"...ผมเจอคุณทักษิณที่ รร.ปริ้นเซส ผมก็ถามว่า คุณทักษิณผมเอาเงินไปช่วยคุณเฉลิม คุณจะช่วยออกบ้างไหม คุณทักษิณตอบหน้าตาเฉยว่า ให้มันทำไม มันหักหลัง ผมให้มันมามากแล้ว."
“สนธิ ลิ้มทองกุล” ชำแหละตัวตน “ทักษิณ ชินวัตร” เคลียร์คำถามคาใจ ความสัมพันธ์แค่คนรู้จักในวงการ ไม่ใช่เพื่อนสนิท ยันไม่เคยขอให้ช่วยอะไร พร้อมยอมรับว่าเคยโง่ที่หลงไปเชียร์สมัยทักษิณ 1 แต่บัดนี้ตาสว่าง จึงรู้แล้วว่า "ไม่มีเสือตัวไหนกินมังสวิรัติ"
คนเข้าใจผิดว่าผมสนิทกับทักษิณ ถ้าคุณสนิทกับใครสักคน ต้องรู้จักสามี ภรรยาของเขา ไปไหนด้วยกัน รู้ว่าลูกกี่ขวบ ผมกับทักษิณ รู้จักกันในฐานะคนรู้จักกันเฉยๆ คนเข้าใจผิดกันหมดเลย ผมไม่เคยกินข้าวกับคุณทักษิณเป็นการส่วนตัว นอกจากตอนที่เขาเป็นนายกใหม่ๆ ไปกินที่บ้านพิษณุโลก 1-2 ครั้ง เพื่อปรึกษาหารือว่า ที่เขาทำแบบนี้ถูกไม่ถูกเท่านั้นเอง บ้านเขาผมไม่เคยไป ที่ทำงานเขาผมไม่เคยไป ลูกเขาผมยังไม่รู้จัก
ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร เป็นเรื่องคล้ายๆ ถ้าผมทำอย่างนั้นดีไหม เขาเป็นชอบโยนหินถามทาง ทำนองว่า ถ้าคนนี้เข้ามากินตำแหน่งนี้คุณว่าอย่างไร อะไรทำนองนี้ 1.ลูกเขาแต่ละคนผมไม่เคยเจอ 2.ไม่เคยกินข้าวเย็นกับเขา 4-5 ปี ไม่มีอะไรซึ่งกันและกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่รู้จักกันในวงการ
รู้จักตอนนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ถูก รสช. ไล่ออกจากประเทศ เป็นผู้ลี้ภัยไปอยู่สวีเดน ตอนนั้นผมยังถูกกับคุณเฉลิมอยู่ ผมสงสารว่าไปอยู่สวีเดน ห้องเล็กๆ ไปอยู่กัน 4-5 คน พ่อ แม่ลูก และได้ข่าวว่าเป็นอัมพฤกษ์ ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่า รสช.จะจบเร็ว ผมก็วานให้ลูกน้องเอาเงิน 2 หมื่นเหรียญ บินไปให้คุณเฉลิม ตอนนั้นผมมีตังค์ ทำเพื่อเพื่อน
ผมเจอคุณทักษิณ ตอนนั้นที่ รร.ปริ้นเซส ผมก็ถามว่า คุณทักษิณผมเอาเงินไปให้คุณเฉลิม คุณจะช่วยออกบ้างไหม เพราะผมเห็นว่าเขา เคยไปวิ่งเต้นเรื่องดาวเทียม เรื่องไอบีซี กับเฉลิม และก็กำลังวิ่งเต้นเรื่องดาวเทียมกับพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช. คุณทักษิณตอบหน้าตาเฉยว่า "ให้มันทำไม มันหักหลังผม ผมให้มันมามากแล้ว"
เขามองว่าถูกคุณเฉลิมหักหลังเรื่อง ให้ไอบีซีเขา แล้วทะลึ่งไปให้ไทย สกาย กับ คีรี กาญจนพาสน์ ไม่ได้ผูกขาด เจ็บใจตรงนี้
เบื้องหลังไทยสกาย เฉลิมมาเล่าให้ฟังว่า พลเอกชาติชาย เรียกเขาไปพบ แล้วบอกเสี่ยเม้ง (มงคล กาญจนพาสน์) พ่อของคีรี เคยเป็นลูกน้องพ่ออั๊ว เขามาของานชิ้นหนึ่งที่อสมท ให้เขาหน่อย เฉลิมเลยให้ไทยสกายไป
ผมไปซื้อบริษัทไออีซี จากปูนซิเมนต์ไทย ผมซื้อมาในราคาทุน และปั้นบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมเห็นว่าเขาน่าที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ผมได้ ก็เรียกเขามาให้ซื้อหุ้นบางส่วนไป ในราคาพาร์ 10 บาท ตอนนั้นอันเดอร์ไรท์ 250 บาท แต่มาภายหลังเขาก็ไม่ได้เข้ามาจอยด้วย เขาเข้ามาเป็นกรรมการอยู่พักหนึ่งแล้วก็ออกไป เพราะเขาขยายงานเอไอเอส แล้วเขาก็ขายหุ้นไออีซีทิ้งไป ได้กำไร 400 กว่าล้าน
แล้วผมเคยไปเอาอะไรจากเขา...
“...เขาบอกว่าเรื่องราวต่างๆในอดีต หวังว่าผมเข้าใจเขา คนอื่นไปพูดหาว่าเราผิดใจกัน เขาบอกว่า มาเล่นการเมืองแน่นอน เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาไม่ต้องการอะไรแล้ว เขาจะเสียสละทั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมือง เขาบอกเขาเบื่อแล้ว ผมก็หลงโง่ไปเชื่อเขา.”
ต้องจับประเด็นให้ถูก ก่อนการเลือกตั้งครั้งแรก ตอนปี 2544 ผมกับเขาไม่คบหาสมาคมกัน อาจารย์สมคิด พยายามให้ผมกับทักษิณ คืนดีกัน ผมไม่ชอบวิธีการพูดจาของเขา วิธีการที่เขาโอ้อวด และการที่เขาเคยเป็นรองนายกฯ สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แล้วเขาก็โม้ไปต่างๆ ผมก็ไม่สน ทางใครทางมัน
ทีนี้คุณต้องจำไว้อย่างหนึ่ง ตอนที่เขากำลังจะเข้ามาต่อสู้ทางการเมือง เผอิญ ผมสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลยต้องกลายเป็นแนวร่วมไปโดยปริยาย แม้แต่สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยังยอมรับเลยว่า ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งคราวนั้น 50 % มาจากฝีมือผม เขาก็มองว่าผมเป็นแนวร่วม
ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เขาอุตส่าห์ประสานงานมาขอพบผม ผมก็คิดว่าไม่เห็นเสียหายอะไร ก็เลยไปกินก๋วยเตี๋ยวบ้านผม เจ็ดวันก่อนเลือกตั้ง ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ นั่งอยู่ศาลาหน้าบ้าน ไม่มีสิทธ์เข้ามานั่งกินด้วยหรอก
เขาบอกว่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีต หวังว่าผมเข้าใจเขา คนอื่นไปพูดหาว่าเราผิดใจกัน เขาบอกว่า มาเล่นการเมืองแน่นอน เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาไม่ต้องการอะไรแล้ว เขาจะเสียสละทั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมือง เขาบอกเขาเบื่อแล้ว ผมก็หลงโง่ไปเชื่อเขา ผมว่าก็ดีนะ ผมดันทะลึ่งเอามาตรฐานผมไปวัด เพราะมาตรฐานผมกับเขามันคนละเรื่องเลย ผมบอกว่า โอเคงั้นผมสนับสนุนคุณ ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าไป ปีแรกเขาโดนเรื่องซุกหุ้น ความที่ผมสงสารเขา ผมเห็นใจเขา คิดว่าเจตนาเขาดี ก็บอกว่า ช่างมันเถอะ ยกเว้นเรื่องพวกนี้ไป ให้โอกาสเขาทำงานบ้าง ก็เห็นว่าผมแบ็คเขาตลอดในปีแรก เพียงเพื่อให้เขาพ้นคดี
เขาเริ่มทำงานจริงปี 45 ปีนั้นเป็นปีที่เขาจัดทัพ ย้ายคนโน้น ย้ายคนนี้ ย้ายเกริกไกร จีระแพทย์ ย้ายคนทำงานที่ไม่สนองเขา เขาย้ายหมด ผมก็ยังมองโลกในแง่ดี ว่า เมื่อเป็นผู้บริหารแล้วลูกน้องไม่ทำตาม ก็มีสิทธิ์ย้ายได้ ผมก็ยังซัพพอร์ตเขาอยู่
พอเริ่มเข้าปีที่ 3 ปี 2546 ผมเริ่มเข้าไปทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ปีนั้นผมก็ยังซัพพอร์ตเขาอยู่ ผมพยายามหาความชอบธรรมในการ อธิบายความให้ประชาชนเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้น เขาทำไปเพราะอะไร ทำไมถึงทำเช่นนั้น และพยายามบอกเขาว่า สิ่งที่เขาทำไปเพราะเขาไม่รู้ มันเกิดเหตุเพราะลูกน้องเขาเฮงซวย ทีนี้พอพ้นปี 46 เริ่ม 47 ผมเริ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะว่า มโนธรรมของผมมันบอกผมว่าสิ่งที่ผมทำนั่น ผมทำไม่ถูก
ขึ้นปี 47 ประมาณ ไตรมาสที่ 2 ผมไม่อยากไปวันศุกร์ จะอ๊วกให้ได้ จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจ ผมบอกลูกน้องให้ไปบอกมิ่งขวัญว่า เมื่อไรที่อยากให้เลิกทำ มากระซิบบอกให้หยุดเลยดีกว่า แล้วผมก็เริ่มวิจารณ์เขามากขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 47 ผมจำได้แม่นเลย เริ่มวิจารณ์ว่าเขาทำอย่างนี้ไม่ถูก เริ่มที่จะเอาเขามาวิจารณ์หลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
จนเข้าปี 48 ก็แรงขึ้นๆ จนกระทั่งเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นรายการทอล์ก อะราวด์ ทาวน์ ของปี 48 ทุกคนพูดถึงผม ว่าเป็นคนเดียวที่กล้าพูด ผมบอกผมตัดใจละ ถ้าให้ผมหยุดผมก็หยุด แต่ก่อนผมหยุด ขอเป็นมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ขอเป็นสื่อมวลชนที่สมบูรณ์แบบสักครั้งหนึ่ง แต่ผมหวังว่าที่ผมหยุดนั้นให้มิ่งขวัญโทรมาหาผม หรือชวนผมกินข้าว บอกพี่ รัฐบาลเขาไม่พอใจ พี่หยุดได้ไหม ผมก็จะหยุดเงียบๆ แต่ไม่ใช่
มันมาแตกเอาวันที่ 9 กันยายน ผมพูดเรื่องสมเด็จพระสังฆราช ผมพูดเรื่องการทำพิธีในวัดพระแก้ว ตรงนั้นเบรคแตก เขาจะไปอเมริกาพอดี เขาโกรธมาก เขาโทรสั่งมิ่งขวัญ และ ผดุงให้จัดการให้เรียบร้อย หาวิธีไดวิธีหนึ่ง ถอดรายการไปเลย
มิ่งขวัญ ธงทอง เรวัติ ก็เลยไปดึงประเด็นที่ว่าผมดึงเบื้องสูงขึ้นมาพูด มาถอดรายการผม แทนที่จะกระซิบบอกผมว่าพอละพี่ ผมจะออกไปเลย มาใช้วิธีนี้ เมื่อมาออกทีวีด่าผม ผมก็ต้องโต้กลับ ว่า การที่คุณพูดนี่ผิด ผม ไม่ได้ดึงเบื้องสูงขึ้นมาสักนิดเดียว และก็ไม่ได้วิพากษ์ วิจารณ์คนเดียวเพราะนี่คือรายการวิเคราะห์ข่าว ไม่ใช่รายการสรยุทธ์ ถ้ารายการสรยุทธ์ถึงลูก ถึงคนน่ะ สรยุทธเป็นพิธีกร เอาคนมาซัก แต่นี่คือเอาข่าวชิ้นหนึ่งมาวิเคราะห์ เมื่อวิเคราะห์ ก็ต้องพูดคนเดียวสิ นี่เขาเรียก news analysis ผมก็ต้องฟ้องกลับ 2 ข้อหา
ทีนี้พอผมฟ้องเสร็จ พอทักษิณกลับมา เบรคยังไม่หายแตก ให้ธนา เบญจาทิกุล ฟ้องผม เปลี่ยนจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ฟ้องผม แต่ไม่ฟ้องสื่อ คือ อสมท. และก็ฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่ตีพิมพ์คำสอนของหลวงตามหาบัว ที่เทศน์ว่าทักษิณเลวกว่าเทวทัต ฟ้องหนังสือพิมพ์แต่ไม่ฟ้องหลวงตา...
สมัยก่อนผมเชียร์เขา ผมโง่ไปแล้วผมหลงผิดไป แต่ผมไม่ผิด เพราะผมเคยเชียร์ใครแล้วต้องเชียร์ไปตลอดชีวิตหรือ ถ้าคนหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ผมรักมาก แล้วมาทำลายชาติ ทำลายแผ่นดิน ผมก็ไม่รักได้ เพื่อนส่วนเพื่อน ส่วนรวมคือส่วนรวม พวกนี้พูดจริงคือผมเชียร์เขา แต่ที่ไม่จริงคือผมเห็นว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ผมเลยต้องเดินหน้าเข้ามาและวิพากษ์วิจารณ์เขา
ถึงตอนนี้ผมก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนะ ผมยังเหมือนเดิมทุกอย่าง และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อีก 2-3 ปีก็ได้ ถ้าผมไปรับตำแหน่งอะไร คุณเจอหน้าผมที่ไหน คุณถอดรองเท้าแล้วเอาตบหน้าผมได้เลย
ประชาชนคนไหน เห็นผมไปรับตำแหน่งอะไรกับรัฐบาลชุดใหม่ เจอหน้าผม ผมให้ถุยน้ำลายใส่หน้าผมได้เลย
จุดยืนผมอยู่เท่าเดิม ผมมีหน้าที่ตั้งคำถาม ถามคน แล้วไม่ใช่เฉพาะทักษิณนะ ผมจะเป็นตัวแทนของประชาชนวันนี้และวันข้างหน้าตลอดไปว่า อะไรที่มีความไม่โปร่งใส ผมต้องถามเขา ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทักษิณ ชินวัตร อาจจะเป็นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือใครก็ได้ และผมจะทำหน้าที่ตรงนี้อย่างซื่อตรงที่สุด
ผมเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ผมพูดกับเด็กรุ่นหลังตลอดเวลา พวกนักข่าว ว่าผมสู้ให้พวกคุณทั้งนั้น เมื่อวันหนึ่งที่คุณทำงานได้อย่างสะดวกสบาย มีสิทธิเสรีภาพ เสี้ยวหนึ่งของความคิด คุณคิดถึงผมก่อนแล้วกัน ไม่ต้องมาเป็นหนี้บุญคุณผม ผมไม่ต้องการ
คนชอบไปคิดไปเลยเถิด ชอบไปตีสมการ คิดอย่างโน้นอย่างนี้ จิ๊กซอว์ไม่มี ไม่มีจริงๆ อย่าไปอ่านสนธิให้ลึกซึ้งมากเกินไป มีอยู่แค่นี้เอง
เหมือนเอาไม้หน้าสามมาตีผม แล้วบอกว่าผมไม่ตีคุณแล้วน่ะ คุณช่วยยกมือไหว้ผมหน่อย มันบ้า ผมอยู่ของผมเฉยๆ แล้วมาฟ้องผมเพื่อปิดปากผม แล้วผมไม่กลัว แล้วที่คุณถอนเพราะคุณต้องจำใจถอน นายกฯถอยก้าวคุณสนธิไม่ถอยหรือ มันบ้า ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยน ความจริงในอดีตคนจะสู้ก็มี สุทธิชัย หยุ่น แต่เมื่อสู้แล้วถูกเขาบีบมาก็เริ่มถอย เผอิญผมสู้แล้วไม่ถอย จริงๆ บทบาทนี้มีคนทำได้เยอะ หากเขากล้าที่จะทำ ผมอาจไม่เห็นด้วยที่คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ผม แต่ผมจะสู้จนตายเพื่อปกป้องสิทธิที่คุณไม่เห็นด้วยกับผม สิ่งที่ผมทำผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ ผมช้ำใจถึงทุกวันนี้ ที่ไม่สามารถเป็นตัวของผมเองได้อีกต่อไปอนาคต คนคาดหวังกับตัวผมมาก ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมดแล้ว ผมกลุ้มใจ จริงๆ ผมมีชีวิตที่ธรรมดาที่สุด
แต่ผลมันมีน่ะ คนที่ทำงานบริษัทเอไอเอสรู้เลย คนคืนโทรศัพท์เอไอเอสเยอะมาก และไม่ได้คืนเปล่า คืนด้วยด่าด้วย ดีแทคส้มหล่น ยังไงก็ฝากเอาไว้ถึงแม้จะมีข้อจำกัดอะไรบ้างอย่างก็ต้องต่อสู้ ผมยังเสียดายเลย ทักษิณพูดได้ยังไงวันที่ด่านักข่าว ถ้าผมเป็นนักข่าวหรือเป็นเด็กผม ผมจะตบกะโหลก ทำไมท่านนายกฯต้องพูดจาหยาบคาบอย่างนี้ ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ผม นี่ไงเราไปยอมเขาได้อย่างไร มันเป็นสิทธิในการทำหน้าที่ตามบทบาท
ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณจะปรับท่าทีหรือฟังความคิดเห็นผมอย่างไรนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า “คุณคิดว่าเสือน่ะ มันจะมีเสือมังสวิรัติหรือเปล่า?”