกฯ ไม่เคยเดือดร้อน พรรคพวกนายกฯ ไม่เคยเดือดร้อน จะไปเดือดร้อนได้อย่างไรล่ะ พรรคพวกนายกฯ รัฐบาลชุดนี้ 1. กินค่าคอมมิชชั่นการสร้างทาง เป็นนายหน้าวิ่งเต้น กินเปอร์เซ็นต์ แต่ละคนส่งลูกเรียนอังกฤษ คุณเนวิน ชิดชอบ นี่คนบุรีรัมย์ ยังส่งลูกไปเรียนอังกฤษเลย ตั้ง 2-3 คน ใช่ไหม นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มีแต่พวกเราเท่านั้นที่จะต้องอยู่ที่นี่ แล้วจะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อผ่อนส่งให้พวกเราร่ำรวยกัน เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งซึ่งท่านนายกฯ พูดนั้นสวนทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเห็นได้ชัด
คุณสโรชา พ่อแม่พี่น้องที่มีรถยนต์ อย่าโกรธผม อย่าโกรธผม วิธีแก้ปัญหาขนส่งมวลชนในประเทศไทย ในกรุงเทพมหานคร มันต้องมีภาษีถนน เหตุผลก็เพราะว่า คน 85 เปอร์เซ็นต์ ในกรุงเทพมหานครใช้พื้นที่ถนน 15 เปอร์เซ็นต์ คน 15 เปอร์เซ็นต์ ใช้พื้นที่ถนน 85 เปอร์เซ็นต์ ใครใช้มากต้องจ่ายมาก ใครใช้น้อย จ่ายน้อย เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าของรถยนต์จะต้องเสียค่าภาษีถนน คิดเป็น 0.5 เปอร์เซ็นต์ ที่ผมคิด ไม่ใช่ตาม ซี.ซี. ตามราคารถยนต์ นอกเหนือจากภาษีป้าย แปลว่าอะไร แปลว่าใครซื้อรถ 1 ล้านบาท นอกจากภาษีป้ายต่อทะเบียนแล้ว ปีหนึ่งต้องเสียภาษีถนนอีก 5,000 บาท เศรษฐีคนไหนใช้รถ 20 ล้าน แกก็จ่ายไปสิ 5 เปอร์เซ็นต์ 0.5 เปอร์เซ็นต์ คือแสนหนึ่ง แกมีรถ 20 ล้าน 5 คัน แกก็จ่ายไป 500,000 แกไม่อยากจ่าย แกก็ไม่ต้องมีรถแพงๆ เงินมันก็ไม่ได้เน่านี่ เงินก็ยังอยู่ในประเทศไทย ก็เอาไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ แทนที่จะไปซื้อบ้าซื้อบอแบบนี้ กรุงเทพมหานครมีรถอยู่ 5-6 ล้านคัน เฉลี่ยง่ายๆ คันละประมาณ 800,000 บาท 800,000 บาท 6 ล้าน 6x4 = 48 ใช่ไหม 4,800,000 ใช่ไหม เราจะได้ภาษีจากตรงนี้ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ปีละ 24,000 ล้านบาท 24,000 ล้านบาท ออกพันธบัตรไป 20 ปี 960,000 ล้านบาท ยังมากกว่า 500,000 กว่าล้านบาท ที่นายกฯ ทักษิณต้องการ 900,000 กว่าล้านบาท ตรงนี้ เอาไปทำระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ อย่าว่าแต่สายสีส้ม สายสีแดงเลย เอาสายสีรุ้งยังได้เลย แล้วเมื่อเงินลงทุน เมื่อเงินลงทุนอันนี้มาจากภาษีถนนของคนใช้รถยนต์แล้ว มันไม่ต้องไปกู้มา เพราะฉะนั้นแล้วมันถึงจะวิ่งตลอดสายได้ 10 บาท นี่คือการทำให้ประชาชนอยู่กันอย่างเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าค่าเดินทางเขา 10 บาท อ้าว คนมีรถ พออีกหน่อย ขนส่งมวลชนมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขายรถทิ้งไป เขาก็ไม่ใช้ ก็ไม่เสียหายอะไร เขาก็เก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้ อ้าว ใช่ ไม่ใช่? มาสร้างทำไมกัน เมกะโปรเจกต์ เพื่อให้กรุงเทพฯ มันใหญ่เอาๆ ให้ทุกคนมันวิ่งเข้ามาที่กรุงเทพฯ หมด ที่มันต้องมีเมกะโปรเจกต์ มันจะได้กินกันเป็นเมกะ เมกะ เรื่องอย่างนี้ท่านนายกฯ ไม่คิด ทำไมท่านไม่คิดล่ะ ท่านไม่กล้าคิดเพราะ ประการแรก ถ้าท่านทำเช่นนี้ คนจะซื้อรถยนต์น้อยลง มันก็จะไปกระทบกระเทือนบริษัทที่ทำอะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็นพรรคพวกท่าน ของคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในขณะเดียวกัน ท่านก็กลัวคนชนชั้นกลางจะด่าท่าน ไม่เลือกท่าน หาว่ามาขึ้นภาษีถนน แต่ท่านไม่ได้นึกถึงคนซึ่งไม่ใช้รถยนต์ และไม่มีรถยนต์ใช้ อีก 80 เปอร์เซ็นต์ ท่านไม่ได้คิดถึงตรงนี้ เห็นหรือยัง คิดสิ ทำไมไม่คิด เหมือนสมัยก่อนนี้ เวลาเขาให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือ คุณสโรชา คุณรู้ไหมเขาให้อย่างไร

สโรชา - ไม่ทราบค่ะ

สนธิ - ใครให้เงินรัฐสูงที่สุด คนนั้นก็ได้โทรศัพท์มือถือไป ทำไมเขาไม่คิดในมุมกลับ ใครคิดค่าโทรศัพท์ประชาชนถูกที่สุด คนนั้นได้สัมปทานไป

สโรชา - เออ

สนธิ - เพราะว่าการกำไรจากการลงทุนของนักลงทุนนั้น มันมีอัตราตอบแทนตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์ 7 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ ไปถึง 100-200 เปอร์เซ็นต์ วันนี้เราให้บริษัทมือถือกำไรเป็น 100-200 เปอร์เซ็นต์ กันทุกคน ร่ำรวยกันอย่างมหาศาล ถ้าเราคิดอีกแบบหนึ่งอย่างที่ผมบอก อย่างน้อยที่สุด นักลงทุนเขาบอกว่า เอาวะ คิดนาทีละสลึงนี่ อย่างน้อยยังมีเงินปันผลให้ปีละ 8 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีกว่าฝากธนาคารไว้เฉยๆ ถูก ไม่ถูก แต่ไม่มี เพราะว่าใครจ่ายเงินมากที่สุดคนนั้นก็เอาไป มันคิดผิดกันหมดไง เพราะฉะนั้นพระเจ้าอยู่หัว ถึงสอนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ผมยังไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหนคิดใหม่ทำใหม่เลย ท่านบอกท่านคิดใหม่ทำใหม่ ท่านไม่ได้คิดใหม่ทำใหม่ สิ่งที่ท่านคิดในโลกนี้เขาทำกันหมดแล้วก็คือ ปั่นทุกอย่างให้มันสูงขึ้นแล้วให้ประชาชนรายได้น้อยๆ หรือคนเดินถนนชนชั้นกลางอย่างพวกเราคอยแบกรับเพื่อให้พวกเขารวยขึ้นแค่นั้นเอง ท่านเป็นเพียงแต่ท่านเก่งในการใช้ประชานิยม เอาเงินภาษีอากรพวกเราที่เสียภาษีกันนี้ฟาดหัวประชาชนแล้วให้เลือกท่านเข้ามา แล้วท่านใช้นโยบายที่เขาทำกันในอเมริกา เขาทำกันในอังกฤษ เขาทำกันในฝรั่งเศส ทางตะวันตกเขาทำกันแบบนี้ทั้งนั้น ก็คือปั่นทุกอย่างขึ้นมาเป็นโปรเจ็กต์ เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราถูกหลอกมาตลอดว่าเราอยู่ในรัฐบาลชุดคิดใหม่ทำใหม่ เราอยู่ในรัฐบาลชุดคิดมากกำไรมาก

สโรชา - คุณสนธิพูดเรื่องนี้ก็ต้องเข้าสู่เอ็มวีของเราในสัปดาห์นี้ คือสัปดาห์ที่แล้วหลายๆ ท่านได้ดูแล้วนะคะ ที่บอกว่าถังแตก หลายๆ ท่านติดใจนะคะ ก็มาตามคำเรียกร้อง อันนี้เสนอเป็นเพลงของคุณแอ๊ด คาราบาว เพลงชื่อว่า คนโลภ เชิญค่ะ

สนธิ - คนโลภครับ คนโลภ

(วีทีอาร์ถังแตก)

******************************


สนธิ - ไหนๆ คุณสโรชาพูดถึงคนโลภแล้วผมจะเอาตัวอย่างโลภที่จับโกหกคนโลภมาแสดงสักครั้งหนึ่ง จำได้ไหมพ่อแม่พี่น้องที่ผมเคยพูดเรื่องเจตนาการทุจริตโรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ จำได้ใช่ไหมครับ คือเราเปิดประเด็นไปว่า มันมีบริษัทคนจีนชื่อ ซีวายซี ที่มาจากมณฑลยูนาน เป็นคนที่จะมาสร้างโรงงานยาสูบอันใหม่ให้กับโรงงานยาสูบที่ จ.เชียงใหม่ จำได้ใช่ไหมที่ผมเล่าให้ฟัง แล้วที่บอกว่าราคาให้แพงที่สุดแล้วก็ไม่เกิน 12,000 ล้าน แต่ว่าไปตั้งราคาไว้ 18,000 ล้าน เพื่อจะกินข้อแตกต่าง คือ กำไร 6,000 ล้านบาท หลังจากที่ผมเอาไปเปิด ปรากฏว่า ไม่มีคำตอบใดๆ ที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แล้วจู่ๆ คุณวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2548 หลังจากที่เราออกไปวันที่ 18 เขาให้สัมภาษณ์อย่างไร การกล่าวหาว่าบริษัทนี้ไม่มีผลงาน หรือราคาที่ประมูลได้สูงกว่าความเป็นจริงโดยเปรียบเทียบกับโครงการจากประเทศฟิลิปปินส์ เพราะว่าผมยกตัวอย่างว่า ประเทศฟิลิปปินส์ บริษัท ฟิลิปมอริส เขาไปสร้างโรงงานที่มีกำลังผลิตที่มากกว่าประเทศไทย 2 เท่า เขายังใช้เงินไม่ถึงหมื่นล้านบาท เมืองไทยผลิตได้แค่ครึ่งหนึ่งของเขาใช้เงินตั้ง 18,000 ล้าน แก่ก็บอก เป็นการเปรียบเทียบที่มิได้นำโครงการที่มีรายละเอียดต่างกันมาเปรียบเทียบกันโดยกล่าวอ้างลอยๆ พูดไปอายไป ก็เลยต่อว่า ถ้าทางซีวายซียังไม่สามารถสรุปเรื่องเครื่องจักรภายในเดือนสิ้นเดือนนี้ คือ พฤศจิกายน 2548 เดือนที่แล้ว ผมจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเปิดประมูลกว้างในระดับสากล เพื่อความโปร่งใส พ่อแม่พี่น้องวันนี้วันที่ 16 ธันวาคมแล้วนะ ไม่มีเสียงตอบมาจากรัฐมนตรีวราเทพ รัตนากร รู้ไหมเพราะอะไร เพราะว่าเจ๊คนหนึ่งทางภาคเหนือบอกว่า ให้รีบทำเรื่องนี้ให้จบเพราะว่าการเมืองไม่แน่นอน ก็เลยยังดึงเรื่องนี้ไว้อยู่ เอาละไม่เป็นไร ตอนนี้ผมจะเอาลักษณะการค้าจีทูจี รัฐบาลกับรัฐบาลมา แล้วว่าเขาโกงกินกันอย่างไรโดยลักษณะจีทูจี อันนี้เป็นตัวอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลไทยไปพูดกับรัฐบาลจีนว่า อยากให้รัฐบาลจีนเข้ามาช่วยเหลือดูแลในเรื่องของการสร้างโรงงานยาสูบ ก็เลยมีนายเหยียน ปิน จำได้ไหม เข้ามาเป็นตัวกลาง นายเหยียน ปิน ก็เลยไปเอาซีวายซีมา ซีวายซีก็มาเสนอโครงการ ปรากฏว่าเมื่อเสนอโครงการแล้วก็ เสนอมาตั้งแต่ปี 46 แต่ว่าแผนโรงงานยังไม่สามารถส่งได้เลย พ่อแม่พี่น้องรู้หรือเปล่าทำไม เพราะซีวายซีมันเป็นบริษัทซึ่งไม่มีความสามารถในเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นเพียงบริษัทตั้งขึ้นมาเพื่อทำมาหารับประทานกัน เหตุผลที่มันไม่มีแผนเพราะอะไร ผมจะเล่าความจริงให้ฟัง แล้วผมจะบอกฝากไปถึงคุณวราเทพ รัตนากรด้วย ที่มันไม่มีแผนก็เพราะว่า ในโลกนี้ ในโลกนี้มันมีบริษัทอยู่ 3 แห่งที่มันติดเครื่องมือทำบุหรี่ บริษัทนั้นก็คือ อังกฤษ เยอรมัน และอิตาลี เท่านั้นเองที่ชำนาญที่สุด ปรากฏว่าประเทศจีนมันไม่มี มันต้องไปซื้อแบบมาจากต่างชาติแล้วก็มาสร้างเอง ซีวายซีก็ไปขโมยแบบมาจากบริษัทแห่งหนึ่งที่อิตาลี ขโมยแบบเสร็จแล้วไปจ้างบริษัทที่เฉินตู เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน ที่จะก่อสร้าง ปรากฏว่าฝรั่งมันรู้เรื่อง มันส่งจดหมายพร้อมกับยื่นโนติสว่าอย่าให้หลุดอกมานะ มันจะฟ้อง มันจะฟ้องให้ประเทศจีนนั้นกางเกงขาดเลยงานนี้ มันกะฟ้องทั่วโลก นี่ครับ นี่บริษัทนี้มันส่งจดหมายไปเตือนบริษัท ซีวายซี ว่าอย่านะอย่ามาขโมยของฉันไปนะ มีหมดหลักฐานมีหมด นี่คือเหตุผลว่า ทำไมซีวายซีถึงส่งแปลนในการสร้างมาไม่ได้ ที่ชั่วไปกว่านั้น งบประมาณเดิมตั้งไว้ 13,000 ล้าน อยากจะรับประทานกันเยอะเป็นพันๆ ล้าน โรงงานยาสูบส่งเรื่องเสนอเพิ่มเติมจาก 13,000 เป็น 18,000 ล้าน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ คณะรัฐมนตรีมันก็ดันอนุมัติ อ้าว คุณก็รู้ว่าเพราะอะไร เป็นของเจ๊เขาน่ะ เห็นหรือยัง นี่เรื่องจริง เมื่อมันเป็นเช่นนี้ มันก็เลยทำให้ทุกอย่างมันหยุดชะงัก เพราะว่าแผนก็ไม่มี อนุมัติเงินก็มาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า สนธิ ลิ้มทองกุล กับสโรชา ดันเอาข้อเท็จจริงมาเปิด ก็เลยกลายเป็นมดซึ่งอยู่ในกระทะร้อน กระโดดกันโหยงเหยงๆ ไปหมดเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยหลุดออกมา บอกว่า ถ้าภายในสิ้นเดือนนี้ถ้ายังไม่รู้เรื่อง จะเปิดให้ประมูลระหว่างประเทศ นี่มาถึง 16 ธันวาคม แล้ว คำพูดที่ท่านพูดออกมาหายไปไหน แสดงว่าพวกท่านยังพิจารณาหาทางรับประทานเรื่องนี้กันอยู่ใช่ไหม เห็นหรือยัง ไม่รู้จะเลวไปยังไง คือไอ้คำว่า "เลว" นี่นะ มันมาใช้กับพวกนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมันเลวกว่าเลว แล้วบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการติดตั้งโรงงานทำบุหรี่ มันก็น่ารัก มันก็บอกว่า ถ้าในจำนวน 25,000 ล้านมวน ที่จะตั้งมาแล้วก็ผลิตให้ได้ปีละ 25,000 ล้านมวน ถ้าเปิดประมูลกันทั่วโลก มันพูดอย่างนี้นะ บอกว่า ผมเอาคอเป็นประกัน ตัดคอผมได้เลย ถ้ามูลค่าเกินกว่า 9,000 ล้านบาท นี่มันเงินพวกเราทั้งนั้นนะพ่อแม่พี่น้อง มิน่า พวกเราถึงจนเอาๆ เห็นหรือยัง มิน่า พวกเราถึงจนเอาๆ มิน่าถึงปิดปากผมไม่ให้ผมพูดไง นอกจากปิดปากแล้วยังมากลั่นแกล้งผมอีก แล้วเที่ยวมาแจกใบปลิว เดี๋ยวเอา มันจะสิ้นปีแล้ว ผมไม่อยากจะให้เป็นเรื่องอัปมงคลมาก เดี๋ยวต้นปีหน้า ที่แจกๆ กันมาว่านายกฯ ทักษิณ ดีที่สุด ที่ได้ๆ กัน เดี๋ยวผมจะฉีกเป็นชิ้นๆ เลยว่าดียังไงที่คุณพูด ใช่ไหม
ทีนี้ น่าสนใจอย่าง ได้มีการทำการวิจัยกันโดยโรงงานยาสูบ เขาทำวิจัยนะ เขาบอกปริมาณคนสูบบุหรี่เมืองไทยจะลดลง ซึ่งก็จริง ลดลง เดี๋ยวนี้คนสูบบุหรี่น้อยลง เขาบอกว่าภายในปี 2550 ปริมาณบุหรี่ที่จะสูบในเมืองไทยจะเหลือแค่ปีละไม่เกิน 20,000 ล้านมวน แต่ ไอ้โรงงานยาสูบ กับนักการเมือง ยังต้องการที่จะผลิต โรงงานบุหรี่นี้ ซึ่งเสร็จปี 2552 ในอัตราการผลิตปีละ 25,000 ล้านมวน ดูมันสิๆ เพื่ออะไร เพื่อจะเป็นเหตุผลของการกินไง ก็เหมือนกับว่าการสร้างสนามบิน ยังไม่ทันไรจะสร้างรันเวย์ที่ 3 แล้ว จู่ๆ ก็บอกว่า 40 ล้านคน ที่รับมานี้ อีก 10 ปีไม่พอ ต้องเพิ่มอีก 40 ล้านคนทันที ก็ทำไมไม่ทำเผื่อมันสัก 100 ปี ไปเลย ล่วงหน้าเลยล่ะ

สโรชา - ถามอย่างมีเหตุผล

สนธิ - ใช่ไหม คุณสโรชา นี่ไง อยากดูผมเช็คบิล นี่ผมเช็คบิลให้แล้ว ฝากไปถึงคุณวราเทพ รัตนากร ที่ทำหน้าหล่ออยู่ทุกวันนี้ ส.ส.กำแพงเพชร ต้องกราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องจากเพชรบุรี จากราชบุรี ที่เอาลายเซ็นการถวายพระราชอำนาจคืน ยังไม่ลืมครับ ผมยังไม่ถอยในเรื่องของการต่อสู้เพื่อถวายพระราชอำนาจคืน ยังอยู่ คุณสโรชา พ่อแม่พี่น้องใจเย็นๆ เอาไว้ ใจเย็นๆ เอาไว้ ในการต่อสู้นั้น ต้องชกกันให้เปลี้ยเสียก่อน ต้องชกกันให้เปลี้ยเสียก่อน แล้วถึงที่สุดแล้วก็เป่าแค่นี้ (เป่าปากปู้ด) ก็ล้มเลย เข้าใจหรือเปล่าคุณสโรชา

สโรชา - เข้าใจค่ะ เข้าใจ

สนธิ - เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปฟัง 3 ประการ 1. ผมสู้เพื่อความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เรื่องบ้าๆ อย่างโรงงานยาสูบ มันเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก ผมยอมรับไม่ได้ คุณสโรชา ผมยอมรับไม่ได้กับคนสิ้นคิดที่พูดบอกว่า ทุกๆ ประเทศเขาโกงกันทั้งนั้น ทุกรัฐบาลเขาโกงกันทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นหมามันเยี่ยวข้างถนน คุณก็เยี่ยวตามมันไปสิ ผมต้องการความโปร่งใส แล้วสิ้นปีนี้ วันที่ 23 จะเป็นวันสุดท้ายก่อนสิ้นปีที่เราจะจัด 23 นี้ เราจะมาทวนคำถาม ซึ่งผมรวมแล้ว 20 กว่าคำถาม ที่ตั้งมาแล้วไม่ได้รับคำตอบ มาทวนให้พ่อแม่พี่น้องเก็บเอาไว้เป็นเรื่องคิด คิดกัน นะฮะ 23 นี้ 23 นี้เรามาปิกนิกกัน เพราะว่าห้องนี้ไม่ว่าง เราจะไปจัดที่ลานคอนเสิร์ตข้างใน อากาศเย็นสบาย เอาผ้ายางมาคนละผืน ตะกร้าเล็กๆ ใส่ข้าวเหนียวหมูทอด ข้าวเหนียวไก่ย่างมานั่งกินกัน แล้วก็เอาถุงพลาสติกมาคอยใส่ขยะกลับบ้านไปด้วย

สโรชา - อย่าลืมค่ะอย่าลืม สำคัญมาก สำคัญมาก

สนธิ - อย่าลืมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นแล้วผมต้องการความโปร่งใสเพราะอะไร เพราะว่าผมต้องการการเมืองยุคใหม่สำหรับพวกเรา การเมืองที่สะอาด ข้อที่สอง ผมต่อสู้ พวกเราต่อสู้ในจุดยืนของสิทธิเสรีภาพของสื่อ และสิทธิเสรีภาพของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ อยู่ที่ต่างจังหวัด ที่อยู่ที่ข้างนอก ให้มีสิทธิได้รับฟังข่าวสารข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง เชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไป แต่ว่าขอให้ได้ฟังอีกด้านหนึ่งแล้วตัดสินใจด้วยตัวเองว่าใครเปิดแผงขายสตอเบอรี่กันแน่ ข้อที่สาม ที่ผมสู้ ผมสู้ พวกเราสู้เพื่อการปฏิรูปทางการเมือง ยังไม่หยุด ยังต้องสู้ต่อไป แต่ว่าข้อที่หนึ่งนั้นยังไม่เปลี้ย เพราะยังมีอีกเยอะ ต้องเอาให้เปลี้ย แล้วต่อสู้ข้อที่สองแล้วยื่นทันทีข้อที่สาม การต่อสู้ต้องมียุทธศาสตร์ อย่าใจร้อนพ่อแม่พี่น้อง ผมขออนุญาตพ่อแม่พี่น้องไปแล้วว่าผมขอเป็นตัวแทน ถ้าพ่อแม่พี่น้องยินดีให้ผมเป็นตัวแทนพ่อแม่พี่น้องในการไปยื่นจดหมายเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองกับท่านประธานองคมนตรีปรบมือให้ผมดังๆ และนานๆ (เสียงปรบมือดังกึกก้อง) ถ้าพ่อแม่พี่น้องเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินไทย ปรบมือให้ดังๆ และนานๆ (เสียงปรบมือดังกึกก้องเช่นกัน) ปรบมือกันดังๆ ถ้าอย่างนั้นผมถือว่าผมได้ฉันทามติจากพ่อแม่พี่น้องในที่นี้เพื่อเป็นตัวแทนในการยื่นหนังสือ ซึ่งผมจะยื่นให้ภายในปีหน้า ผมไม่เคยลืมเรื่องนี้ ผมไม่เคยลืม เพราะว่าการยื่นหนังสือไม่จำเป็นที่จะต้องไปกันเป็นหมู่คณะ ไปเป็นพันๆ หมื่นๆ คน ตราบใดที่ทุกท่านให้ฉันทามติแล้วผมจะทำหน้าที่ของผมตามที่ผมได้ให้สัจวาจากับพ่อแม่พี่น้อง เพราะว่าผมมีความเชื่อมั่นในคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ (สัญญาณขาด) มีแต่ความว่างเปล่า ถ้าต่อสู้ทำงานเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน ถึงตายก็คุ้มค่า คุณสโรชาไหนๆ ก็พูดเรื่องการปล้นกลางแดดมาแล้วนะ ผมอยากจะเอาเรื่องปล้นกลางแดดอีกเรื่องหนึ่งมาเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟัง ขออนุญาตกลับไปที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เขาบอก โฆษณาในสื่อมวลชนบอกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการนำการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะมีการแยกสินทรัพย์ของเขื่อนออกจากกิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขออนุญาตที่ต้องใช้คำพูดนี้ เป็นเรื่อง "ตอแหล" ประชาชนอย่างร้ายแรงที่สุด เขาทำกันอย่างไร พ่อแม่พี่น้อง พวกเรามาที่นี่มาเรียนรู้ เรียนเท่าเรียนทันวิชามารนะครับ เขามีเขื่อนอยู่ 21 แห่ง ในประเทศไทย เขื่อนนะฮะพ่อแม่พี่น้อง มีเขื่อนอยู่ 21 แห่ง เขื่อนของพวกเรา 21 แห่ง จำไว้นะ ใน 21 แห่งนั้น มีพื้นที่อยู่ 40,000 ไร่ จำไว้นะฮะ เขื่อน 21 แห่ง มีพื้นที่อยู่ 40,000 ไร่ เขาเช่าเขื่อน 21 แห่ง เช่าเลยนะ เป็นเวลา 20 ปี เขาให้เราด้วยเงิน 9,443 ล้านบาท ฟังแล้วอาจจะดูเยอะนะ แต่ใจเย็นๆ ตามผมมา เราเอา 9,443 ล้านบาท เอาหารด้วย 30 ปี จะเหลือค่าเช่าปีละ 300 ล้านบาทเองนะ ในปีๆ หนึ่ง พ่อแม่พี่น้อง ตึกอาคารชินวัตรนี่ให้เช่าปีหนึ่งยังเกิน 300 ล้านบาทเลย คุณสโรชา แล้วเขื่อนๆ หนึ่งนี่ให้เช่าได้ไงปีละ 300 ล้าน เอาล่ะ เขื่อนนี่แปลว่าอะไร แปลว่ามีการใช้พลังงานจากน้ำมาปั่นทำไฟฟ้า ใช่ไหม ปีหนึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทำไฟฟ้าจากน้ำ จากน้ำมัน จากถ่านหิน ปีละ 130,000 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เขื่อนนี่ตีซะว่า 10 เปอร์เซ็นต์แล้วกัน ของกำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ ก็ตกแล้ว ก็จะได้ 13,000 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จำได้นะฮะ เรานี่ผลิตไฟฟ้าได้ทั้งหมดปีละ 130,000 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เขื่อน 21 เขื่อน ใช้น้ำผลิตไฟฟ้าผลิตได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้น ก็คือ 13,000 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง นะ ทีนี้ 13,000 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง คูณด้วยค่าไฟที่ถูกมาก ตอนนี้คือ 2.50 บาทต่อชั่วโมง เป็นรายได้ให้คนซึ่งเช่าเขื่อนเข้ากระเป๋าตัวเอง 32,500 ล้านบาท นะฮะ เขาเช่าเขื่อนปีละ 300 ล้านบาท เอาไปสร้างรายได้ปีละ 32,500 ล้านบาท มากกว่าค่าเช่า 100 เท่าตัว นี่มันไม่ใช่ปล้นแล้ว นี่มันฆ่าและข่มขืนเจ้าทรัพย์ พ่อแม่พี่น้องเอา 30 ปี คูณเข้าไป เท่ากับว่าเขาโกงเราไปทั้งหมด 900,000 ล้านบาท แล้วลูกหลานเราจะอยู่กันอย่างไร เห็นหรือยัง คุณมีลูกโตขึ้น คุณมีหลานโตขึ้น มันไม่ต้องทำอะไรหรอก ทำงานเพื่อเอาเงินเดือนมาจ่ายค่าน้ำมันซึ่งแพง เข้ากระเป๋าพวกมัน ค่าไฟซึ่งแพง เข้ากระเป๋าพวกเขาซับพอร์ตให้พวกเขา กำไรปีละเท่าไรๆ นี่ล่ะคือข้อเท็จจริง เสร็จเรียบร้อยแล้ว กฟผ.ยังมีสิทธินะ พอเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วยังมีสิทธิต่อสัญญาเขื่อนนี้ไปอีก 60 ปี มูลค่าทั้งหมด 1.8 ล้านล้านบาท เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง เห็นหรือยัง ความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง

(คนดูตะโกน) - (((ไอ้ชั่ว)))

สนธิ - คราวที่แล้วพ่อแม่พี่น้องจำได้ไหมที่ผมบอก ผมบอกว่าเมืองไทยผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผลิตได้ 22,000 เมกะวัตต์ เขาไปตีราคาทรัพย์สินของพวกเราแค่ 170,000 ล้านบาท แต่พอมันจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือต้องการเงินเพื่อมาสร้างแค่ 2,800 เมกะวัตต์ บอกต้องใช้เงิน 200,000 ล้านบาท แสดงว่าตีราคาทรัพย์สินของพวกเราต่ำกว่าความเป็นจริง 10 เท่า เพราะฉะนั้น พ่อแม่พี่น้อง รักชาติ รักแผ่นดิน ต้องอย่าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าตลาดหลักทรัพย์เด็ดขาด ไม่ใช่เพียงแค่นั้น พ่อแม่พี่น้อง การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง การไฟฟ้าภูมิภาค ไม่ได้เด็ดขาดเลย สิ่งนี้คือสาธารณูปโภค ผมกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องไปแล้ว ว่าถ้า ปตท.เป็นของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ การประปา การไฟฟ้า เป็นของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ ถึงคิดแพง เราก็ยอม ใช่ไหม

(คนดู)- (((ใช่)))

สนธิ - เรายอม เพราะอย่างน้อยเรารู้ว่าทุกบาททุกสตางค์กลับเข้าไปสู่รัฐ แล้วก็คืนกลับมาสู่ลูกหลานเราในหลายรูปแบบ แต่ไม่ใช่ 52 เปอร์เซ็นต์ ไปหารัฐ 48 เปอร์เซ็นต์ ไปหานักลงทุนส่วนตัว คุณสโรชา ใช่ ไม่ใช่? อย่ายอม พ่อแม่พี่น้อง ขอเถอะ อย่ายอม พูดด้วยความช้ำใจจริงๆ ทำไมประเทศไทยถึงถูก มีเวรมีกรรม มีคนชั่วร้าย ชั่วช้า จ้องที่จะผ่องถ่ายทรัพย์สินของประเทศเพื่อให้กลุ่มของตัวเองร่ำรวยขึ้นมา แล้วรวยแล้วตายไปเอาไปได้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้วพ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัด ว่าพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น คือสุดยอดของปัญญา ผมเคยพูดใช่ไหมพ่อแม่พี่น้อง ผมเคยพูดว่าอย่างไร ผมพูด บอก เรื่องการประมูลโทรศัพท์ เรื่องการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมจะพูดต่อ แทนที่เราจะถามอุตสาหกรรมว่า อีก 5 ปี จะใช้ไฟเท่าไร จะถามโรงหนังว่าอีก 5 ปี จะใช้ไฟเท่าไร แล้วก็ รู้ปริมาณไฟที่จะใช้ แล้วเรามาบอกการไฟฟ้าฯ ให้หาไฟมาป้อนพวกนี้ ทำไมเราไม่มองในมุมกลับอีกมุมหนึ่ง เราถามตัวเราเองว่า ประเทศไทยนั้น ผลิตไฟฟ้าจากน้ำ ผลิตไฟฟ้าจากเหมืองถ่านหิน ผลิตไฟฟ้าจากน้ำมัน ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงแดด เบ็ดเสร็จแล้วผลิตได้เท่าไหร่ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำเทิน เขื่อนน้ำงึม ไม่ต้องไปก๊าซจากพม่าที่หลุมยามาดา ไม่ต้องเศรษฐกิจพอเพียงของตัวเอง ถามตัวเองว่าผลิตได้เท่าไหร่ ผลิตได้แค่ไหนลดลงไป 20 เปอร์เซ็นต์เป็นกันชนไว้ แล้วเอา 80 เปอร์เซ็นต์เป็นตัวตั้ง ประเทศไทยควรจะอยู่ภายใน 80 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานตรงนั้นพอแล้ว นี่คือเศรษฐกิจพอเพียงที่พระเจ้าอยู่หัวสอนพวกเรา พระเจ้าอยู่หัวสอนเศรษฐกิจพอเพียง พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้บอกให้กินแกลบ พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้บอกให้ไปเป็นพม่า มีแต่ไอ้คนที่บิดเบือนพระราชดำรัสเท่านั้นเองที่โง่ แล้วเอามาพูดว่าเราไม่เข้าใจ ไอ้คนที่ไม่เข้าใจมันอยู่แถวๆ ไทยคู่ฟ้า คุณสโรชาคุณคิดดูให้ดีๆ เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร เริ่มยกตัวอย่าง พวกเรากลับไปบ้านทำเลยจะเห็นชัดเลย เชื่อผมสิ กลับไปเปิดตู้เสื้อผ้านะ ถามตัวเองว่าแต่ละชุดมีชุดไหนที่ตั้งแต่ซื้อมาใส่น้อยกว่า 7 ครั้ง แยกออกมา เราจะเจอเสื้อผ้าเยอะเลยที่ หนึ่ง ใส่แค่ครั้งเดียว สอง ไม่เคยใส่ สาม ใส่สองครั้งสามครั้ง พวกนั้นแยกออกมา ดูกระเป๋า ดูเข็มขัด ดูรองเท้า ดูแบบเดียวกันแล้วเราแยกพวกนี้ออกมา แล้วเราบวกตัวเงินที่เราเสียเงินเสียทองไปซื้อของซึ่งใช้แค่ครั้ง สองครั้ง คุณสโรชา คุณต้องดูให้ดีๆ นะ แล้วคุณลองบวกตัวเลขนั้นดูดีๆ คุณบวกเสร็จคุณเดินไปที่โต๊ะทำงานคุณ แล้วคุณบอกว่า ไอ้เวลาคุณนั่งทำงานอะไรบ้างที่คุณต้องการ หนึ่ง คุณต้องการปากกาลูกลื่น สอง คุณต้องการปากกาหมึกซึม สาม คุณต้องการดินสอ สี่ คุณต้องการยางลบ ห้า คุณต้องการกบเหลาดินสอ หก คุณต้องการกระดาษซับหมึก เท่านั้นเอง นอกเหนือนั้นคุณแยกออกมาแล้วคุณมาบวกต้นทุน ทำอย่างที่ผมบอกแล้วเราจะเห็นว่า เราใช้เงินผิดประเภทไปอย่างมากมายมหาศาล นั่นคือเศรษฐกิจพอเพียง มีเท่าไหร่ให้ใช้เท่านั้น ใช้อย่างมีปัญญา เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งซึ่งพระเจ้าอยู่หัวสอน พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านถึงพูด พระองค์ท่านพูดชัดเลย พระองค์ท่านพูด บอกว่า ถ้าทุกคนเลื่อมใสว่าจะต้องพอเพียงก็ปฏิบัติเถิด เพราะว่าปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงมันใช้ได้จริงๆ มันไปได้จริงๆ เพราะทำไม เพราะพระองค์ท่านเล็งเห็นว่า เวียดนามก็ทุนนิยม ลาวกำลังทุนนิยม เขมรทุนนิยม จีนทุนนิยม เราจะไปแข่งกับเขา ทุกคนแข่งหาพลังงานกันใช่ไหม ทุกคนแข่งหาพลังงานกันหมด เราไปซื้อพลังงานจากพม่า จีนยังมาซื้อพลังงานจากไทย วิ่งกันเป็นหนูถีบจักรไปหมดจนกระทั่งไม่เป็นผู้เป็นคนไปแล้ว แล้วในที่สุดก็จบลงด้วยการหอบฮักๆ แล้วถามว่าเราทำไปทำไม มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราบ้างไม่มีเลย มีแต่ความเหนื่อย มีแต่มลภาวะที่สกปรก มีหมดทุกอย่าง แต่ว่าความสุขไม่มี ทำงานกันทั้งชีวิต ทำเกือบตายแต่ไม่มีความสุขแล้วทำไปทำไม พระเจ้าอยู่หัวถึงบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นคือความสุขที่แท้จริง คุณสโรชา ความสุขจริง คุณแม่คุณสโรชาอยู่โรงพยาบาล เป็นโรคหัวใจ ก็เรียนให้ทราบว่า ปรบมือให้กำลังใจกันหน่อยครับ

(((ปรบมือ)))

สนธิ - เพราะฉะนั้นแล้ว พ่อแม่พี่น้อง วันนี้เบรกที่ 2 ค่อนข้างจะเป็นปรัชญาในการใช้ชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว พวกที่ไม่เข้าใจ ผมยืนยัน ไม่เข้าใจคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเข้าใจ เคยลองเดินไหม แถวๆ นี้ จากสุขุมวิทมาเรื่อยๆ ลองนับห้างสรรพสินค้าที่ขายของให้เรานี่มีกี่เจ้า แล้วไปดูสยามพารากอนสิ ไม่รู้สร้างให้ใครเดิน ไม่รู้สร้างให้ใครเดิน ปรากฏว่าไอ้คนเดินก็คือไอ้พวกที่ต้องผ่อนส่ง 30 ปี ไปเดินกันทั้งนั้นเลย

สโรชา- (หัวเราะ) ถูกต้อง ถูกต้องค่ะ

สนธิ - ใช่ไหมคุณสโรชา

สโรชา - ใช่ค่ะ

สนธิ- ผมนี่ เกิดมาในชีวิตผมยังไม่เคยเข้าเลย เอ็มโพเรียม เชื่อไหม ผมไม่เคยเข้า ผมรู้ แต่ก่อนผมไม่เคยรู้ว่าอยู่ที่ไหน เพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่าอยู่ที่ไหน แต่ไม่เคยเข้า แล้วก็ไม่คิดที่จะเข้าสยามพารากอน พ่อแม่พี่น้อง วันนี้เรามาเจอกันวันนี้ เป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคล ท่านไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ผมหรือคุณสโรชาพูด แต่ท่านเอากลับไปคิด ท่านเอากลับไปคิด วันที่ 23 วันศุกร์หน้า เป็นวันสุดท้ายของปี ผมจะมีพรจากพระที่เราเคารพนับถือ ที่ทำมาให้พวกเราเป็นพิเศษ สำหรับแฟนเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ท่านจะประทานพรให้พวกเรา วันสิ้นปี เป็นวันที่เรามาเจอกัน มาทบทวนความหลัง 3-4 เดือนที่เจอกัน ตั้งแต่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ มาทบทวนสัญญา สัจจะวาจาที่เราลั่นไปให้รัฐบาลชุดนี้ตอบ มาทบทวนกันว่าอะไรบ้างที่ปีหนึ่งที่ผ่านมานั้น ประเทศชาติพังพินาศอะไรไปบ้าง พวกเรา พวกเรา จะช่วยกันแก้ไขประเด็นต่างๆ ได้อย่างไร พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องอยู่ต่างจังหวัด พวกเราเป็นเจ้าของประเทศ อย่าไปยอมมัน พวกเราเป็นเจ้าของประเทศ!!! ให้เขาได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายของวันนี้ นานๆ ว่าถ้าใครเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมจะปกครองต่อไป ปรบมืออีกครั้งหนึ่ง

(((ปรบมือยาว)))


สนธิ - ออกไปๆๆๆๆๆๆๆ ... คงจะนอนหลับกันสบายแล้วนะฮะคืนนี้

สโรชา- ได้ออกแรง นะคะ

สนธิ - ถ้าอย่างนั้นผมกับคุณสโรชา

สโรชา- คงจะลาไปเพียงเท่านี้ 23 อาทิตย์หน้ากลับมานะคะ เรายังอยู่ที่สวนลุมฯ นะคะ อาทิตย์หน้า ก่อนสิ้นปี

สนธิ - ก่อนสิ้นปีมาทำความอบอุ่นกัน มากันอีกครั้งหนึ่งก่อนสิ้นปีนะครับ มาทำให้พวกเรามีความสุขในสิ้นปี พวกเราเป็นสหายร่วม เพื่อนร่วมอุดมการณ์ เป็นเจ้าของประเทศพร้อมกันนะครับ

สโรชา- ค่ะ มาร่วมกันขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีค่ะ

**********************************

กำลังโหลดความคิดเห็น