คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1.พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ “เจ้าชายน้อย ”
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีพระราชพิธีสมโภชและขึ้นพระอู่พระเจ้าหลานเธอในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถึงยังพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ซึ่งประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ตามขัตติยราชประเพณี โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ร่วมพระราชพิธี
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ทรงศีล พระสงฆ์ 10 รูป มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์และเสกทำน้ำพระพุทธมนต์ สำหรับพระเจ้าหลานเธอ ที่จะสรงขึ้นพระอู่ จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ลงในขันพระสาคร พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ ประกอบพิธีทำน้ำสรงที่ขันพระสาคร ลอยกรงกุ้ง ปลาทอง-เงิน และมะพร้าวทอง-เงิน ในขันพระสาคร
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์พระราชทานพระเจ้าหลานเธอ พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายน้ำเทพมนตร์ แล้วทรงหลั่งน้ำเทพมนตร์พระราชทาน พระเจ้าหลานเธอ ทรงจรดพระกรรไกรขริบพระเกศา ทรงเจิม ทรงผูกด้ายพระขวัญ แล้วสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงผูกด้ายพระขวัญพระราชทานพระเจ้าหลานเธอ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ พนักงานภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ แขวนพระอู่ ปูลาดพระยี่ภู่ วางเครื่องมงคลราชพิธีลงในพระอู่ หลั่งน้ำสังข์และเจิมพระอู่ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางเครื่องราชภัณฑ์และทองคำแท่ง จารึกอักษรพระนามพระเจ้าหลานเธอตามราชประเพณีลงในพระอู่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระนามว่า พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกร รัศมีโชติ แล้วพระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ ถวายน้ำเทพมนตร์ที่พระหัตถ์พระเจ้าหลานเธอ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระเจ้าหลานเธอลงบรรทมในพระอู่ พระครูพราหมณ์เห่กล่อม โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ พนักงานภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ เสร็จแล้วพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทรับแว่นเวียนเทียน แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ภาพพระราชพิธีขึ้นพระอู่ “พระเจ้าหลานเธอ”ชุดใหม่
“ในหลวง” ทรงประกอบพระราชพิธีขึ้นพระอู่ “พระเจ้าหลานเธอ”
2.ครม.รับทราบแผนลงทุนอภิมหางบ 1.7 ล้านล้านบาท
วันที่ 14 มิ.ย.48 นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุม ครม.นอกสถานที่ จ.พะเยาว่า ครม.มีมติรับทราบแผนการลงทุนเมกะโปรเจกต์ วงเงินลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโครงการเดียวเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไปในช่วง 5 ปี จะมีการใช้เงินงบประมาณ 39 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินประมาณ 657,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินส่วนที่มาจากรายได้สะสมของรัฐวิสาหกิจเอง 222,000 ล้านบาท หรือประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินกู้ทั้งสิ้นประมาณ 42 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแยกเป็นเงินกู้ในประเทศประมาณ 410,000 ล้านบาท 24 เปอรเซ็นต์ เป็นเงินกู้ต่างประเทศประมาณ 305,000 ล้านบาท 18 เปอร์เซ็นต์ และเป็นส่วนอื่นๆ อีกประมาณ 105,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ถึงรถไฟฟ้าทั้ง 7 สายทาง ซึ่งแบ่งเป็นของ รฟม. 3 สาย รฟท. 2 สาย และ กทม.อีก 2 สาย วงเงินลงทุนรวมถึง 555,737 ล้านบาท
แถลงผลการประชุมครม. วันที่ 14 มิ.ย.48
นายกฯเตรียมนำอี-ออกชั่นประมูล 'เมกะโปรเจกต์'
3.ราคาน้ำมันพุ่งเข้านิวไฮ หลังดีเซล-เบนซินขยับ 2 ครั้งในสัปดาห์เดียว
ปตท.ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล-เบนซินอีก 40 สตางค์ต่อลิตรในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 48 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ของการขึ้นราคาภายในสัปดาห์เดียวกัน เป็นผลให้ราคาน้ำมันของไทยทำลายสถิติสูงสุดหรือนิวไฮอีกรอบ โดยราคาขายน้ำมันเบนซินของผู้ค้าน้ำมันทุกรายจะเท่ากัน ส่วนน้ำมันดีเซลผู้ค้าน้ำมันรายอื่นจะมีราคาแพงกว่า ปตท.40 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีราคา 19.79 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลของ ปตท.จะอยู่ที่ 19.39 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน 95 จะมีราคา 23.34 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 22.54 บาทต่อลิตร
ด้านผู้ค้าน้ำมันบริษัทอื่นๆ ระบุหลังจากปรับราคาแล้วผู้ค้าน้ำมันก็ยังขาดทุน เพราะราคาที่แท้จริงที่ผู้ค้ามีกำไรที่เหมาะสมก็ควรปรับอีกขึ้นไม่ต่ำกว่าลิตรละ 1 บาท ดังนั้นสัปดาห์หน้าก็จะปรับราคาขึ้นอีก แต่คงจะเป็นการทยอยปรับครั้งละ 40 สตางค์ต่อลิตร
ปตท.คาดราคาน้ำมันขึ้นไม่ถึง 30 บาท/ลิตร
ดีเซล-เบนซินขึ้นอีก 40 สต./ลิตรพรุ่งนี้
ปตท.เผย 4 เดือนแรกปีนี้ไทยใช้ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7
ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นขยับราคาหนี ปตท. ปรับขึ้นทั้งดีเซล-เบนซินอีก 40 สต.
ปตท.ประกาศปรับขึ้นราคาทั้งดีเซล-เบนซิน 40 สต./ลิตร
4.โยกย้ายนายพลนอกฤดู-“สุเมธ”ผงาดนั่งเก้าอี้ผู้การ 191
วันที่ 15 มิ.ย. พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ขาดเพียง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งติดราชการ โดยที่ประชุมได้ถกเถียงกันถึงตัวบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งให้หน่วยงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่บางราย ซึ่งใช้เวลานานก่อนที่จะลงมติเป็นเอกฉันท์ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้หารือกันถึงงบประมาณและปัญหาความไม่สงบในภาคใต้อีกด้วย
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแต่งตั้งให้ พล.ต.ท.พรชัย พันธ์วัฒนา ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ไปเป็นผู้บัญชาการสำนักอำนวยการและยุทธศาสตร์ (อำนวยการ), พล.ต.ท.วราสิทธิ์ พรเลิศ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ไปเป็นผู้บัญชาการสำนักตรวจสอบภายใน, พล.ต.ท.ชนุเดช พุทธานานนท์ ผู้บัญชาการสำนักงานแผนงานและนโยบาย เป็นผู้บัญชาการสำนักอำนวยการและยุทธศาสตร์ (ยุทธศาสตร์), พล.ต.ท.ชาตรี สุนทรศร ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง เป็นผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่วนตำแหน่งของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่งานกฎหมายและสอบสวน) ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็นเป็นผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน เหมือนตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานวิทยาการตำรวจที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ ก็ให้ พล.ต.ท.ถาวรศักดิ์ เทพชาตรี เป็นผู้บัญชาการ เพียงแต่ท่านอยู่ระหว่างช่วยราชการเนื่องจากการสอบสวนทางวินัยยังไม่เสร็จ นอกจากนี้ตำแหน่งแพทย์ใหญ่ซึ่ง พล.ต.ท.ภาสกร รักษ์กุล ถูกสำรองราชการก็ยังไม่แต่งตั้งใครมาแทน โดยจะไปพิจารณาในวาระประจำปีครั้งเดียว
“สำหรับตำแหน่งผู้บังคับการที่พิจารณา อาทิ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) ปรับย้ายเป็นผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ป.4) ซึ่งเป็น บก.เกิดใหม่ และให้ย้าย พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) ไปแทน พร้อมทั้งโยก พล.ต.ต.บุญส่ง พานิช อัตรา ผบก.จ.อ่างทอง เป็น ผบก.น.7 และ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร ผบก.ดับเพลิง เป็น ผบก.จ.อ่างทอง ส่วน พล.ต.ต.ไพฑูรย์ พัฒนโสภณ รักษาการ ผบก.ปัตตานี และ พล.ต.ต.ธนเจริญ สุวรรณโณ รักษาการ ผบก.จ.สตูล นั้นให้รักษาการต่อไปก่อน โดยจะแต่งตั้งอีกครั้งวาระประจำปี” พล.ต.อ.โกวิทกล่าว
“ผู้การสุเมธ” ผงาดนั่ง “191” ขณะที่ “ภาณุรัตน์” ล็อกถล่มถูกเขี่ยไปนั่งผู้การอ่างทอง
5.เหยื่อชักเย่ออวัยวะเพศรับน้อง เข้าพบ "หมอทศพร"
กรณีที่นายปฏิภาณ อินยะโพธิ์ ถูกรุ่นพี่ในแผนกวิชาช่างจักรกลหนัก คณะวิชาเครื่องกล ระดับ ปวส.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา รับน้องด้วยวิธีวิตถารและรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่งจนเป็นข่าวคราวที่ได้รับความสนใจในขณะนี้นั้น ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสุรศักดิ์ อินยะโพธิ์ บิดาของ นายปฏิภาณ พร้อมด้วยบุตรชายได้เข้าพบ น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดย นายปฏิภาณ ได้เล่าว่า ในระหว่างการรับน้องรุ่นพี่ข่มขู่ตนตลอดเวลา และบอกด้วยว่า “มึงอยากจะไปบอกใครก็ไป จะไปบอกอาจารย์ก็ได้ และบอกด้วยว่า ชื่อโจ้ รหัส 470142053” นอกจากนี้ รุ่นพี่ยังได้เรียกเก็บค่าทำกิจกรรมจากนักศึกษาปี 1 จำนวน 66 คน คนละ 1,000 บาท โดยอ้างว่าจะเอาไปเป็นค่าสมุดดำ ที่รุ่นพี่บังคับให้ทุกคนในแผนกฯ ใช้ด้วย
ด้าน น.พ.ทศพร กล่าวว่า การรับน้องของ มทร.นครราชสีมา ค่อนข้างรุนแรงและน่าเป็นห่วง ซึ่งเกินกว่าจะรับได้ และครู อาจารย์ในสถาบันควรจะต้องรับรู้ หากไม่รับรู้แสดงว่าปล่อยปละละเลย หากรู้แต่ยังปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นอีกก็แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร ซึ่งต้องมีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนกรณีการทำร้ายร่างกายนายปฏิภาณนั้น จะประสานกับ สกอ.เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการลงโทษทางวินัยผู้บริหารสถาบันฯ ต่อไป และ ศธ.จะดูแลเรื่องสถานที่ศึกษาต่อของนายปฏิภาณให้ด้วย ซึ่งแม้ว่าผู้เสียหายจะไม่เอาความ แต่ ศธ.จะต้องดำเนินการเอาความ ซึ่งรุ่นพี่ที่กระทำผิดก็ต้องรับโทษแต่คงไม่ถึงขั้นไล่ออกจากสถาบันการศึกษา อาจจะให้ไปบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือไปทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้โอกาสในการกลับตัวกลับใจต่อไป พร้อมทั้ง ได้ขอร้องต่อผู้บริหารด้วยว่า กิจกรรมรับน้องต่างๆ ควรจะยุติได้แล้ว เพราะจากการร้องเรียนเข้ามาของผู้ปกครองแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่สบายใจและเป็นกังวัลต่อความปลอดภัยของบุตรหลาน ซึ่งหากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก ผู้บริหารจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนกรณีที่สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ออกมาเปิดเผยว่า มีนักศึกษารุ่นน้องถูกรุ่นพี่ปลุกไปกลางดึกอ้างว่าจะไปรับน้องและพาไปข่มขืนนั้น น.พ.ทศพรกล่าวว่า ขณะนี้ สนนท.ยังไม่ให้ข้อมูลเชิงลึกกับตน โดยอ้างว่าผู้เสียหายไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งได้บอกไปว่าให้น้องคนนั้นโทรศัพท์เข้ามาให้ข้อมูลกับตนเองก็ได้ เพราะหากรู้ว่าเป็นสถาบันไหนก็จะสามารถเข้าไปตรวจสอบและดูแลได้ระดับหนึ่ง
“ปฏิภาณ” เหยื่อชักเย่ออวัยวะเพศรับน้อง เดินทางมาให้การที่ ศธ.แล้ว
“ทักษิณ” เร่ง ศธ.ทำคู่มือรับน้อง ยันเป็นเรื่องดี แต่ทำผิดต้องลงโทษ
ศธ.ชี้สุดท้ายเลิกพิธีรับน้องใหม่ไม่ได้
เหยื่อน้องใหม่ถูกหลอกข่มขืนช้ำขอไม่เผยตัว
6.คุก3ปี"แอนนิต้า"ศาลปราณีรอลงอาญา
วันที่ 16 มิ.ย.48 ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.นิษิตา พงศ์ทรง หรือแอนนิต้า อายุ 21 ปี ดารานักแสดง-นักร้องสาวค่ายอังกอร์ เครือแกรมมี่ อยู่บ้านเลขที่ 394 ซอยริมคลองท่าพระ แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กทม. เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตาย
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.48 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย.47 เวลากลางวัน จำเลยได้ขับรถยนต์โตโยต้า ทะเบียน วศ-5642 กทม. ด้วยความเร็วสูงไปตามถนนเพชรบุรีตัดใหม่ขาเข้า จากสี่แยกคลองตัน ด้วยความประมาทปราศจากการระมัดระวัง ซึ่งจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ขับรถไปมาถึงบริเวณศูนย์บริการอีซูซุซึ่งเป็นย่านชุมชม มีคนเดินเท้าข้ามถนนจากเกาะกลางถนนด้านขวามือจะผ่านหน้ารถของจำเลย ทั้งที่จำเลยเห็นอยู่แล้วว่ามีคนกำลังเดินข้ามถนน และจำเลยจะต้องบังคับควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลง และหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามไปก่อนจนกว่าจะปลอดภัย แต่จำเลยยังคงขับรถคันดังกล่าวด้วยความเร็วสูงจนไม่สามารถบังคับและควบคุมเพื่อหยุดรถหรือชะลอความเร็วให้ช้าลง จึงพุ่งชน น.ส.หทัยรัตน์ จันศิริ และนางประทานพร บุญปิตานนท์ ที่อุ้ม ด.ญ.โรส บุญปิตานนท์ ขณะกำลังเดินข้ามถนน เป็นเหตุให้ น.ส.หทัยรัตน์ จันศิริ และด.ญ.โรส บุญปิตานนท์ ได้รับอันตรายสาหัส เป็นเหตุให้นางประทานพร บุญปิตานนท์ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอด แต่ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา
ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะสภาพครอบครัว การศึกษา สภาพ และอื่นๆ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาพิพากษา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด พิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 1 ปี 6 เดือน ปรับ 10,000บาท อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาพฤติกรรมประกอบรายงานการสืบเสาะ เห็นว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ขาดความระมัดระวัง แต่ไม่เป็นพฤติกรรมร้ายแรง ทั้งบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ตาย และผู้บาดเจ็บ นอกจากนี้จำเลยนำแคชเชียร์เช็ค และนำเงินสดมาวางศาลเป็นหลักประกัน และยังได้ไปร่วมงานศพ และบวชชีพราหมณ์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ตาย ถือว่ามีความสำนึกผิด ซึ่งจำเลยเป็นดารา นักร้อง เคยรวมงานการกุศล และทำประโยชน์เพื่อสังคมมาโดยตลอด จำเลยยังมีอายุน้อยมีอนาคตอีกยาวไกล โทษจำคุกสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้คุมประพฤติจำเลยไว้ 2ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง และให้บริการสังคมอีก 36 ชั่วโมง
น.ส.แอนนิต้า กล่าวภายหลังว่า รู้สึกพอใจกับผลคำพิพากษา แต่รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามได้ช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายเป็นเงินกว่า 8 แสนบาท และจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีก 1 ล้านบาท ทั้งยังจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลบุตรสาวผู้ตายต่อไป ส่วนคดีละเมิดทางแพ่งที่ถูกสามีผู้ตายยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 7 ล้านบาทเศษนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกัน
ด้าน นายดนัย บุญปิตานนท์ สามีผู้ตายกล่าวว่า คดีนี้ตนไม่ติดใจยื่นอุทธรณ์ เพราะพอใจกับคำพิพากษาที่ลงโทษจำคุกนักร้องสาวแม้ศาลจะให้รอลงอาญาก็ตาม แสดงให้เห็นว่านักร้องสาวขับรถยนต์โดยประมาท ซึ่งจะเป็นผลดีกับคดีแพ่งที่ตนยื่นฟ้องไว้โดยศาลนัดพิจารณาในวันที่ 27 มิ.ย. นี้
พิพากษาจำคุก “แอนนิต้า” ซิ่งชนคนตาย 3 ปี-รอลงอาญา
7. IMFคาดจีดีพีไทยไม่ถึง5%
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้าพบว่า หลังจากไอเอ็มเอฟได้ทราบข้อมูลจาก ธปท.แล้ว ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวไม่เกิน 5% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ชะลอตัว โดยตัวเลขดังกล่าวยังสอดคล้องกับประมาณการของธปท.เช่นกัน โดยไอเอ็มเอฟยังสนใจและแสดงความกังวลตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 4 เดือนแรก ที่ขาดดุลรวม 3,108 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หลังจากได้รับข้อมูลเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจากธปท.แล้ว ไอเอ็มเอฟเชื่อว่า ปีนี้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยยังดีอยู่ เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราที่สูงมาก ขณะเดียวกันไทยยังได้เปรียบที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง โดย ณ วันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ทุนสำรองฯอยู่ที่ 48,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับการลงทุนในโครงการลงทุนพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลนั้น ทางไอเอ็มเอฟเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องลงทุน แต่ได้ให้ความเห็นในลักษณะเตือนไว้ใน 2 เรื่อง คือ 1.จะต้องเป็นการลงทุนในโครงการที่ได้ผลตอบแทนที่แท้จริงทางเศรษฐกิจ 2.จะไม่ทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น
IMF ยันเศรษฐกิจไทยไม่น่าห่วง