อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ปัญหาการเลือกผู้ว่าฯ สตง. ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และวุฒิสภา ที่มีอันต้องเลือกกันถึง 2 ครั้ง 2 ครา เพราะผลจากคำวินิจฉัยของศาล รธน. ไม่เพียงจุดกระแสวิพากษ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ถึงความศักดิ์และสิทธิ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ควรใหญ่กว่าระเบียบทั่วไปที่จัดทำขึ้นภายหลัง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังก่อภาพลบต่อองค์กรอิสระทั้ง 3 องค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ผู้จัดการออนไลน์” ขอย้อนปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมมุมมองของผู้เกี่ยวข้อง ณ วันนี้
นับจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 312 กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบงานตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งให้ คตง.สรรหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา หากวุฒิสภาเห็นชอบก็นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไป หากไม่เห็นชอบก็ให้ คตง.ไปสรรหามาเสนอวุฒิสภาใหม่นั้น ปรากฏว่า กระบวนการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หรือผู้ว่าฯ สตง. เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 รวมทั้งให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2543 ก็ประสบปัญหามาตลอด แม้จะได้ตัวผู้ว่าฯ สตง.แล้ว โปรดเกล้าฯ แล้ว แต่ก็ยังมีอันต้องเลือกใหม่ ท่ามกลางความคลุมเครือว่า จะถูกต้องหรือไม่ หรือจะมีเหตุให้ผิดพลาดซ้ำอีกหรือไม่
ปัญหาเริ่มขึ้นหลังจาก คตง.ได้สรรหาบุคคลจนได้ผู้ที่เหมาะสมจะนั่งตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง.แล้ว เมื่อปี 2544 โดยนายประธาน ดาบเพชร ได้รับคะแนนมากสุด รองลงมาคือ นางจารุวรรณ เมณฑกา (คุณหญิงจารุวรรณ) จากนั้น นายปัญญา ตันติยวรงค์ ประธาน คตง. ได้ส่งชื่อ “นายประธาน” ให้วุฒิสภาพิจารณาต่อตามขั้นตอนว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ปรากฏว่าทางวุฒิสภาได้อภิปรายกันอย่างหนักว่า การที่ คตง.ส่งชื่อผู้ได้รับคะแนนสูงสุดเพียงคนเดียวมาให้วุฒิฯ จะถูกต้องหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นไปตามระเบียบที่ คตง.กำหนด แต่ดูจะขัดกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 30 ที่ระบุชัดว่า “ให้ คตง.สรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติ...เพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา” นั่นหมายถึง คตง.ต้องส่งรายชื่อมาทั้งหมด เพื่อให้วุฒิฯ พิจารณา
ในที่สุด วุฒิสภาได้มีการโหวตและลงความเห็นว่า คตง.ควรส่งรายชื่อทั้งหมดมาเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และเมื่อได้รับรายชื่อมาแล้วซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 3 คน ทางวุฒิฯ ก็ได้มีการโหวตกันอีกครั้งเพื่อหาข้อยุติว่าจะพิจารณาเห็นชอบผู้ที่สมควรนั่งตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง.อย่างไร ระหว่าง 1.เห็นชอบคนที่ได้คะแนนสูงสุดตามที่ คตง.ได้เลือกมา หรือ 2.วุฒิฯ พิจารณาเลือก 1 ใน 3 รายชื่อว่าใครเหมาะสมที่สุด ก่อนนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งผลโหวตเสียงส่วนใหญ่ก็เห็นว่าให้วุฒิฯ เลือก 1 ใน 3 และผลปรากฏว่า คุณหญิงจารุวรรณ ได้รับเลือกด้วยคะแนนท่วมท้น หลังจากนั้นประธานวุฒิฯ จึงได้นำชื่อคุณหญิงจารุวรรณขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายและมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ว่าฯ สตง.เรียบร้อยไปแล้ว
แต่เรื่องกลับไม่จบ เมื่อ ส.ว.เสียงส่วนน้อย 7 คนที่ไม่เลือกคุณหญิงจารุวรรณ ได้ร้องให้ประธานรัฐสภายื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การเลือกผู้ว่าฯ สตง.ของ คตง.และวุฒิสภา ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2546 ครั้งนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ควรยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างองค์กร แต่เป็นปัญหาที่สมาชิกในองค์กรเดียวกันคือ วุฒิสภา เกิดความไม่แน่ใจในอำนาจหน้าที่
แต่ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็รับเรื่องไว้พิจารณา และสุดท้ายก็ได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2547 ว่า การเลือกผู้ว่าฯ สตง.ของ คตง.และวุฒิสภา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่ทาง คตง. เมื่อทราบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญได้เพียง 2 วัน ก็รีบตั้งรักษาการผู้ว่าฯ สตง.ขึ้นมาแทนที่คุณหญิงจารุวรรณ ทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า คตง.และวุฒิสภาจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร และจะทำอย่างไรกับคุณหญิงจารุวรรณ ที่ไม่ได้มีความผิด หรือขาดคุณสมบัติใดๆ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา ไม่เพียงถูกวิพากษ์จากนักวิชาการด้านกฎหมายว่าใช้อำนาจของตนเกินที่กฎหมายกำหนด เพราะไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้ แต่เนื้อหาของคำวินิจฉัยที่ระบุว่า การเลือกผู้ว่าฯ สตง.ของ คตง. และวุฒิสภา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยังถูกมองว่า เป็นการ “ตีขลุม” โดยอ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งที่จริงๆ แล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 312 และ 333(1) ไม่ได้ระบุกระบวนการสรรหาผู้ว่าฯ สตง.ไว้แต่อย่างใด โดยเนื้อแท้แล้วจึงสัมพันธ์เฉพาะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ และระเบียบ คตง.ที่แต่ละองค์กรมีอำนาจหน้าที่อยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจวินิจฉัยแต่อย่างใด นอกจากนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังก่อปัญหาให้ผู้เกี่ยวข้องต่อไป เพราะไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อการเลือกผู้ว่าฯ สตง.ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วจะสรรหาตั้งแต่กระบวนการไหนต่อไป แล้วคุณหญิงจารุวรรณยังอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ หรือถ้าพ้นจากตำแหน่งจะพ้นเมื่อใด อย่างไร?
และแม้ว่า ทางวุฒิสภาจะพยายามถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญถึงข้อสงสัยดังกล่าว แต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่เป็นทางการจากเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อการเลือกผู้ว่าฯ สตง.ไม่ชอบ ก็ให้ถือว่าคุณหญิงจารุวรรณไม่เคยได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ สตง.มาก่อน ซึ่งจุดนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง คือ นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ ได้ออกหนังสือคัดค้านว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสรุปหรือให้คำตอบ เพราะจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมและขยายความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น
ท่ามกลางความคลุมเครือและข้องใจของทุกฝ่าย คตง.ก็ได้เดินหน้าสรรหาผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ กระทั่งได้ “นายวิสุทธิ์ มนตริวัต” อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งมีคะแนนสูงสุด จึงได้ส่งชื่อนายวิสุทธิ์ให้วุฒิสภาพิจารณาเพียงชื่อเดียว โดยยึดตามระเบียบของ คตง. ด้านวุฒิสภาก็รับลูกรีบประชุมลงมติเห็นชอบนายวิสุทธิ์ ด้วยคะแนน 107 : 31 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่า ส.ว.เสียงข้างน้อย นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิ จะยื่นญัตติขอให้ที่ประชุมหาความชัดเจนเกี่ยวกับสถานภาพของคุณหญิงจารุวรรณด้วยการยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนว่า คุณหญิงจารุวรรณยังเป็นผู้ว่าฯ สตง.อยู่ หรือพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะที่ประชุมเดินหน้าประชุมลับลงมติเห็นชอบให้นายวิสุทธิ์ เป็นผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงเล็ดลอดออกมาถึงความเหมาะสมของผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ ที่มีนามสกุลเดียวกับคนในรัฐบาล รวมทั้งเรื่องใบสั่งของฝ่ายการเมืองที่มากับตัวเลข 6 หลัก เพื่อให้ได้ผู้ว่าฯ คนใหม่ เพราะเท่ากับสกัดไม่ให้คุณหญิงจารุวรรณกลับมานั่งตำแหน่งนี้ เพราะไม่อยากให้คุณหญิงมาตรวจสอบกรณีสินบนสนามบินสุวรรณภูมิ
กระแสใบสั่งที่เกิดขึ้น ร้อนถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีแน่นอน และไม่เคยมีปัญหาอะไรกับคุณหญิงจารุวรรณด้วย
“คุณหญิงจารุวรรณกับรัฐบาลก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันเลย แต่มันเป็นความขัดแย้งกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ถูก ก็เลยไปถามศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฯ บอกไม่ถูก ก็เป็นเรื่ององค์กรอิสระไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเลย รัฐบาลไม่เคยไปยุ่งเรื่องพวกนี้เลย และคุณหญิงจารุวรรณกับรัฐบาลก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่เสียหายกันเลย ผมกับคุณหญิงจารุวรรณรู้จักกันดี พูดคุยกันบ่อย ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรื่องราว”
ด้านนายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ขอเวลาศึกษาให้รอบคอบก่อนนำชื่อนายวิสุทธิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ซ้ำอีก แต่หลายฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจว่าลงมติเห็นชอบไปแล้วยังจะมีอะไรให้ศึกษากันอีก เช่นเดียวกับนายแก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กทม.ที่ได้พยายามทัดทานให้วุฒิสภาถามความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน ก็บอกว่าตนได้พยายามเสนอทางออกแล้ว แต่เมื่อที่ประชุมไม่สนใจ หากเกิดอะไรขึ้น วุฒิสภาก็ต้องรับผิดชอบ และว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ประธานวุฒิสภาคงต้องนำชื่อขึ้นนายวิสุทธิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน ไม่กล้าทูลเกล้าฯ สตง.ก็จะกลายเป็นอัมพาต
“ท่านประธานคงต้องนำขึ้นกราบบังคมทูล นี่ก็เป็นวิจารณญาณของทุกคน แต่ในสายตาของผม พวกผมเป็นเสียงข้างน้อย และเห็นว่าไม่เหมาะสม และไม่เคลียร์ซะก่อน มันไม่ดี แต่เสียงข้างมากเขาบอกไม่มีปัญหา ลุยเลยก็ไม่รู้จะว่ายังไง ตัวผมว่าวุฒิสภาก็ต้องรับผิดชอบ”
ไม่เพียงประชาชนทั่วไปที่อาจรู้สึกว่า ทำไมที่ประชุมวุฒิสภาต้องเร่งลงมติเห็นชอบนายวิสุทธิ์เป็นผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ แม้แต่ ส.ว.เอง หลายๆ คนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน บางคนจึงอดคิดไม่ได้ว่า นี่คือความพยายามเอาคืนของ ส.ว.เสียงข้างน้อยที่พ่ายแพ้ในการเลือกคุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ว่าฯ สตง.ในคราวนั้น น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี คือคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนี้
“ผมคิดว่า คงมีความพยายามส่วนหนึ่งที่ให้มีการเลือกเกิดขึ้น มันก็สมมติฐานตั้งแต่มีคนที่แพ้ในเรื่องการลงคะแนนเลือกคุณหญิงจารุวรรณ เมื่อปี 44 เสียงส่วนน้อยได้ทำหนังสือยื่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพูดตรงๆ มันก็ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาในเรื่องความขัดแย้งระหว่างองค์กรต่อองค์กร เช่น องค์กรวุฒิสภากับองค์กรผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่นี่เป็นความขัดแย้งในวุฒิสภาเอง อันนี้มันไม่ตรงตามเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัย แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็รับไว้วินิจฉัย ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยอยู่แล้ว แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็ไปวินิจฉัย แล้ววินิจฉัยก็ไปเข้าทางเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาที่แพ้เรื่องมติเมื่อปี 44”
น.พ.นิรันดร์ ยังชี้ด้วยว่า การที่วุฒิสภาลงมติเลือกผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ ทั้งที่เคยเลือกคุณหญิงจารุวรรณไปแล้ว เท่ากับวุฒิสภากำลัง “กลืนน้ำลาย” ตนเอง และกำลัง “ทำผิดซ้ำสอง” โดยเฉพาะ ส.ว.หลายๆ คนที่ครั้งนั้นได้โหวตให้วุฒิสภายึด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดระเบียบ คตง. มาวันนี้ ส.ว.เหล่านั้นหลายๆ คนกลับมาหนุนระเบียบ คตง. การเปลี่ยนท่าทีอย่างนี้นอกจากไม่พยายามยืนยันความถูกต้องที่ตนเองได้ทำไปแล้วยังอาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ และถึงขั้นยื่นถอดถอน ส.ว.ได้
“ผมได้เตือนวุฒิสภาว่าอาจจะมีประชาชนเขาลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า ส.ว.ทำผิด แล้วถอดถอนตามมาตรา 303-304 ก็ได้ เพราะ 303-304 ไม่ใช่เฉพาะทุจริตหรือร่ำรวยผิดปกติอย่างเดียว ประพฤติผิดต่อหน้าที่ด้วย พอผิดปังปุ๊บทำให้เกิดปัญหาขึ้นทันทีเลย คุณก็ต้องรับผิดชอบใช่มั้ย นี่คือปัญหาที่เราเอง มันจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สิ่งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ สตง. เราทำผิด แล้วเราไม่กล้ายืนยันในความถูกต้องของเรา เพราะเราไปใช้เถียงเอาข้างๆ คูๆ ว่า ก็ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาแล้วว่าเราสรรหาไม่ถูก คือเราไม่ยันในความถูกต้องของเรา ทั้งที่วุฒิสภาเป็นองค์กรที่ต้องเหนือกว่าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเราเป็นองค์กรนิติบัญญัติด้วยในการตัดสินตรงนั้น และขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าในท่วงทำนองเหล่านี้ในศาลรัฐธรรมนูญมันมีลักษณะความเป็นสีเทาอยู่ อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเราก็ต้องยืนหยัดในหลักการของเรา และผมก็พูดแล้วว่าตัวบุคคลของคุณหญิงเองก็เป็นคนที่ทำงานดี และเราก็รู้ว่ามันมีใบสั่งมาจริงๆ”
ปัญหาการเลือกผู้ว่าฯ สตง.ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ, คตง. และวุฒิสภาเท่านั้น แม้แต่ตัวสมาชิกวุฒิสภาเองก็ถอดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม. เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า หลักการและความคิดของสมาชิกวุฒิสภาทำไมช่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ทุกวัน ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นความโชคร้ายของบ้านเมือง
“เป็นความโชคร้ายของบ้านเมืองที่เวลาทำอะไรแล้วไม่รู้จบ ทำแล้วก็ต่อกันไปเรื่อยๆ เถียงกันตลอดเวลา แทนที่เลือกไปแล้วในกระบวนการ ส่วนหนึ่งเขาก็เห็นว่าชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว เราก็มาตีความกันไปกันมา ตีความให้ได้คนที่พอใจมากที่สุด มันก็กลายเป็นอย่างนั้นไป ที่อยากจะเรียนก็คือ เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ขึ้น ผมก็ไม่สบายใจ เพราะหลักที่ผมวางไว้ตั้งแต่แรกก็คือ 1.ผมจะยึดหลักมติวุฒิสภาที่เราต้องรักษาตรงนี้ไว้ 2. ผมจะเคารพเทิดทูนพระบรมราชโองการที่สุด เมื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมยึดหลักว่า ทุกอย่างต้องจบ เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ มันไม่บังควรอย่างยิ่ง เมื่อมันเกิดเรื่องแล้ว มันเสียหาย ก็เลยกลายเป็นว่า วันหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกวันหนึ่งไปอีกอย่างหนึ่ง ในหลักการเดียวกัน หาหลักการอะไรที่มันชัดเจนแน่นอนไม่ได้”
ขณะที่นายทองใบ ทองเปาด์ ส.ว.มหาสารคาม หนึ่งใน ส.ว.ที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ สตง.ครั้งก่อนของวุฒิสภา ที่เลือกคุณหญิงจารุวรรณ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะวุฒิสภาเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ ควรจะเลือกคนที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ใครส่งอะไรมาให้ก็อนุมัติไป อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการ “มัดมือชก” ทั้งที่วุฒิสภามีสติปัญญา มีความคิด ทำไมจะมีสิทธิเลือกบ้างไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณทองใบรู้สึกเสียใจที่สุดในวันนี้ ก็คือ การทำให้คนดีดีคนหนึ่งอย่างคุณหญิงจารุวรรณต้องถูกปลด
“คุณหญิงไม่มีตำหนิเสียหายเลย รู้สึกปีนี้จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณเพิ่มขึ้นขึ้นอีกด้วย เสียงลือว่าคุณหญิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริตด้วยซ้ำ ยืนยันถึงความถูกต้องของวุฒิสภาที่เลือกไปนั้น วุฒิฯ ได้ตัดสินวินิจฉัยครั้งแรกนั้นถูกต้องแล้ว เลือกคนดีเข้าไปดูแลบ้านเมือง เลือกคนดีเข้าไปดูแลตรวจสอบความทุจริตคิดมิชอบ สิ่งที่เสียใจที่สุดคือ คนดีดีทำงาน กลับถูกปลดออกมา นี่คือความเสียใจที่ผมรู้สึกที่สุด”
ที่สุดแล้ว ไม่ว่าปัญหาการเลือกผู้ว่าฯ สตง.จะเกิดจากอะไร เกิดจากระเบียบ คตง.ขัดกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกมองว่า ให้ความสำคัญกับระเบียบมากกว่ากฎหมาย หรือเกิดจากขัดแย้งและเอาชนะกันเองระหว่าง ส.ว. หรือเกิดจากใบสั่งทางการเมือง แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ คตง.-ส.ว. และศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่ตกต่ำลง แต่ยังทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการทำให้เกิดปัญหา กลับต้องรับผลนั้นมาเต็มๆ ถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้น...ใครจะรับผิดชอบ?


