คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1. 6 ตุลา 19 รำลึกที่ธรรมศาสตร์ “ญาติวีรชน”แห่ร่วมคับคั่ง
เวียนมาบรรจบอีกรอบสำหรับการจัดงานรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวแทนคณะกรรมการญาติวีรชน 6 ตุลา 19 ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดสวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเป็นรำลึกถึงผู้เสียสละจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยมีบุคคลที่มีชื่อเสียงของสังคมร่วมงานเป็นจำนวนมากไม่ว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ และอดีตแกนนำนักศึกษาเมื่อครั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) ทั้งนี้บรรยากาศในช่วงเช้าญาติวีรชนและผู้ร่วมงานได้ร่วมกันทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับวีรชนที่เสียชีวิต และภายหลังพิธีเปิดสวนประติมากรรมฯ ได้ร่วมกันจุดเทียนสีขาวเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับวีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งเพื่อทำให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
รำลึก 6 ตุลา-เปิดสวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ มธ.
รายงานพิเศษ : ย้อนรอย...เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 – 6 ตุลา 2519!!
2. นายกฯฟ้อง "สนธิ-สโรชา"เรียกค่าเสียหาย 500 ล้าน
ดูเหมือนผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์จะถูกคุกคามไม่เลิก นับตั้งแต่ถูกบอร์ด อสมท. สั่งปลดรายการแบบ ฟ้าผ่า เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา โดยล่าสุดเมื่อ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยคำฟ้องสรุปได้ความว่า จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งรายการดังกล่าวมีการแพร่ภาพและออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท ซึ่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2548 จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิด โดยการกล่าวสนทนากัน โดยการหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ขึ้นสนทนาและสอดแทรกถ้วยคำพูดที่เป็นการดูหมิ่นและใส่ความโจทก์ในระหว่างการดำเนินรายการหลายครั้ง โดยเฉพาะ การนำเอาบทความเรื่องลูกแกะหลงทาง ที่อ้างว่ามีผู้ส่งมาให้ทางเว็บไซต์มาอ่านในรายกาย ซึ่งเนื้อหาของบทความเป็นการดูหมิ่นและใส่ความโจทก์ เปรียบเปรยโจทก์ในทางที่เสียหาย ทำให้ประชาชนที่ชมรายการ เข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่คิดวัดรอยเท้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีความโปร่งใสในทรัพย์สิน ใช้อำนาจมิชอบ บริหารบ้านเมืองโดยมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นของตนเอง โดยในท้ายคำฟ้อง ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา โดยศาลอาญา รับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 26 ธันวาคมนี้ เวลา 09.00 น. นอกจากนี้ ยังได้ยื่นฟ้องในคดีแพ่งฐานละเมิดอีก 1 คดี โดยฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม เป็นจำเลยที่ 1 นายสนธิ เป็นจำเลยที่ 2 และ น.ส.สโรชา เป็นจำเลยที่ 3 ฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท จากกรณีที่จำเลยได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาโจทก์ ในวันเดียวกันและข้อความเดียวกัน กับคดีอาญา ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยศาลนัดชี้สองสถานในวันที่ 13 มีนาคม 2549 เวลา 09.00 น.
นายสนธิ กล่าวว่า ไม่ประหลาดใจแต่เสียใจ และในที่สุดก็ดีใจ โดยทำให้ทราบว่าเรื่องราว ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน ในสังคมไทยในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมาเป็นสังคมที่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง และสิ่งที่ ตนได้ทำคือได้พูดความจริง รวมทั้งสิ่งที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ และเสียใจที่นายกรัฐมนตรีฟ้องเรื่องนี้ เพราะเป็น การบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อเป็นคนที่อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองแล้วไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการวิพากษ์ วิจารณ์ ถือว่าเป็นสังคมที่มีปัญหา นายสนธิ ยืนยันว่า ได้ยึดมั่นในสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หมวด 3 ที่ให้สิทธิในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยไปก้าวล่วงสิทธิส่วนบุคคลของนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการพูดเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ ขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 3 มาตรา 34 ว่าด้วยสิทธิของบุคคลในเกียรติยศ ชื่อเสียง ย่อมได้รับความคุ้มครอง จะกระทำมิได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ตรงนี้ตนก็ไม่เคยละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของนายกฯ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะกล้าพอหรือไม่ที่จะไปขึ้นศาลในวันไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อตอบความจริงทั้งหมด
ด้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นการฟ้องเพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคล เมื่อเห็นว่าถูกละเมิดก็ต้องพึ่งศาลตามกระบวนการยุติธรรม หากศาลชี้ขาดว่าไม่ผิดก็จบ แต่หากชี้ว่าผิดก็ต้องชดใช้ ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย
เปิดคำฟ้อง"ทักษิณ"อ้าง"สนธิ"พูดทำให้เสื่อมความนิยม เรียก 500 ล้าน
ทนาย “ทักษิณ” เฝ้าดูรายการเมืองไทยฯศุกร์นี้ ก่อนยื่นศาลปิดปาก “สนธิ”
3.วงการสื่อผนึกกำลังต้านภัยคุกคาม-อำนาจรัฐ
วงการหนังสือพิมพ์ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้เชิญผู้บริหารระดับสูงและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นสมาชิก มาร่วมประชุมในหัวข้อ " สถานการณ์สื่อมวลชนในปัจจุบัน" ซึ่งมีผู้บริหารและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาคเข้าร่วมจำนวนมากกว่า 30 ฉบับ 23 กลุ่มบริษัทเข้าร่วม ส่วนใหญ่ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ต่างเห็นร่วมกันว่า จำเป็นที่สื่อหนังสือพิมพ์จะต้องสร้างเอกภาพร่วมกันในการนำเสนอข่าว หากมีกรณีฟ้องร้องสื่ออันเกิดจากการทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจรัฐ หรือรักษาผลประโยชน์สาธารณะ เรียกค่าเสียหายเกินความจริง และควรมีการทำความเข้าใจกับสังคมว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อก็คือสิทธิการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องของประชาชน รวมทั้งควรได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับศาลยุติธรรมเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ของสื่อมวลชน อย่างไรก็ดีหลังการหารือได้มติร่วมกัน 4 ข้อ คือ 1. คัดค้านความพยายามทุกรูปแบบที่เป็นการคุกคาม ครอบงำ หรือแทรกแซง การปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมวิชาชีพของสื่อมวลชน 2. ยืนยันความเป็นเอกภาพของสื่อหนังสือพิมพ์ในการทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน 3. สนับสนุนการดำเนินการใด ๆ ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่จะเป็นการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และจริยธรรมของสื่อมวลชน 4. สนับสนุนการดำเนินงานมูลนิธิสถาบันพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ในสังกัดสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาทางด้านจริยธรรม และส่งเสริมมาตรฐานทางวิชาชีพสื่อมวลชน
ผู้บริหารนสพ.จับมือต้านภัยมืด "สนธิ"เรียกร้องเอกภาพสื่อ
4.“ทักษิณ”กล่อม“หมอสุชัย”ยื้อปรับครม.
การประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ของ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดความสนใจจากสังคมและมีการจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลต่อรัฐบาลอย่างไรบ้าง ทางหนึ่งนอกจากส่งผลต่อภาพพจน์ภายในกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เนื่องจากสาเหตุที่ นพ.สุชัยต้องประกาศลาออกดังกล่าวด้วยเหตุผลสืบเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 11 และระดับ 10
อีกทางหนึ่งก็คือหาก นพ.สุชัย ลาออกจริงก็ย่อมมีผลสะเทือนทางการเมืองต่อรัฐบาล “ทักษิณ 2/1” ไม่น้อย เพราะจะต้องเกิดแรงกดดันจากมุ้ง ก๊กต่างๆในพรรคไทยรักไทยอย่างแน่นอน เพราะขนาดที่ นพ.สุชัยยังไม่พ้นจากตำแหน่งก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวกดดันให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้ง นพ.สุชัย ไม่ให้ลาออก อย่างไรก็ตามแม้ว่าทุกอย่างทำท่าจะลงเอยด้วยดี แต่ล่าสุดก็ได้มีมือดีส่งเอกสารสำเนาใบลาออกของ นพ.สุชัยออกเผยแพร่ทางสื่อมวลชนที่ระบุให้มีผลในวันที่ 31 ตุลาคม ทำให้มีผลผูกพันทางสาธารณะแล้ว ทำให้ต้องจับตาดูว่านายกรัฐมนตรีจะหาทางออกอย่างไร
“วิษณุ”ชี้ใบลา“หมอสุชัย”ยังไม่มีผลทางกม.-สอบปลัดสธ.ไม่คืบ
วงในแย้ม “หมอสุชัย” เตรียมไล่เบี้ยเชือด! ขรก.ก่อนไขก๊อก
5.ไอ้ซาดิสต์อ่วมเจอรุมประชาทัณฑ์-น้องน้ำฝนอาการดีขึ้น
ประเด็นข่าวคราวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและปนเสียงสาปแช่งเป็นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่พ้นกรณีนายวิรัตน์ รักสีนิล ผู้ต้องหาในคดีพยายามข่มขืนและทำร้ายร่างกาย ด.ญ.น้ำฝน (นามสมมติ) อายุ 14 ปี จนบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีไป ซึ่งเป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่อำเภอโคกสำโรง จ.ลพบุรี ต่อมา ตำรวจสามารถจัมกุมผู้ต้องหาได้และนำไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจภูธร อ.เมือง ลพบุรี โดยผู้ต้องหาบอกว่า สาเหตุที่พยายามข่มขืนและทำร้ายเด็กหญิงเนื่องมาจากเกิดอารมณ์ทางเพศ และตัดสินใจลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อเหยื่อร้องจึงต่อยและใช้ไม้ทุบทีไปหลายครั้ง ต่อมา 6 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่เกิดเหตุ จ.ลพบุรี แต่เมื่อไปจุดก่อเหตุก็พบว่า มีประชาชนจำนวนมากมารอรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายจนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจึงยกเลิกไป กระทั่งวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ต้องมีการทำแผนประกอบรับสารภาพกันใหม่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีชาวบ้านและญาติผู้เสียหายมารอประมาณ 50 คน เจ้าหน้าที่ได้พยายามกันประชาชนให้ออกห่างจากจุดทำแผน พร้อมให้ผู้ต้องหาชี้จุด สาธิตวิธีการอย่างละเอียด โดยการทำแผนใช้เวลาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรีบคุมตัวผู้ต้องหาออกจากจุดเกิดเหตุเนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยช้าไปอาจมีประชาชนมารุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา อย่างไรก็ตามหลังจากทำแผนเสร็จเรียบร้อย ขณะตำรวจกำลังนำตัวนายวิรัตน์กลับยังสถานีตำรวจ ได้มีชาวบ้านจำนวน 3-4 คน เข้าทำร้ายนายวิรัตน์ ซึ่งครั้งนี้ถูกรุมประชาทัณฑ์มากกว่าครั้งแรกที่ผ่านมา เนื่องจากมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคุ้มกันน้อยกว่าครั้งก่อน
ส่วนอาการล่าสุดของน้องน้ำฝน น.พ.สุพจน์ สัมฤทธิ์วาณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี กล่าวว่า ดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลบริเวณใบหน้า ลำตัว มีอาการยุบตัวลง อาการปวดตามแผลน้อยลง แต่ทางทีมแพทย์ยังให้ยาระงับปวดเป็นระยะๆ เนื่องจากผู้ป่วยยังมีอาการปวดแผล หงุดหงิด อ่อนเพลียและคาดว่าจะออกจากห้องไอ.ซี.ยูได้ปลายเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม อาการที่น่าเป็นห่วงคืออาการน้ำเลี้ยงในสมองที่ไปกดทับสมอง ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นคงต้องมีการผ่าตัดต่อไป
มอบเงินนำจับ ช่วย"น้ำฝน" ฝากขังไอ้ซาดิสต์
ตร.เมืองลิงหิ้วไอ้ซาดิสต์ ทำแผนรอบ 2 ปชช.รู้ข่าวตามกระทืบอ่วม
อาการเหยื่อไอ้ซาดิสต์ดีขึ้น แต่น่าห่วงด้านจิตใจ
คุมเข้มไอ้ซาดิสต์ทุบตีเหยื่อวัย 14 หวั่นรุมประชาทัณฑ์
6.ยื้อเก้าอี้ผู้ว่าฯสตง.ถึงที่สุด-คตง.ส่งศาลรธน.ตีความ“จารุวรรณ”
ปัญหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ยังคงยืดเยื้อต่อไปไม่มีกำหนด หลังจากล่าสุดคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) เลือกหนทางส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ว่ายังเป็นผู้ว่าฯสตง.อยู่หรือไม่ ทั้งนี้คตง.ให้เหตุผลว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์การสามารถส่งให้ตีความได้ โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เป็นผู้ร่างคำร้องยื่นตีความ ขณะเดียวกันได้เตรียมการสำหรับการสรรหาผู้ว่าสตง.คนใหม่แล้ว
อย่างไรก็ดีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุผลที่ยื่นตีความครั้งนี้มีเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด เพราะกว่าที่ สตง. จะร่างคำร้องยื่นตีความเสร็จก็ต้องมีข้ออ้างเรื่องการใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และเมื่อส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมีการพิจารณาว่าจะรับตีความหรือไม่ หากรับตีความก็ต้องใช้เวลาอีก สรุปแล้วถือว่ามีขั้นตอนด้านเวลาที่ทำให้มีการยื้อได้นับเดือน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของวุฒิสภานั้นหลังจากเมื่อต้นสัปดาห์ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นหลังจากที่ นายสุชน ได้สั่งปิดการประชุมวุฒิสภาทั้งสัปดาห์โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นช่วงของการประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติ แต่ปรากฎว่าไม่มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมีชี้แจงร่างกฎหมายที่เข้าสภา เนื่องจากติดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้ ส.ว.กลุ่มหนึ่งไม่พอใจระบุว่า นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภาพยายามหลบเลี่ยงญัตติเกี่ยวกับการพิจารณาสถานะของคุณหญิงจารุวรรณเพื่อรอการพิจารณาของตคง.ในปลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดีเมื่อคตง.มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว ก็ทำให้ นายสุชนมีทางออกโดยอ้างต่อที่ประชุมว่าเมื่อมีการส่งตีความแล้วทางวุฒิสภาไม่มีความจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามให้จับตาการประชุมในวันจันทร์ที่ 10 ต.ค.นี้ว่าจะเป็นอย่างไร
คตง.ซัดกันนัว!แบ่งฝ่ายเสนอ 3 ทางออกสางปม “จารุวรรณ”
“ประทิน” เตือนสติ คตง.!ยึดโปรดเกล้าฯ-ก่อนบี้ “จารุวรรณ”
ส.ว.เสียงแตกรุมสับ-หนุน “คตง.” ส่งศาล รธน.ตีความ “จารุวรรณ”
7.“ธงชัย เกื้อสกุล”นั่งเก้าอี้ประธานกสช.ตามโผ
ในที่สุดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) จำนวน 7 คนได้เลือก พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล เป็นประธาน กสช.ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 6 ต่อ 1 คะแนน หลังการประชุมนานกว่า 6 ชั่วโมง สำหรับคณะกรรมการ กสช.ทั้ง 7 คนประกอบด้วย นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล นายบุญเลิศ ศุภดิลก นายสุพงษ์ ลิ้มธนากุล นายพนา ทองมีอาคม นางสุพัตรา สุภาพ และนางโสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สังคมกำลังจับตาก็คือ กสช.ชุดนี้จะเข้ามาจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ที่มีการจัดสรรกันไปก่อนหน้านี้และในอนาคตว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือของนายทุนตามที่มีเสียงวิจารณ์ไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีกสช.บางคนถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในเรื่องที่องค์กรประชาชนได้ร่วมกันฟ้อง 3 องค์กรหลักคือ สำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการสรรหากสช.และวุฒิสภาทำผิดกฎหมายกรณีคัดเลือกบุคคลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็น กสช.ตามคำพิพากษาของศาลปกครอง
“ธงชัย เกื้อสกุล” นั่งประธาน กสช.ตามโผ-ขยับรื้อคลื่นความถี่
8.รื้อโครงสร้างตั้งกบชต.-นายกฯลงใต้นอนค้างพื้นที่สีแดง
จากการแถลงของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ว่าที่ประชุมเห็นชอบตั้ง กบชต.เพื่อทำหน้าที่บูรณาการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยให้ทหาร ตำรวจและพลเรือนทำงานร่วมกัน ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้มี ผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน และมีผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ตัวแทนจากกระทบวงมหาดไทย เข้าร่วมเป็นกรรมการ ขณะเดียวกันได้สั่งยุบกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้(กอ.สสส.จชต.)และกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันการสั่งการสับสน
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้นอกเหนือจาก กอ.สสส.จชต.แล้วยังมี คณะกรรมการเสริมสร้างจังหวัดชายแดนใต้ (กสชต.) ที่มี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานซึ่งดูแลด้านนโยบาย ทำให้เวลานี้มีหน่วยงานที่ดูแลปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มากถึง 3 หน่วยงานหลักดังกล่าว
ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เดินทางลงพื้นที่โดยไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์ในหลายพื้นที่ เช่นบ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ ซึ่งเป็นสถานที่สองนาวิกโยธินถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ไปเยี่ยมจุดตรวจที่อาสาสมัครทหารพราน 5 คนถูกคนร้ายยิ่งถล่มจนเสียชีวิตที่อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขณะเดียวกันยังไปเยี่ยมบ้านของ นายมะแซ อุเซ็ง หนึ่งในผู้ต้องคนสำคัญในคดีปล้นปืนที่ค่ายทหารเมื่อต้นปี 2547 ที่ผ่านมาด้วย พร้อมกันนี้ยังได้ไปนอนค้างที่วัดในอำเภอเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่ก็ได้เกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
“ทักษิณ” ประกาศใช้ความเด็ดขาดตามกรอบ กม. ดับไฟใต้
อารักขาเข้ม!เข็น “เบนซ์กันกระสุน” ขวางหน้ากุฏิ “ทักษิณ”
ปรับกำลังคุมใต้จนมึน ตั้ง “กบชต.” ประสาน กสชต.-กอ.สสส.จชต.