xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวในรอบสัปดาห์ 13-19 พฤศจิกายน 2548

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show


1. "ในหลวง"ทรงประกอบพิธีประดับยศแก่ทหาร-ตำรวจชั้นนายพล


เวลา 17.30 น. วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ อาคารอเนกประสงค์ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทรงประกอบพิธีประดับยศแก่นายทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานชั้นยศเป็นนายพล จำนวนทั้งสิ้น 390 นาย ต่อมาทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานชั้นยศเป็นนายพลตำรวจตรี เฝ้าทูลละอองธุรีพระบาท รับพระราชทานการประดับยศจำนวนทั้งสิ้น 66 นาย จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท มีใจความว่า “ผู้ที่ได้รับยศสูงจะต้องรักษาเกียรติสูง ถ้าหากรับยศสูงแล้วและไม่รักษาเกียรติ ไม่รักษาความรับผิดชอบของยศสูงนั้นก็ไม่เป็นของดี เพราะฉะนั้นก็เชื่อว่า ท่านที่ได้รับยศจะตระหนักในความรับผิดชอบที่ได้รับ ก็ขอให้ท่านสำนึกในความรับผิดชอบที่ท่านมี โดยเฉพาะในระยะปัจจุบันนี้จะมีหน้าที่อย่างไร มีหน้าที่ในแนวรบ หรือแนวปฏิบัติก็ตาม ขอสู้ รู้ในหน้าที่ราชการอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่การต่อสู้แต่จะต้องทำดีที่สุด เพราะว่าผู้ที่มียศย่อมต้องปฏิบัติให้สมเกียรติของยศ เพราะว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะจ้องมองดูเสมอว่า นายเป็นอย่างไร จะเป็นในสนาม จะเป็นในห้องทำงาน เราต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอ และผู้ใต้บังคับบัญชาจะจ้องมองว่านายทำอะไร ถ้านายทำดีมีความสามารถก็ชื่นชม และไม่ใช่ว่าเขาชื่นชมเท่านั้นเอง เขามีกำลังใจที่จะทำหน้าที่ให้ดี และต่อไปเขาหวังว่าต่อไปจะได้ยศสูงเหมือนกัน ฉะนั้น ท่านที่ได้รับยศสูงขึ้นมามีความรับผิดชอบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแก่ตัวเองที่จะต้องรักษาความดีเอาไว้ ไม่ให้เขาตำหนิติเตียนได้ว่านายของเราเป็นคนที่ไม่ดี ถ้านายของเราคนไม่ดี ทั้งแถว หมายความตั้งแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนผู้ที่เป็นผู้น้อยก็จะไม่ดีไปด้วย และถ้าอย่างนั้นถ้านายทหาร นายตำรวจ ไปทำตัวอย่างที่ไม่ดีเข้า ทำให้เสียหายอย่างมากๆ ถ้าทำดีก็มีความดีมากเหมือนกัน เพราะว่าบ้านเมืองจะเจริญได้ บ้านเมืองจะปลอดภัยได้”

“ในหลวง” ทรงรับสั่ง “ทหาร-ตร.ระดับสูง” ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้อง


2. “ทักษิณ”ฟ้อง“สนธิ”อีกคดีเรียก 1 พันล.-ขอศาลปิดปาก

อีกเรื่องหนึ่งที่จับตาและน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือกรณีการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายอีก 1 พันล้านบาท กรณีถูก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการกล่าวหาในเรื่องการวิ่งเต้นในเรื่องสัญญาสัมปทานดาวเทียม ขณะเดียวกันได้ขออำนาจศาลเพื่อคุ้มครองฉุกเฉินห้ามไม่ ให้ นายสนธิ กล่าวพาดพิงในเรื่องดังกล่าวอีก อย่างไรก็ดี นายสนธิ กล่าวว่าจะยื่นร้องคัดค้านต่อศาลแพ่ง และจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในสัปดาห์หน้า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยยืนยันกับสื่อมวลชนในรายการนายกฯพบสื่อที่ทำเนียบรัฐบาลว่าจะไม่ยื่นขออำนาจคุ้มครองจากศาล โดยย้ำว่าแม้แต่คิดก็ยังไม่เคย

เปิดคำฟ้อง “ทักษิณ” เรียก “สนธิ” พันล้าน
ทนาย “สนธิ” เตรียมยื่นศาลยกเลิกคำสั่งปิดปาก
ศาลสั่งปิดปาก “สนธิ” - “ทักษิณ” ฟ้องอีกพันล้าน


3. ครม.เห็นชอบให้เลือกส.ว.ชุดใหม่19 เมย.49

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ในวันพุธที่ 19 เมษายน 2549 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เสนอ พร้อมทั้งเห็นชอบให้วันเลือกตั้งดังกล่าวเป็นวันหยุดพิเศษอีกด้วย ทั้งนี้เหตุผลที่เสนอให้มีการเลือกตั้งในวันพุธ แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์เหมือนการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้ง เพราะตามกฎหมายต้องเลือกตั้ง ส.ว.ภายใน 30 วัน ซึ่งแตกต่างจากการเลือก ส.ส.ที่กำหนดให้เลือกตั้งภายใน 45 วัน ดังกล่าวจึงมีข้อจำกัดเรื่องเวลา และหากให้การเลือกตั้งตรงกับวันอาทิตย์ก็จะตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์อาจมีปัญหาเรื่องร้องเรียนการเลือกตั้งเรื่องการจัดเลี้ยงการขนคน ทางกกต.จึงตัดปัญหาเลือกเอาวันพุธที่ 19 เมษายนเป็นวันเลือกตั้ง ส.ว.ดังกล่าว พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ คาดว่า กกต.น่าจะเสนอร่าง พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ว.ให้คณะรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และคาดว่าจะใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งกว่า 2,000 ล้านบาท เท่ากับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

ครม.เห็นชอบเลือก ส.ว.19 เม.ย.-ใช้งบ 2 พันล้าน
กกต.เตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ส.ว.ปีหน้า


4. “สนธิ”ลั่นร้องศาลปกครองสู้อยุติธรรม-รัฐบาลปีศาจ

ตลอดทั้งสัปดาห์คงไม่มีประเด็นเรื่องใดที่กลายเป็นหัวข้อการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั่วบ้านทั่วเมืองเท่ากับกรณีการใช้อำนาจรัฐ การใช้วิชามารเพื่อคุกคามกลั่นแกล้งการทำหน้าที่สื่อมวลชน สกัดกั้นไม่ให้เปิดโปงทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประเทศได้อย่างสะดวก มีการทำทุกวิถีทางไม่ให้ รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่ดำเนินรายการโดย นานสนธิ ลิ้มทองกุล และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการหรือเผยแพร่ออกสู่สาธารณะได้โดยสะดวก ที่ผ่านมามีการใช้อำนาจรัฐและการใช้อำนาจมืดข่มขู่คุกคามไม่ให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นเผยแพร่ถ่ายทอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์จาก ASTV โดยมีคำสั่งเป็นหนังสือเวียนจากอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และจากกระทรวงมหาดไทยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เข้มงวดและเร่งชี้แจงประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลรวมทั้งให้ชี้แจงกับประชาชนว่ามีกลุ่มบุคคลกำลังมีความพยายามสร้างความแตกแยกในชาติปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้การคุกคามข่มขู่ยังมาในรูปแบบของการใช้อำนาจทางทหาร โดยเฉพาะกรณีของ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์(ผบ.พล.1รอ.) ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนร่วมรุ่นของ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีของ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 5 ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นผู้ผลักดันอย่างสุดกำลังให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน ที่ร่วมกันแสดงท่าทีและวาจาข่มขู่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ห้ามไม่ให้พูดถึงสถาบันเบื้องสูงและวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกันยังมีความพยายามอื่นๆ เช่นการสั่งการให้ บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดูแลการให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย รวมทั้งบริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด (ISSP) ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ให้เช่าสัญญาณโครงข่ายแก่เว็บไซต์ “ผู้จัดการออนไลน์” ให้ทำการตัดวงจรการเชื่อมโยงเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์เข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และยังมีความพยายามใช้อำนาจรัฐอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งการแจ้งความดำเนินคดีต่อนายสนธิอีกหลายคดีอีกด้วย อย่างไรก็ดี นายสนธิ ได้แถลงข่าวยื่นยันว่าจะร้องศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมและยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรมของรัฐบาลปีศาจในคราบประชาธิปไตยต่อไป อย่างไรก็ดีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 พ.ย.) ที่สวนลุมพินี มีประชาชนทั่วสารทิศนับแสนคนหลั่งไหลท่ามกลางสายฝนพรำมาร่วมฟังความจริงและร่วมรับรู้คำถามที่รัฐบาลไม่อยากตอบ ไม่อยากได้ยินแต่ประชาชนมีสิทธิ์รับรู้

“สนธิ” ลั่นร้องศาลปกครอง สู้อำนาจอยุติธรรม-รัฐบาลปีศาจ
“อภิสิทธิ์” ให้กำลังใจผู้จัดการ - “สนธิ” อัดรัฐใช้ “อำนาจต่ำช้า” ที่สุด
“พล.ต.พฤณท์” ไม่กล้าสู้หน้า - ส่งแค่ตัวแทนพบ “สนธิ”
วันนี้ตท.10รุ่น‘ทักษิณ’ บุก‘ผู้จัดการ’กดดันปิดปาก‘สนธิ’


5. "พล.ต.อ.โกวิท” สั่งรูดซิปปากตร.-ปัดไม่ได้ปิดกั้นสื่อ

16 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือห้ามข้าราชการตำรวจระดับต่ำกว่าผู้บังคับการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และห้ามนำผู้เสียหาย ผู้ต้องหา พยาน พระภิกษุ สามเณร ผู้เสียหายที่เป็นเยาวชน ออกให้ข่าวหรือแถลงข่าว ตลอดจนห้ามชี้ตัวผู้ต้องหาในลักษณะการเผชิญหน้าต่อสื่อมวลชน รวมทั้งห้ามถ่ายภาพทำข่าวผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างควบคุมตัวบนโรงพักอย่างเด็ดขาด รวมทั้งการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาและผู้เสียหาย และป้องกันเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำผิดรัฐธรรมนูญ พร้อมปฏิเสธไม่ได้เป็นการปิดกั้นสื่อ ระบุ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษทางวินัยและเอาผิดถึงผู้บังคับบัญชาอีกด้วย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประธานชมรมผู้สื่อข่าวช่างภาพอาชญากรรม คือ นายสมศักดิ์ ศรีกำเหนิด ได้เข้ายื่นหนังสือคัดค้านเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า อาจส่งผลกระทบต่อการนำเสนอข่าวอาชญากรรม โดยระบุว่า ที่ผ่านมาสื่อมวลชนทุกแขนงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทบทวน หรือชี้แจงเหตุผลของคำสั่งดังกล่าวเพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติต่อไป ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ ครูหยุย ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสตรีเยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา กล่าวว่า การคุ้มครองหรือปกป้องสิทธิของผู้เสียหายถือว่าถูกต้อง แต่การนำเสนอข่าวเรื่องเหล่านี้ในบางกรณีก็จำเป็นเช่นกัน เพื่อให้สังคมรับรู้ว่ากำลังเกิดภัยอันตรายอะไรขึ้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากจะห้ามเป็นข่าวในทุกกรณี ดังนั้นจึงอยากให้มีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่าอะไรที่จะให้ข้อมูลกับสื่อได้ ต้องนำเสนออย่างไร และอะไรที่ขอยกเว้นไม่ให้รายละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

“โกวิท” จัดระเบียบการให้ข่าว ตร.ยศต่ำกว่าผู้การฯ หมดสิทธิ์พูด
ครูหยุยจี้ตำรวจแจงเพิ่มกรณีห้ามแถลงรายละเอียดคดีอาชญากรรม
"ครูหยุย"จี้ตำรวจแจงคำสั่งปิดปากสื่อ


6.คนไทยตื่นกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมลอยกระทงวัสดุธรรมชาติ

ผ่านพ้นไปด้วยดีสำหรับการร่วมฉลองประเพณีเทศกาลลอยกระทงของคนไทยทั่วประเทศ เมื่อค่ำคืนที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซี่งบรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีและคึกคักไม่แพ้กว่าปีที่ผ่านๆมา โดยเฉพะในเขต กทม. ได้มีการจัดงานใน 2 พื้นที่หลัก คือ ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี และสวนสันติชัยปราการ ฝั่งพระนคร พร้อมเปิดสวนสาธารณะทั้ง 18 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร โดยปีนี้กทม. ได้เข้มงวดห้ามเล่นพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟโดยเด็ดขาด และส่งเสริมให้ใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง ต้นกล้วย ขนมปัง หรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆที่ย่อยสลายได้ง่าย และร่วมกันเลิกใช้กระทงโฟม พลาสติก หรือ วัสดุที่ย่อยสลายยากและเป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากผู้ที่เข้าร่วมงานจะลอยกระทงที่ทำจากวัสดุจากธรรมชาติโดยส่วนใหญ่ ทั้งนี้แต่ละจุดได้มีผู้เดินทางไปร่วมงานจำนวนมาก อย่างเช่น บริเวณสวน สาธารณะสันติชัยปราการ เขตพระนคร มีทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน ซึ่งภายในงานมีการจำหน่ายกระทงหลากสีหลายแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุจากธรรมชาติทั้งนั้น เช่น กระทงใบตอง กระทงหยวกกล้วย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการออกร้านขายอาหาร ขนม และน้ำ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นของกินโบราณ เช่นขนมเบื้องญวณ ขนมเบื้องไทยโบราณ ขนมหวานจำพวกทองหยิบ ทองหยอด เป็นต้น ทั้งยังมีการแสดงการ แกะสลักหยวกกล้วยที่เรียกกว่าการแทงหยวกให้เป็นลายฉลุไทยอย่างงดงาม เป็นต้น

ลอยกระทงยามดึกฝั่งพระนคร
ยี่เป็งเชียงใหม่ปล่อยโคมยักษ์ใหญ่สุดในโลก
“องคมนตรี” ร่วมลอยกระทงกับชาวหาดใหญ่นับหมื่นคน


7.ซึ้งศาลปกครองชะลอกระจายหุ้น "กฟผ." –รมว.คลัง ชี้กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน

หลังจากลุ้นกันมานานกรณีการขอระงับการกระจายหุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตให้กับประชาชนทั่วไปในวันที่ 16-17 พ.ย. ตามคำร้องขอ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวกรวม 11คน ที่ได้ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพวกรวม 5 คนต่อศาลปกครองสูงสุด ฐานกระทำการโดยมิชอบ โดยขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัทการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จำกัด (มหาชน) (กฟผ.) พ.ศ.2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนั้น ล่าสุด 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลปกปกครองได้มีการพิจารณาชี้ขาดในเรื่องนี้ ซึ่งภายหลังการประชุม นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าองค์คณะในศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงว่า ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า หากให้ระงับการบังคับใช้ พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และเกิดปัญหาแก่การบริหารงานของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) ดังนั้นจึงเห็นว่า ยังไม่สมควรที่จะสั่งทุเลาการบังคับใช้ พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ส่วนคำขอที่ให้ระงับการดำเนินการต่างๆเกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัท กฟผ.จำกัด(มหาชน)ไว้ก่อนเห็นว่าคดีนี้มีมูล โดยเห็นว่า กฟผ.กำลังดำเนินการเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่เอกชน โดยกำหนดให้ประชาชนจองซื้อหุ้นในวันที่ 16-17 พ.ย. หากให้มีการดำเนินการดังกล่าว และในภายหลังศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ยอมทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างแก่ประชาชนที่จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก จึงให้ระงับการดำเนินการเพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ภายหลังที่คำแถลงจบลง น.ส.รสนา โตสิตระกูล และตัวแทนของผู้ฟ้องคดีและประชาชนที่คัดค้าน ที่ได้เข้าร่วมฟังต่างยกมือกราบขอบคุณศาลปกครองสูงสุด ขณะที่ประชาชนที่รับฟังอยู่ภายนอกห้องการพิจารณาก็ได้ส่งเสียงไชโยโฮร้องกึกก้อง โดยน.ส.รสนา บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ศาลมีคำสั่งออกมาเท่ากับว่าวันนี้เราได้มีโอกาสเอาความจริง ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะไม่ใช่ความจริงข้างถนนอย่างที่รัฐกล่าวหา และความจริงนี้ก็สามารถทำให้รัฐต้องหยุดยั้งการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะที่ผ่านมาได้มีการเดินทางโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูรายละเอียดของคำสั่งว่าศาลมีเหตุผลอย่างไรบ้างในการระงับการขายหุ้น เพื่อหาคำอธิบายให้นักลงทุนได้เข้าใจต่อไป

ศาลสั่งระงับขายหุ้นกฟผ.
กฟผ.ขู่ค่าไฟฟ้าแพงอ้าง 3 ปีลงทุนแสนล.

กำลังโหลดความคิดเห็น