xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวในรอบสัปดาห์ 11-17 กันยายน 2548

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1.ปลดฟ้าผ่าเมืองไทยรายสัปดาห์ สนธิ โต้ “อสมท.” บิดเบือนข้อเท็จจริง


กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาคอการเมืองทั้งหลายถึงการเข้ามาคุกคามสื่อของรัฐบาลเป็นระยะๆ ถึงขั้นเปรียบเปรยกันว่า สื่อมวลกำลังเข้าสู่ยุคมือดำอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเมื่อ 15 กันยายนที่ผ่านมา นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม ประธานกรรมการบมจ. อสมท. ได้ออกมาแถลงข่าวเรื่องระงับสัญญาเช่าเวลาเพื่อจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งออกอากาศทุกคืนศุกร์เวลา 22.00 น.ทางช่องโมเดิร์น ไนน์ ทีวี (ช่อง 9 อสมท.) กับบริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด โดยมีผลตั้งแต่ 16 กันยายนเป็นต้น โดยให้เหตุผลว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านรายการพาดพิงบุคคลภายนอกในลักษณะที่เป็นการกล่างอ้างฝ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบได้กล่าวแก้หรือชี้แจงแต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง รวมทั้งเป็นข้อพิพาท เป็นคดีความมาโดยตลอด และขณะเดียวกัน ทางบมจ.อสมท. ได้เคยตักเตือนทั้งวาจาและด้วยหนังสือหลายครั้งแล้ว

หลังจากถ้อยแถลงดังกล่าวนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกมายืนยันว่าจะไม่ยอมก้มหัวหรือประนีประนอมกับอำนาจอธรรมอย่างเด็ดขาด พร้อมตอบโต้ข้อกล่าวหาของคณะกรรมการบริหารอสมท. ที่อ้างเหตุผลสำคัญในการระงับสัญญาเช่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ว่ามีการก้าวล่วงพระราชอำนาจนั้นว่า เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และเป็นความพยายามบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิด นายสนธิ ยืนยันว่า สิ่งที่พูดไปทั้งหมดได้มาจากการเล่าเรียนศึกษาอบรมจากครูบาอาจารย์ให้รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และย้ำว่า อสมท ไม่ได้เป็นสื่อแต่เป็นเครื่องมือของรัฐบาล และยืนยันว่าจะจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ต่อไป แต่จะย้ายมาจัดที่ช่อง NEWS 1 สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ในเวลาประมาณ 22.00-23.30 น.โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ก.ย.นี้เป็นต้นไป สามารถสอบถามรายละเอียดการรับชมได้ที่ 0-2910-6338

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เป็นข่าวออกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของนักวิชาการที่ออกมาระบุว่าการกระทำครั้งนี้จะทำให้เกิดการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะผู้บริหารบ้านเมืองเป็นบุคคลสาธารณะที่ย่อมต้องถูกวิจารณ์ได้ การทำเช่นนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองมีการปิดหูปิดตาประชาชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่รับทราบข่าวนี้ต่างก็รู้สึกไม่พอใจไม่แพ้กันโดยแสดงความคิดเห็นผ่านเวบไซต์ต่างๆ พันทิป กะปุก ผู้จัดการออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ในวันถัดมาก็มีประชาชนจำนวนมากได้เดินทางมามอบช่อดอกไม้และให้กำลังนายสนธิและทีมงาน ตลอดทั้งวัน

คำต่อคำ “สนธิ” เปิดใจ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ถูกถอด
“สนธิ” ลั่นไม่ก้มหัวให้อำนาจอธรรม โต้ “อสมท” บิดเบือน
ปลดฟ้าผ่า! “เมืองไทยรายสัปดาห์”
ชาวเว็บฯ ร่วมจวก อสมท หลังปลด “เมืองไทยรายสัปดาห์”


2.แกรมมี่ยกธงขาวเลิกฮุบ "มติชน - โพสต์"

อีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลถูกกล่าวหาว่าคุกคามต่อสื่อมวลชนคือกรณี บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ GMMM รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทว่า ที่ประชุมอนุมัติการลงทุนของบริษัทฯ ในธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ ในระหว่างวันที่ 12-13 ก.ย.โดยจะเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) จากผู้ถือหุ้นเดิมชาวต่างประเทศ และหุ้นสามัญ บริษัทโพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) จากผู้ถือหุ้นเดิมบางราย โดยได้ขออนุมัติการขอวงเงินกู้ระยะสั้น (Bridging Loan) กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรองรับแผนการลงทุนเพิ่มในธุรกิจสื่อ และสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้ภายหลังจากการดำเนินการเข้ากวาดซื้อหุ้นของบริษัทแกรมมี่ทำให้มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุไปแง่มุมต่างๆ โดยเห็นว่า เรื่องนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสาธารณะและการกำหนดนโยบาย การเสนอข่าวสารของสื่อ แต่ก็ยังระบุว่าการที่แกรมมี่ เข้าซื้อหุ้นของหนังสือพิมพ์มติชนและบางกอกโพสต์เป็นเรื่องของเสรีภาพที่ทำได้ในระบบทุนนิยม แต่ควรทำให้ถูกต้องมีกฎกติกา เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดหรือความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ซึ่งแม้ผู้บริหารบริษัท จี เอ็ม เอ็ม มีเดีย จะยืนยันว่าการลงทุนดังกล่าวทางธุรกิจธรรมดาไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงทางการเมือง แต่หากการเข้าควบคุมกิจการเป็นไปตามทิศทางข้างต้นจะส่งผลให้บริษัท จี เอ็ม เอ็ม มีเดีย เป็นผู้ควบคุมสถานีวิทยุ รายการโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์หลัก ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หนังสือพิมพ์ธุรกิจ หนังสือพิมพ์แนวข่าวการเมืองและหนังสือพิมพ์ทั่วไป เท่ากับเกิดการครอบงำสื่อมวลชนในประเทศขนานใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

ด้าน นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด(มหาชน) ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ในการเข้าซื้อหุ้นของทั้ง 2 บริษัทในครั้งนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มนักการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ทำอย่างนี้ก็เป็นเพราะสนใจในด้านธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์มาตั้งนานแล้วนับตั้งแต่เรียนจบ และเห็นว่าสื่อหนังสือพิมพ์ถือเป็นสื่อที่มีความมั่นคงและมีอิทธิพลมากกว่าสื่อประเภทอื่น พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงาน รวมถึงการล้างบางคนในกองบรรณาธิการ ที่ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่ชอบแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามเนื่องจากทนแรงกระแสกดดันจากสังคมไม่ใหวในที่สุด บริษัท จีเอ็มเอ็มมีเดีย จำกัด (มหาชน) ก็ได้ยอมถอย หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้เข้าหารือร่วมกันในช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยบริษัท จีเอ็มเอ็มมีเดียจะขายหุ้นส่วนหนึ่งคืนให้กับทางมติชน โดยแกรมมี่จะถือหุ้นไม่เกิน 20% ในขณะที่สัดส่วนหุ้นของฝ่ายมติชนที่ นายขรรค์ชัย บุนปาน ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ถืออยู่จะเพิ่มเป็น 36% นายฐากูร บุญปาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท มติชน จำกัด ให้รายละเอียดระหว่างการแถลงข่าวร่วมกันว่าถือเป็นข้อยุติที่น่ายินดีและจะทำให้การทำงานของทั้งสองฝ่ายไม่เป็นที่กังขาของสังคม

สับเละการเมืองบงการสื่อ
"อากู๋ยัน"ไม่ใช่ตัวแทนกลุ่มการเมือง
"แกรมมี่ฯ" ยกธงหุ้นร้อน "มติชน" บอกไม่เป็นบทเรียนก็แค่ทำธุรกิจ


3."เพ้ง "ลั่นปรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มบางกะปิ-บางบำหรุ

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยรายละเอียดการกำหนดเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 7 สายทาง โดยได้ข้อสรุปสำคัญ สำหรับสายสีส้มจากเดิม บางกะปิ-สามเสน-บางบำหรุ มีการปรับเส้นทางให้สั้นลง โดยนำไปรวมกับสายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน-สุวรรณภูมิ ทำให้สายสีส้มจะเหลือเพียงช่วงบางกะปิ-มักกะสัน และยมราช-บางบำหรุ เท่านั้น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน และยังสามารถเพิ่มปริมาณผู้โดยสารให้สายสีแดงอ่อนได้อีกด้วย ส่วนระบบเดินรถในสายนี้ ระหว่างช่วงจากบางกะปิ- คลองตัน-มักกะะสัน และจากช่วงยมราชไปบางบำหรุนั้น ยังไม่ได้มีการตัดสินใจว่าจะใช้ระบบรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ด่วนพิเศษ (BRT`) แต่ในช่วงระยะระหว่างทางที่นำไปรวมกับสายสีแดงอ่อนนั้น ถือเป็นสายทางหลักที่เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างสถานีมักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะเป็นระบบรถไฟฟ้าหนักที่ใช้โครงสร้างของเสาโฮปเวลล์ รวมกับระบบทางด่วนและรถไฟชานเมืองแน่นอน

สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางมาก่อนหน้านี้นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเลือกสายทางใด ระว่างสายทางจากบางใหญ่ มาบรรจบรถไฟฟ้าสีแดงเข้ม (รังสิต-มหาชัย) ที่สถานีบางเขน หรือที่สถานีบางซื่อ และยังไม่ได้ข้อยุติว่า ในสายทางแต่ละจุดนั้นเส้นทางใดจะเป็นระบบรถไฟฟ้า หรือรถบีอาร์ที ในขณะที่ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ที่กระทรวงคมนาคม สั่งให้เดินหน้าออกแบบก่อสร้างทันที พร้อมกับสายสีแดงอ่อนในปลายปีนี้ ในช่วงที่ผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ ที่จะปรับระบบรถไฟจากลอยฟ้าลงใต้ดิน เพื่อรักษาทัศนียภาพของเมืองนั้น เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีโบราณสถานสำคัญซึ่งเป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารเดิมที่ไม่มีฐานรากจำนวนมาก ขอให้ผู้ออกแบบใช้ความระมัดระวังในการขุดเจาะเพื่อไม่ให้เกิดการทรุดตัว

"พงษ์ศักดิ์" ปฏิเสธขัดแย้ง "ทนง" เรื่องเมกะโปรเจกต์
"พงษ์ศักดิ์"ประกาศปรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มบางกะปิ-บางบำหรุ


4.ศาลชี้ขาด สธ. ชดใช้ 6 แสนพร้อมดอกเบี้ย เหยื่อหมอชุ่ยผ่าไส้ติ่งตาย

ที่ศาลนนทบุรี 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาคดีกรณีน.ส.ศิริมาศ แก้วคงจันทร์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำเลย ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เรียกค่าเสียหาย 2,080,000 บาท โดยศาลมีคำพิพากษาให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจ่ายค่าเสียหายให้กับ น.ส.ศิริมาศ เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5/ปี ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินว่า แพทย์ผู้ทำการรักษาประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้มารดาของตนต้องเสียชีวิต ทั้งที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งสืบเนื่องมากจากเมื่อวันที่ 19 พ.ค.45 นางสมควร แก้วงคงจันทร์มารดาของ น.ส.ศิริมาศ ได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ด้วยอาการปวดท้อง แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน แต่เมื่อเข้ารับการผ่าตัดมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในขั้นตอนของการฉีดยาชาเข้าทางน้ำหล่อเลี้ยงไขสันหลัง จนเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้ นางสมควร สมองตาย และนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา 16 วันหลังผ่าตัดก็เสียชีวิต ทั้งที่ตอนนั้นแพทย์สามารถเตรียมความพร้อมได้ แต่ก็ไม่ทำ ประมาทเลินเล่อจนมารดาของตนต้องเสียชีวิต น.ส.ศิริมาศ ยอมรับว่าดีใจ แต่เทียบกับชีวิตของแม่ไม่ได้ เงินจำนวนนี้จะใช้เป็นทุนการศึกษาของน้องๆและตัวเอง อีกส่วนเอาไปทำบุญให้แม่ และตั้งใจว่าจะเรียนในมหาวิทยาลัยให้จบ แต่ยังไม่มั่นใจว่า กระทรวงสธ.จะอุทธรณ์หรือไม่ ถ้ามีการอุทธรณ์ตนก็คงต้องดำเนินการต่อไป

ศาลสั่งสธ.จ่ายชดเชยลูกเหยื่อแพทย์วินิจฉัยโรคพลาด 6 แสนพร้อมดอกเบี้ย
ชดใช้ 6 แสน หมอรพ.ร่อนพิบูลย์ผ่าไส้ติ่งตาย


5.ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง “ภาพ 70 ไร่”คดีค้ายาบ้า

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสยาม ทรัพย์วรสิทธิ์ หรือนายสุภาพ สีแดง หรือ ภาพ 70 ไร่ อายุ 35 ปี เป็นจำเลยข้อหาจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายสุภาพจำเลยตลอดชีวิต หลังศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้ว มีคำพิพากษาแก้โดยให้ยกฟ้องจำเลย แม้โจทก์จะมีนักโทษคดียาเสพติดนำสืบให้เห็นว่าจำเลยค้ายาเสพติดมาตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยมีลูกน้องติดต่อส่งยาบ้าและรับเงินจากการค้าแทนจำเลย โดยจำเลยเป็นนักค้ายาบ้าระดับนายทุนใหญ่ที่สั่งยาบ้าได้ครั้งละ 4-5 ล้านเม็ด แต่ศาลเห็นว่าเป็นการซัดทอดผู้ถูกกล่าวหาด้วยกัน อีกทั้งการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง หากลูกหนี้ไม่ชำระจะถูกบังคับให้ค้ายาบ้าขัดต่อหลักเหตุผล เพราะความผิดฐานค้ายาบ้ามีอัตราโทษสูง จึงเป็นคำเบิกความลอยๆ โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ามีลูกหนี้รายใดถูกบังคับให้ค้ายาเสพติด จึงไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง และคำอุทธรณ์ของจำเลยที่ระบุว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลย แต่สั่งให้ขังไว้ระหว่างฎีกา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้านนายคัมภีร์ แก้วเจริญ อัยการสูงสุด กล่าวว่า ทางอัยการจะยื่นฎีกาอีกหรือไม่นั้นจะต้องตรวจดูรายละเอียดคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก่อน และหากอัยการไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลก็จะยื่นฎีกาต่อไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะไม่ยื่นฎีกาอีกอัยการก็จะต้องมีคำตอบที่แสดงต่อประชาชนด้วยว่าเป็นเพราะเหตุใด อย่างไรก็ดี การที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องดังกล่าวจะทำให้อัยการต้องเข้าไปศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น โดยเฉพาะคำพิพากษาของศาลฎีกาที่จะนำเอามาใช้เป็นแนวทางในการทำสำนวนคดียาเสพติดตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ ซึ่งคดียาเสพติดแต่ละคดีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน

“ภาพ 70 ไร่” เฮ! ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีค้ายาบ้า
อสส.ตรวจสำนวนอุทธรณ์คดีภาพ 70 ไร่ ก่อนยื่นฎีกาหรือไม่


6. พระพยอม เตรียมติว "วัน อยู่บำรุง" นั่งกรรมฐานสัมผัสกับความสงบ

หลังจากนายวัน ฝ่าฝืนคำสั่งระหว่างถูกคุมประพฤติเข้าไปทะเลาะวิวาทกับนายไซมอน แฮร์ริส นายแบบชื่อดัง ที่ร้านรูท 66 เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า และต่อมาศาลได้มีคำสั่ง ให้ทำกิจกรรมบริการสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ล่าสุด กรมคุมประพฤติได้ตกลงกับนายวัน ถึงการทำงานบริการสังคมเรียบร้อยแล้วโดย 24 ชั่วโมงแรก จะส่งนายวันไปทำงานในโครงการของวัดสวนแก้ว ของพระราชธรรมนิเทศน์ หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ส่วนอีก 24 ชั่วโมงที่เหลือใกล้ครบกำหนดต้องมีการตกลงกิจกรรมกันอีกครั้ง ซึ่งอธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวต่อว่า สำหรับนายวันต้องใช้กิจกรรมบริการสังคมลักษณะดังกล่าว เพราะกรมคุมประพฤติต้องการให้เห็นเป็นรูปธรรมและตรงตามลักษณะการกระทำผิด ไม่ใช่ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือหน่วยกู้ภัยคงไม่เหมาะ เพราะนายวันไม่ได้ขับรถเมาแล้วขับ แต่การคุมประพฤติของนายวัน ต้องการให้ปรับพฤติกรรมอย่างแท้จริง

พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วกล่าวว่า เบื้องต้นจะให้นายวันเลือกก่อนว่าอยากจะทำอะไร เช่น ดูแลเด็กกำพร้า ทำงานบริหารโครงการ ทำความสะอาดวัด เหมือนคนทั่วไปไม่มีอภิสิทธิ์ ส่วนธรรมะที่จะสอนควบคู่ไปด้วยนั้น จะเน้นให้รักพ่อแม่ รักครอบครัวมากขึ้น เพราะเท่าที่สังเกตดูเห็นว่าจริง ๆ แล้ว นายวันไม่ได้เป็นคนเลวคนร้ายอะไร เพียงแต่เป็นคนรักเพื่อนมากเท่านั้น นอกจากนี้ ยังจะให้นายวันนั่งกรรมฐาน สัมผัสกับความสงบ และเรียนรู้เปรียบเทียบระหว่างความสงบหลีกเร้น กับความสนุกคลุกคลี ให้รู้ว่าแม้ไม่ไปเที่ยวสถานเริงรมย์มากก็อยู่ได้อย่างสบาย

ส่ง “วันเฉลิม” ทำงานวัดสวนแก้ว ให้พระพยอมอบรมจิตใจ
“พระพยอม” ให้ “วัน” นั่งกรรมฐานเรียนรู้ความสงบ


7. ปชช.ส่ออ่วม! 2 ปีข้างหน้า คลังเตรียมบังคับออมเงิน หักเงินเดือน 6%

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองผู้อำนวยการสำงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. จะเสนอผลการศึกษาการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ต่อนายทนง พิทยะ รมว.คลัง ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2548 นี้ ก่อนการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป โดยกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) จะมีลักษณะเป็นกองทุนการออมภาคบังคับ ครอบคลุมแรงงานในระบบทั้งหมดเช่น ในส่วนรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชน โดยนายจ้างและลูกจ้างจะต้องมีการนำเงินส่งสมทบเข้ากองทุนในอัตรา 6% ของรายได้เป็นอย่างน้อย ซึ่งในกรณีที่บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว อาจจะมีการลดอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพลง เพื่อนำมาส่งเข้า กบช.หรือบริษัทอาจจะยุบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลยก็ได้ โดยจะให้เวลาในการตัดสินใจ 1-2 ปี ทั้งนี้การจัดตั้งกองทุนดังกล่าว จะช่วยให้เงินออมของประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และช่วยให้ผู้ที่เข้าสู่วัยชราภาพมีเงินออม 50% ของเงินเดือนก่อนการเกษียณอายุ นอกจากนี้ยังจะทำให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลมั่นคงขึ้น และยังช่วยลดช่องว่างระหว่างการออมและการลงทุน ในช่วงที่มีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ซึ่งหากมีการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละ 6% จะทำให้มีเงินออมประมาณ 1.8 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 2.5% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอ จากปัจจุบันที่เงินออมของประเทศอยู่ในระดับ 31-32% ของจีดีพี

คลังเตรียมบังคับเอกชนออมเงิน หักเงินเดือน 6% เริ่มปี 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น