นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พีระยะ 14 วัน อีกร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมีผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น และมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมาย โดยเงินเฟ้อพื้นฐานที่ ธปท.กำหนดไว้อยู่ที่ร้อยละ 0-3.5 เนื่องจากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ การปรับขึ้นของราคาสินค้า และการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อรักษาการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด กนง.ได้ประเมินว่ายอดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสิ้นปี 48 จะมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น และมูลค่าการนำเข้าน้ำมันในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนได้เร่งตัวสูงมาก จึงทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะสูงกว่าที่ ธปท. เคยประมาณการไว้ ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลต่อค่าเงินบาทของไทย เพราะตัวกำหนดการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างประเทศอยู่ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจและความมีเสถียรภาพค่าเงินของประเทศนั้น ๆ