"สนธิ" เผยกรณีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ถวายฎีกาเป็นการปกป้องสถาบันศาสนา และสถาบันกษัตริย์ไม่ให้อ่อนแอ แต่บางฝ่ายไม่เข้าใจเพราะพื้นฐานสังคมไทยเป็นสังคมไร้ปัญญา ไม่สนใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ว่าชุดใดยุ่งศาสนาได้ อนาคตก็อาจใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อหวังผลทางการเมือง
สโรชา – สวัสดีค่ะคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ อาหารสมองก่อนเข้านอนในทุกคืนวันศุกร์ค่ะ กลับมาพบกันเป็นประจำกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และดิฉัน สโรชา พรอุดมศักดิ์ วันนี้เราคงต้องใช้เวลาที่จะพูดกันถึงเรื่องการถวายฎีกาของท่านหลวงตามหาบัวกันซักนิดนึง รายละเอียดความเป็นมา เรื่องนี้ดิฉันเชื่อว่าคุณผู้ชมหลายๆ ท่าน รวมถึงตัวดิฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ คงต้องขออนุญาตคุณสนธิ อธิบายความเป็นมาเป็นไปรวมถึงรายละเอียดให้พวกเราได้เข้าใจค่ะ
สนธิ – ครับ สั้น ๆตอนนี้ก่อนนะครับ เหตุการณ์ของการถวายฎีกา ก่อให้ความเข้าใจผิดหลายต่อหลายท่านไม่เข้าใจรวมทั้งถึงคุณสมัคร สุนทรเวช ที่ท่านออกมาในรายการนี้ เมื่อเช้านี้ ท่านก็ค่อนข้างจะกราดเกรียว แต่ผมอยากจะฝากคุณสโรชาและท่านผู้ชมทางบ้าน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นผล ถ้าเราจะมาดูที่ผลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องย้อนไปดูที่เหตุนะครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น และเหตุปัจจัยข้อที่หนึ่งที่ทำให้เกิดผลวันนี้ก็ยังมีเหตุปัจจัยข้อที่สอง ที่ทำให้ข้อที่หนึ่งเกิดขึ้น และยังมีเหตุปัจจัยข้อที่สามทำให้เหตุปัจจัยข้อที่สองเกิดขึ้น เราค่อยใช้เวลาอธิบายความเป็นมากันซักพักหนึ่งนะครับ
สโรชา – แต่ว่ามีคนแซวมาค่ะ คุณสนธิ ว่า รายการเราหลากหลายจริงๆ สัปดาห์ที่แล้วเรายังพูดคุยกันถึงเรื่องนมเด้ง ตบนมกันอยู่เลย
สนธิ – ครับ วันนี้มาพูดเรื่องนิพพาน
สโรชา – นั่นซิค่ะ หลากหลายจริงๆ แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องนั้น คงต้องคุยกันถึงเรื่องคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติซักนิดนึง เพราะว่าหลายๆ ท่านฟังข่าวแล้วก็รับข่าวด้วยความยินดี แต่ก็มีคำถามต่อค่ะว่า ในการจัดตั้งในครั้งนี้โดยอดีตท่านนายกฯ ท่านอานันท์ ปันยารชุนมาเป็นประธานถามต่อว่าคณะกรรมการชุดนี้จะมีผลงานหรือว่า จะมีการปฏิบัติงานเป็นรูปธรรมมากน้อยแค่ไหนอย่างไร วันนี้เราจะวิเคราะห์ยังไงค่ะ
สนธิ – ผมอยากจะมองในแง่ดีนะครับ ผมมองในแง่ดีว่า การที่ท่านนายกฯ ยอมให้มีคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นทันที หลังจากที่ท่านออกมาแล้ว ท่านบอกว่า ท่านจะไม่ฟังความคิดเห็นใครแล้วในเรื่องของโซน 3 สี คือ เขียว เหลือง แดง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ท่านก็ยอมที่จะมีคณะกรรมการสมานฉันท์ ก็แสดงถึงวุฒิภาวะของท่านนายกฯว่า ท่านเป็นคนถอยได้ และท่านไม่กลัวเสียหน้า ซึ่งถ้าคุณสโรชาจำได้ ผมเคยพูดนานมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อตอนต้นเราทำรายการนี้ ผมคิดว่าคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่งของท่านนายกฯคนนี้คือมีความยืดหยุ่น คือไม่ยึดติด ข้อนี้เป็นข้อดี และผมก็เพียงแต่ภาวนาให้ท่านนายกฯ ยึดถือตรงนี้เอาไว้ ไม่เพียงเฉพาะในเรื่องของคณะกรรมการสมานฉันท์หรือเรื่องปัญหาภาคใต้เท่านั้น ผมอยากให้คิดไปจนถึงเรื่องราวที่ผมจะพูด ในตอนที่สองต่อไป คือในเรื่องของการถวายฎีกาของท่านอาจารย์หลวงตามหาบัว ทีนี้พอท่านไม่ยึดติดแล้ว ท่านก็มาสรุปว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาคนซึ่งสังคมไทยยอมรับมาเป็นประธานกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งก็หนีไม่พ้นท่านอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งท่านอานันท์ ปันยารชุนก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพรักและอย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่เชื่อถือได้ในสังคมไทย อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนซึ่งมีความเชื่อมั่นและเชื่อถือได้พอสมควรนะครับ ถึงขั้นค่อนข้างสูงทีเดียว ทีนี้การที่ท่านนายกฯ ยอมรับท่านอานันท์ ปันยารชุน และนอกจากนั้นยังเดินทางไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อที่จะไปปรึกษาหารือขอคำแนะนำท่านในเรื่องของปัญหาภาคใต้ ก็แสดงว่าท่านนายกฯ เป็นคนที่เปิดกว้าง เพียงแต่ว่าในช่วงแรกนั้น อย่างที่ผมบอกว่า ท่านนายกฯ เป็นคนที่พอประดาบก็เลือดเดือด ก็คือว่า อย่ามาท้าทายนะ ถ้าท้าทายก็เป็นยังไงเป็นกัน แต่ว่าพอซักพักหนึ่งแล้ว ท่านก็กลับมามีสติเหมือนเดิม ซึ่งผมก็คิดว่า เป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคล เป็นเรื่องที่ดี พอไปพบเสร็จเรียบร้อยก็มาตั้ง ทีนี้คำถามก็มีอยู่อย่างนี้ครับ มีอยู่ว่า ถ้าท่านนายกฯ โยนเรื่องนี้ให้ท่านอานันท์ ปันยารชุนทำแล้ว คือการทำเรื่องนี้ทำได้อยู่อย่างเดียว คือเสนอแนะวิธีแก้ปัญหา คณะกรรมการเสนอแนะ คือคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจ แต่ว่าจะเป็นคณะกรรมการระดับชาติ คือ ท่านนายกฯก็ให้สิทธิเสรีภาพของท่านอานันท์ ปันยารชุนเลย จะเลือกใครก็ได้มาทั้ง 35 คน ปรึกษาหารือและเสนอแนะมา ทีนี้เวลาเสนอแนะออกมาแล้ว ปัญหาที่ผมมองว่า อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น ก็คือว่าถ้าสมมติว่าเสนอแนะมาแล้ว เกิดไปสวนทางนโยบายที่ท่านนายกฯ ทำมาตลอดในรอบปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการขโมยปืนไป คำถามคือว่าท่านนายกฯ จะปฏิบัติตนต่อข้อเสนอแนะตรงนั้นยังไง คือถ้าสมมติว่าท่านฟังแล้วท่านนำไปปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ผลของคณะกรรมการสมานฉันท์นั้น ก็เริ่มมีประสิทธิภาพออกมา มีทางปฏิบัติและในที่สุดแล้วคนก็จะมองเห็นว่า มันยังมีทางออกนะ และก็ลองปฏิบัติดูว่ามันมีปัญหาไหม แต่ถ้าสมมติจะนำไปปฏิบัติก็ต้องใช้ระยะเวลาระยะหนึ่ง ไม่ใช่ระยะเวลาที่พอเริ่มทำได้ซักเดือนสองเดือนแล้ว มีระเบิดต่อ มีการฆ่ากันตาย และจะลุกขึ้นมาบอกว่าไม่ได้ผล ต้องฆ่าเขาคืนบ้าง ตรงนี้ที่ผมเป็นห่วง เพราะผมอยากจะให้มีขันติเอาไว้ ให้อดทนนะครับ ว่า อย่างที่ผมเคยเรียนให้คุณสโรชาทราบจำได้ไหมครับ ว่าผมเคยเรียนให้ทราบมานานแล้ว ว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นคือการแก้ไขข้อแตกต่างและข้อขัดแย้งในเชิงวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นแล้วการแก้ตรงนี้ จะต้องให้เวลามันซักพักหนึ่งนะครับ และอีกประการหนึ่งผมขี้เกียจที่จะพูดเรื่องเก่าๆ ก็หลายๆ ท่านเที่ยวมาเล่นงานผมทางหน้าโทรทัศน์บ้างว่า ผมแนะนำนโยบายที่ผิดทางภาคใต้ แต่วันนี้อย่างน้อยที่สุด ถ้าท่านนายกฯ ยอมรับว่า ควรจะมีคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เราพูดมาตลอดเวลาเกือบ 2 ปีนั้น ท่านผู้ชมที่ไม่เห็นด้วยกับผม ก็ต้องยอมรับบ้างนะครับว่าไม่มากก็น้อย ในที่สุดแล้วก็มีทิศทางที่จะไปทางนั้น ที่ผมกลัวคือว่า เมื่อเสนอแนะไปแล้วเกิดไม่เอาเลย และคณะกรรมการชุดนี้เกิดประกาศตัวว่า ไหนๆ เสนอแล้วไม่เอา ผมขอลาออกทั้งหมดแล้ว ตรงนี้ท่านนายกฯจะไม่มีไพ่เล่นอีกต่อไปแล้ว
*************
สโรชา – ค่ะก็ติดตามกันต่อไปค่ะ สำหรับเรื่องราวการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเรียนถามคุณผู้ชมผ่านเอสเอ็มเอสในค่ำคืนนี้ค่ะว่า คุณผู้ชมคิดว่า คุณอานันท์ ปันยารชุน จะช่วยแก้วิกฤติภาคใต้ได้หรือไม่ ถ้าเกิดได้กด เอ็มที 1 ไม่ได้ กดเอ็มที 2 ค่ะ ส่งมาที่ 84820 หรือโทร.มา ที่ 02-2016055-60 ค่ะ ขอบคุณฟรีอินเตอร์เน็ตที่เอื้อเฟื้อระบบเอสเอ็มเอสให้กับเราค่ะ สัปดาห์นี้เรางดที่จะแจกโทรศัพท์มือถือ และเสื้อทีเชิ้ตนะคะ เนื่องจากว่า ตามข้อกฎหมายแล้ว หน่วยงานราชการไม่ควรทำ และถือเป็นการพนันจะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน เพราะฉะนั้นงดไปก่อนนะคะ สำหรับการแจกโทรศัพท์มือถือและเสื้อทีเชิ้ตค่ะ แต่ว่ายังมีข่าวประชาสัมพันธ์เช่นเคยนะคะ หนังสือเมืองไทยรายสัปดาห์เล่ม 1-3 ยังคงเปิดจองนะคะ จากวันนี้ไปถึงวันที่ 15 มีนาคม โดยขายชุดละ 750 บาท ถ้าจองล่วงหน้าจะได้รับวีซีดีเบื้องหลังการถ่ายทำ รวมถึงเสื้อยืด ที่มีโลโก้เมืองไทยรายสัปดาห์ 1 ตัวค่ะ คุณผู้ชมสามารถที่จะโทร.มาได้นะคะที่ 02-6294488 ต่อ 2208-9 ไปที่ซีเอ็ดบุ้คเซ็นเตอร์และบีทูเอสทุกสาขาค่ะ อีกเรื่องหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้จะเริ่มการอบรมขยับกายสบายชีวีวิถีพุทธ รุ่นที่ 9 อยากจะเรียนคุณผู้ชมที่สนใจโดยจะมีการอบรมกันในวันเสาร์ที่ 5 12 19 26 มีนาคมและ วันที่ 2 เมษายน รวมทั้งหมด 15 ชั่วโมงนะคะ 2 รอบใน 1 วันจะรอบ 09.00-12.00 น.และ รอบ 13.00-16.00 น.ค่ะ สามารถที่จะโทร.มาสอบถามรายละเอียดนะคะ ที่ 02-6292211 ต่อ 1118 และ 1152 ค่ะ รับเพียง 70 ท่านเท่านั้นนะคะ อีกเรื่องหนึ่งค่ะจะมีการสัมมนาวิชาการนานาชาติครั้งที่ 1 เรื่องการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยการแพทย์แบบผสมผสานในระหว่างวันที่ 16-18 มีนาคม 2548 นี้ ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท ที่พัทยาค่ะ สนใจสามารถติดต่อได้ ที่ 02-6408090 ต่อ 505 ค่ะ พักซักครู่ค่ะ คุณผู้ชม เดี๋ยวกลับมาคุยกันในช่วงต่อไปค่ะ
สโรชา – กลับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ค่ะ ในบ่ายวันนี้คุณผู้ชมมีพระสงฆ์และฆราวาสนับหมื่นคนทีเดียวที่ไปรวมตัวกันที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ค่ะ เพื่อที่จะแสดงพลังสนับสนุนหลวงตามหาบัวในการถวายฎีกาในครั้งนี้อย่างที่คุณสนธิ เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะต้องย้อนกลับไปที่เหตุ
สนธิ – คือก่อนที่เราจะไปพูดเรื่องนี้นะครับ คุณสโรชา ต้องเรียนคุณสโรชาและกราบเรียนท่านผู้ชมทางบ้านด้วยนะครับ ว่า เป็นครั้งแรกที่มีการถวายฎีกาเข้าสู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะครับ และคำในฎีกานั้นเป็นคำกล่าวหาท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองามหลายข้อตลอดจนได้ขอให้มีการถอดสมณศักดิ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ถ้าในเชิงข่าวแล้ว เป็นข่าวที่ใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ ครับ ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ในฐานะคุณสโรชาอยู่ในวงการข่าว คุณสโรชาต้องยอมรับว่าใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครลง นอกจากหนังสือพิมพ์ไม่กี่ฉบับ จากการซึ่งลงนั้นก็กลายเป็นเป้าถูกโจมตีไปว่าทำไมเอาเรื่องที่ไร้สาระนี้มาลง ทีนี้จะพูดเรื่องนี้ผมต้องขออนุญาตกราบเรียนท่านผู้ชมทางบ้านและคุณสโรชานิดนึง เราต้องเข้าใจถึงรากเหง้าของประเทศก่อน เวลาเราพูดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 3 ส่วนนี้รวมอยู่ด้วยกัน จริงๆ แล้วก็คือศาสนากับพระมหากษัตริย์ เป็นเสาหลักที่ทำให้ชาติอยู่ได้ ไม่ใช่ สถาบันการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รัฐมนตรีใดๆ ทั้งสิ้น ทีนี้ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็ต้องหันมาดูต่อ ว่าเมื่อประมาณต้นปี 2547 ก็มีการแสดงออกในทางด้านสื่อมวลชน โดยผ่านทางรัฐบาลว่า องค์สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จญาณสังวร พระองค์ท่านทรงประชวร จนกระทั่งไม่สามารถจะปฏิบัติภารกิจได้ นัยคือว่า พระองค์ท่านชราภาพมากจนเกินไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ทีนี้พอพูดตรงนี้ก็มีข่าวคราวบอกว่า ความที่พระองค์ท่านชราภาพก็เลยทำให้คนแวดล้อมพระองค์ท่าน พวกเลขาฯ กระทำการโดยอ้างอิงชื่อของสมเด็จพระสังฆราช การที่มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น เพื่อที่จะมาสนับสนุนความชราภาพของพระองค์ท่านเพื่อให้ดูหนักแน่นว่า พระองค์ท่านชราภาพแล้วนะ เนื่องจากชราภาพไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้ ก็เลยมีคนที่ไม่ปรารถนามาทำอันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นัยที่ประชาชนจะรับทราบคือ เออหนอ สมเด็จญาณฯ ท่านชราภาพจนกระทั่งไม่รู้เรื่องนะครับ นี่คือด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งผมก็จะถามตัวผมเองว่า แล้วถ้าสมเด็จญาณพระองค์ท่านชราภาพมาก ทำไมในปี 2547 ตลอดปีที่ผ่านมานั้น สมเด็จญาณลงทำวัดได้ ลงโอวาทปาติโมกข์ได้ โอวาทปาติโมกข์ถ้าหากไม่มีสตินี่ทำไม่ได้นะครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วนอกจากนั้น ในช่วงของการมีกฐินหลวง เมื่อประมาณเดือน ตุลาคม หรือ พฤศจิกายนนั้น สมเด็จญาณฯลงมารับกฐินหลวง นอกจากนั้นแล้วในช่วงซึ่งสมเด็จญาณออกจากโรงพยาบาล สำนักพระราชวังก็มีมาตรการ มีกติกาว่า ผู้ใดจะเข้าเฝ้าสมเด็จญาณให้ปฏิบัติตนดังต่อไปนี้ ข้อที่หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ระดับวีไอพีให้ทำอย่างนี้ ถ้าเป็นหมู่คณะให้ทำอย่างนี้ ถ้าเป็นส่วนบุคคลให้ทำอย่างนี้ แปลว่าทางสำนักพระราชวัง ก็มองเห็นว่าสมเด็จญาณฯ นั้นพระองค์ท่านชราภาพจริงแต่ว่ายังปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่ ก็เลยทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ผมสับสน ว่าตกลงท่านยังไงกันแน่ เพราะถ้าท่านรับแขกไม่ได้จริงๆ ดังที่เคยกล่าวเอาไว้ ก็ย่อมที่จะไม่มีหมายของสำนักพระราชวังออกมาเช่นนั้น ถูกไหมครับ อันนี้เป็นความขัดแย้งในตัวของมันเอง ข้อที่สอง ความสัมพันธ์ เมื่อสมเด็จญาณ ฯ ท่านได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. 2532 คนที่แต่งตั้งพระราชทานสมณศักดิ์ให้พระองค์ท่านก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านมาอีก 3 ปี คือ 2535 ก็มีพระราชบัญญัติสงฆ์ฉบับใหม่ออกมา โอนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจากพระเจ้าอยู่หัวมาให้กับรัฐบาลตั้ง และก็ค่อยทูลเกล้าฯให้ทราบ คุณสโรชาต้องแบ่งให้ถูกนะครับ สมเด็จญาณ ฯ ถูกแต่งตั้ง ก่อนที่พระราชบัญญัติสงฆ์อันใหม่จะออก
สโรชา – 3 ปี
*************
สนธิ – เอาละถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว คำถามที่ชาวบ้านอย่างผม ถามมาว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าสมเด็จญาณฯ พระองค์ท่านไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยจารีตแล้ว โดยนัยแล้ว สมเด็จญาณถูกในหลวงตั้งเมื่อปี 2532 ก่อนกฎหมายใหม่ที่ออก ควรหรือไม่ควรตามจารีต ที่รัฐบาลควรที่จะเข้าไปกราบบังคมทูลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชวินิจฉัย ว่าสมเด็จญาณฯ เป็นเช่นนี้แล้ว พระองค์ท่านมีความเห็นเช่นไร ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนี้ แต่ไม่ได้มีการเข้าไปกราบบังคมทูล
สโรชา – คือยึดหลักกฎหมาย
สนธิ – ยึดหลักกฎหมายซึ่งกฎหมายนี้ก็เกิดหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะพูด สมเด็จญาณอาจจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชในข้อยกเว้นจากกฎหมายได้ เนื่องจากว่า อันนี้พระองค์ท่านแต่งตั้งขึ้นมาก่อน นอกจากนั้นแล้วยังมีคนไม่เข้าใจอีกเยอะ ถึงลักษณะพิเศษของสมเด็จญาณฯ กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผมพูดวันนี้ ผมเอาธรรมมาพูด การเอาธรรมมาพูด คือการเอาความจริงมาพูด ไม่ต้องกลัว ผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น และผมก็ไม่ได้เกรงเลยว่าจะโดนระงับออกรายการ เพราะว่าผมเอาธรรมมาพูด และท่านผู้ชมทางบ้าน ถ้ามีจิตใจเป็นธรรมและเคารพในธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด สมเด็จญาณฯ นามของท่านญาณสังวร เป็นการตั้งครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทย ในประวัติศาสตร์ไทยมีสมเด็จญาณสังวร ครั้งแรกก็คือเป็นพระสังฆราชองค์ที่สองในกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีนามว่าสมเด็จพระญาณสังวร เคยมีมาแล้ว นามนี้ตั้งขึ้นมาตอนนั้นคือ ในสมัยที่ช่วงแรก ๆ ซึ่งมีการตั้งมาก่อนและค่อยตามมาทีหลัง คำว่าญาณสังวรคือ ตั้งโดยในช่วงนั้น สังฆราชคือ สังฆราชสุข ไก่เถื่อน *** ซึ่งเรืองวิทยาคม มีวิชา มีภูมิธรรมขั้นสูง เป็นที่เลื่องลือในยุคต้นรัตนโกสินทร์ พอสิ้นพระชนม์แล้ว ญาณสังวรก็ไม่ได้ถูกตั้งอีกเลย มาตั้งอีกทีในสมัยของรัชกาลที่ 9 นี้ เหตุที่ตั้งคำว่าญาณสังวร เพราะว่าคำว่าญาณสังวรแสดงถึงภูมิธรรมชั้นสูง ในพุทธศาสนา และออกถึงวัตรปฏิบัติอันเป็นปกติในธรรมหมวดสังวร ได้แก่ อินทรีย์สังวร ศีลสังวร และญาณสังวร คือความใกล้ชิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จญาณสังวรมีมากมายมหาศาล สมเด็จญาณสังวรเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2499 ตอนที่พระองค์ท่านทรงผนวช แล้วตามหนังสือที่เคยมีการเขียนมา สมเด็จญาณสังวร พระองค์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าอยู่หัวเคยขออาราธนาให้ท่านอย่าเพิ่งละสังขาร เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งพระองค์ท่านไม่สบายหนัก ป่วยหนัก อาการหนักมากเลย พระเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้า เสด็จะไปเยี่ยมและสมเด็จญาณนั้นไม่รู้ตัว พระเจ้าอยู่หัวเอามือจับมือของสมเด็จญาณ บอกว่าพระอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัว หม่อมฉันและพระนางเจ้ามาเยี่ยม สมเด็จญาณท่านก็พยักหน้ารับทราบ พระเจ้าอยู่หัวก็บอกว่า พระอาจารย์อย่าเพิ่งละสังขารนะให้อยู่ต่อ ท่านก็พยักหน้า และหลังจากนั้นท่านก็คืนดี ก็ดีวันดีคืน การที่พระเจ้าอยู่หัวทำเช่นนั้น ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกนะครับ พระเจ้าอยู่หัวเคยทำกับท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสเคยป่วยหนัก พระเจ้าอยู่หัวก็ไปขอท่านพุทธทาส บอกว่าอย่าเพิ่งไปนะ ให้อยู่เป็นเสาหลักของพุทธศาสนาในประเทศไทยก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว ความใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าอยู่กับสมเด็จญาณ ใกล้ชิดในเรื่องของความที่มีธรรมที่ใกล้กันแล้ว จิตยังถึงซึ่งกันและกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนเขียนเรื่องนี้คือ ท่านพล.ท.อัมพร จินตกานนท์ *** ท่านบอกว่าได้มีการที่พระเจ้าอยู่หัวต้องการที่จะนิมนต์พระเกจิอาจารย์วัดป่า ให้เข้ามา ปรากฎว่าติดต่อไม่ได้เพราะว่าพระป่าออกไปธุดงค์กันเยอะ ทางทหาร สมุหราชองครักษ์ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ไปกราบบังคมทูลถวายท่าน ท่านก็บอกว่า ให้ไปติดต่อสมเด็จญาณ สมเด็จญาณท่านก็นัดให้ ก็ไปถึง ก็ไปกราบเรียน สมเด็จญาณก็บอกว่า เดี๋ยวจะจัดการให้ ระหว่างที่สมุหราชองครักษ์นั่งรออยู่ตรงนั้น ซักพักหนึ่งท่านก็บอกว่า นัดให้เรียบร้อยแล้ว ก็คือพระองค์ท่านส่งจิตเข้าไปนัดให้ นี่ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมต้องการให้คุณสโรชาและท่านผู้ชมทางบ้านได้เข้าใจ ความใกล้ชิดสนิทสนมของสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชของเรากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด และถ้าหากด้วยความใกล้ชิดเช่นนี้ เมื่อพระองค์ท่านพระประชวรหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลควรที่จะนึกถึงตรงนี้ และเข้าไปกราบบังคับทูลพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าด้วยความใกล้ชิดอันนี้ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านเป็นคนตัดสินใจ เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวยังเคยขอให้สมเด็จญาณฯ อย่าเพิ่งละสังขาร กับการที่พระองค์ท่าน สมเด็จญาณฯ ไม่สบายหนัก ทำไมถึงละเลยพระเจ้าอยู่หัว นี่คือชาติ ศาสนา คุณสโรชาต้องเข้าใจนะครับ นี่คือชาติ และศาสนา เพราะว่าสมเด็จญาณ ท่านคุมศาสนจักร ท่านเป็นใหญ่ในศาสนจักร พระเจ้าอยู่หัวของเราอันที่เป็นเคารพของพวกเราทั้งหลาย คุมทางอาณาจักร ตรงนี้ต่างหากซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดซึ่งเราต้องมาปุจฉา วิสัชนากัน และนี่คือข้อเท็จจริง ที่เป็นไปมานะครับ และเดี๋ยวผมจะเล่าต่อไปว่ามีอะไร เพราะเวลาในช่วงนี้หมดแล้ว ต่อไปผมจะเล่าว่าแล้วเหตุการณ์มันดำเนินการต่อไปยังไง จนกระทั่งเกิดการถวายฎีกาในวันนี้
สโรชา – ค่ะ เพราะฉะนั้นก็เดี๋ยวฟังคำตอบนะคะ สำหรับเหตุที่ทำให้มีผลที่จะทำการถวายฎีกาในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม ที่จะถึงนี้เพราะฉะนั้นเราพักกันตรงนี้ เดี๋ยวกลับมาฟังกันต่อค่ะ
สโรชา – กลับมาสู่เมืองไทยรายสัปดาห์นะคะ เมื่อซักครู่นี้คุณสนธิได้เล่าถึงความผูกพันระหว่าง 2 เสาหลักของประเทศไทยเรานะคะ คือ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
สนธิ – ครับ ทีนี้พอมาวันที่ 13 มกราคม 2547 รัฐบาลแทนที่จะนำเรื่องของสมเด็จญาณ ฯ ว่าพระองค์นั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เอาไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว กลับมาตั้งสมเด็จพุฒาจารย์ ให้เป็นผู้ปฏิบัติและคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มีกำหนด 6 เดือน
สโรชา – ค่ะ จากมกราคมปีที่แล้ว
สนธิ – ทีนี้เมื่อถูกตั้งแล้วก็เลยถูกคัดค้าน คนที่คัดค้านก็คือ คณะสงฆ์วัดป่าที่ประชุมกันที่วัดป่ากกสะทอน จ.อุดรธานี และมีแถลงการณ์ไม่ยอมรับเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2547 การไม่ยอมรับครั้งนั้น ไม่ยอมรับก็ด้วยเหตุผลที่ผมเล่าให้ฟัง ว่าอันนี้เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นจารีตที่ควรกระทำ ไม่ใช่รัฐบาลมาทำ ทีนี้พอดึงดันตั้งกันไปต่อ ไม่สนใจ จำได้ไหมครับ ที่มีประชุมพระเป็นหมื่นรูป ที่วัดอโศการาม มีคุณทองก้อนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตา ที่ไปประชุมที่พุทธมณฑล ก็โดนคน 300-400 คนมารุมตี จนกระทั่งบาดเจ็บไปแจ้งความก็กลับกลายเป็นว่าคุณทองก้อนไปตีเขา ทั้งๆ ที่คุณทองก้อนกับพระไปแค่ 7 รูป แต่โดนคน 300-400 คน ข่าวคราวทางสื่อมวลชนก็โดนปิด ไม่ยอมเปิดเผยนะครับ ทีนี้พอครบ 6 เดือน ก็เลยไปออกพระราชกำหนด เพื่อที่จะให้มีการตั้งสมเด็จพุฒาจารย์ขึ้นมานะครับ โดยที่กฎหมายคณะสงฆ์ให้มีการปฏิบัติต่อองค์สมเด็จฯ คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งให้เป็นทางการ ว่าเป็นรักษาการอย่างเป็นทางการ โดยออกเป็นพระราชกำหนด
สโรชา – คือพอครบวาระ 6 เดือน ก็ออกพระราชกำหนดเพื่อที่จะให้รักษาการต่อ ถูกไหมครับ
สนธิ – ครับ เพื่อรักษาการต่อในวันที่ 15 กรกฎาคม ทีนี้เมื่อออกเป็นพระราชกำหนดแล้ว ที่น่า
สนใจอยู่อย่างหนึ่งนะครับ คือว่าการออกพระราชกำหนดวันที่ 20 กรกฎาคม น่าสนใจอย่าง คือมหาเถรสมาคม ประชุมกัน แล้วก็ประชุมเสร็จประมาณ 18.00น. ปรากฏว่าราชกิจจานุเบกษา ออกตอน 17.00 น. ก็คือว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ในการที่จะดำเนินเรื่องที่ได้ทำผิดพลาดแต่แรก ให้ต่อเนื่องไป คือคุณสโรชาครับ ในทางธรรม ถ้าเริ่มคิดตั้งแต่แรกผิดแล้ว ก็ผิดไปตลอด คุณสโรชา กลัดกระดุมนะ ถ้ากลัดผิดรู มันก็ผิดไปตลอดแล้ว มันต้องแก้ที่รูแรกซะก่อน วิธีที่แก้ง่ายที่สุด คือว่า นำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ส่วนพระเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งใคร มีพระราชวินิจฉัยอย่างไร ทางหลวงตามมหาบัวและพระป่า ไม่ได้ติดใจอะไรทั้งสิ้น กลับโดนใส่ร้ายป้ายสี ว่าหลวงตามหาบัวอยากจะเป็นพระสังฆราช อันนี้น่าเกลียดมาก คือทำร้ายและทำลายพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในขั้นอริยสงฆ์ เอาละช่างมันไม่เป็นไรเรื่องนี้ ก็มาดูกันต่อไป ทีนี้พอมาต่อไปแล้ว คำถามมีต่อว่า เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ทำยังไง นะครับ ทางสายพระป่าก็ไม่ยอม ทางสายพระป่า บอกว่า อันนี้จะยังไงก็ตาม ต้องพระราชอำนาจคืนให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทราบ ก็คือพูดง่ายๆ ว่ารัฐบาลซึ่งเป็นอาณาจักร ไม่ควรไปยุ่งกับศาสนจักร ก็ถามว่ามีการยุ่งเกี่ยว รัฐบาลเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางศาสนาอย่างไรบ้างในอดีต ก็เคยอยู่ครั้งหนึ่ง ในยุคเมื่อซักเกิน 50-60 ปีมานี้ คือในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลได้ดำเนินการถอดยศ และจับสึกพระสองรูป รูปแรกคือพระพิมลธรรม รูปที่สอง คือพระศาสนโสภณ พระพิมลธรรมโดนในกรณีของเรื่องถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พระศาสนโสภณ ถูกกล่าวหาว่าอาบัติเนื่องจากว่าได้มีการคบหญิงสาว ซึ่งทั้งสองรูปนี้ก็ไม่ยอม พระพิมลธรรมก็ถูกจับใส่คุก ท่านก็อยู่ในคุก ท่านก็แต่งขาว ห่มขาวก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่เหมือนเดิม พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ส่วนพระศาสนโสภณ อยู่ที่วัดราชาธิวาส ช่วงหลังตอนหลัง กาลเวลาผ่านมา พอจอมพลสฤษดิ์สิ้นไปแล้ว ก็มีการมาสืบมาค้นคว้า และมาตรวจสอบ ก็ปรากฏว่าได้มีการคืนสมณศักดิ์ให้ทั้งสองรูปคือพระศาสนโสภณ และพระพิมลธรรม ส่วนคนที่กล่าวหานั้นก็มีอันเป็นไปทุกคน คนหนึ่งก็ถูกรถชนตายทันทีเลย อีกคนก็ถูกคนร้ายแทงตายเรื่องเกี่ยวกับหนี้สินนะครับ นี่เพียงแต่ผลกรรม เล่าถึงผลกรรมให้ฟังนะครับ ก็เลยจะเห็นได้ชัดว่า ทำไมหลวงต้องออกมาสู้เรื่องนี้ หลวงตาวันนี้ ด้วยความเคารพในตัวท่าน ท่านอายุ 90 นะครับ ท่านพร้อมจะละสังขารไปได้ทุกเมื่อ ท่านช่วยชาติด้วยการระดมทองคำมาทั่วประเทศไทย เพื่อเอามาให้กับประเทศชาติ เพื่อเอามายันเรื่องหนี้ต่างประเทศเอาไว้ ท่านเป็นพระแก่ๆ ผอมๆ องค์หนึ่ง แต่จิตใจท่านรักชาติ ท่านรักศาสนา ท่านเคร่งในพระธรรมวินัย หลวงตาไม่ได้ต้องการใคร หลวงตาสู้ในเรื่องนี้ มีประเด็นที่สำคัญที่สุด ประเด็นที่หลวงตาสู้ตรงนี้ คุณสโรชา ซึ่งสำคัญมากๆ ประเด็นที่ต่อสู้คือสิ่งที่ผมพูดในตอนแรกคือว่า ถ้าศาสนาอ่อนแอ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ชาติล่มสลาย ทีนี้ถ้าเราตัดพระราชอำนาจในการตั้งพระสังฆราชออกจากพระมหากษัตริย์ ก็กลายเป็นรัฐบาลเป็นคนตั้ง ก็เท่ากับรัฐบาลในอนาคต ไม่รู้จะเป็นรัฐบาลชุดไหน ก็สามารถจะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เข้าใจหรือยังครับ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง คุณสโรชาจำได้ไหมครับ ศาสนาคริสต์ในสมัยที่จักรพรรดิคอนสแตนติน อาณาจักรโรมันยุคสุดท้าย ที่อาณาจักรโรมันยุคสุดท้ายยอมรับคริสเตียนนิตี้เข้ามาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน เพียงเพราะว่าต้องการมีข้อตกลง กับพระสันตะปาปาช่วงนั้นที่จะแชร์อำนาจกันและจักรพรรดิคอนสแตนตินก็จะใช้คำสอนที่คิดกันขึ้นใหม่มาเพื่อผลทางการเมือง ทีนี้ถ้าอีกหน่อยรัฐบาลตั้งสมเด็จพระสังฆราชได้ ก็หมายความว่า การเมืองก็เข้าไปยุ่งกับศาสนาเต็มตัวเลย พอเข้าไปยุ่งกับศาสนาเต็มตัวแล้ว ศาสนาก็อ่อนแอ เมื่อศาสนาอ่อนแอแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็อ่อนแอ สถาบันกษัตริย์ก็อ่อนแอตามไปด้วย เมื่อทั้งสองส่วนอ่อนแอแล้ว เราจะมีชาติไทยอยู่ตรงไหน ตรงนี้ต่างหากที่หลวงตาท่านสู้ ท่านไม่ได้สู้เพื่อตัวท่านเอง ก็เลยกลายเป็นเป้าให้มีการเข้าใจผิดกัน ว่าหลวงตายุ่ง พระไม่อยู่ส่วนพระมายุ่งทางการเมือง คือเรื่องนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า ผลมันมีตรงนี้เพราะว่ามันเหตุมาก่อน ทีนี้สังคมไทยเป็นสังคมไร้ปัญญา สังคมไทยเป็นสังคมซึ่งไม่สนใจที่มาที่ไป สนใจว่าอะไรเกิดขึ้นตรงนี้ พอรู้ว่าหลวงตาถวายฎีกาเข้าไปอย่างนี้ก็บอกว่าหลวงตาทำเรื่องวุ่นวายไปหมดเลย เป็นพระไม่อยู่ส่วนพระ บาปกรรม หลวงตามีคุณูปการกับสังคมไทย มีคุณูปการกับศาสนา หลวงตาท่านถึงประกาศบอกว่า เรื่องนี้ท่านตายเป็นตาย ท่านไม่กลัว ลูกศิษย์ท่านก็บอกว่า ตายเป็นตาย ไม่กลัวเช่นกัน
*************
สโรชา – พูดถึงลูกศิษย์ท่านแล้ว ด้วยความเคารพนะคะ คงจะต้องถามถึงคุณทองก้อน วงศ์สมุทร ตรงนี้ต้องยอมรับว่า สังคมค่อนข้างจะมีคำถามเยอะ และวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างเยอะเช่นกัน
สนธิ – เหตุผลก็เพราะว่าคุณทองก้อนเป็นคนซึ่งรับบัญชาหลวงตามาแล้วก็ไปดำเนินการให้หลวงตา และคุณทองก้อนก็เป็นคนซึ่งเอาธรรมนำหน้า คุณทองก้อนไม่ได้กลัวอะไร ก็เลยถูกกล่าวหาว่าคุณทองก้อนเป็นตัวป่วน ยุแยงตะแคงรั่ว แต่หลายๆ อย่างที่คุณทองก้อนทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจมาก สิ่งที่คุณทองก้อนทำ ก็คือไปยื่นหนังสือ ไปขอความเป็นธรรมแต่ไม่ได้รับการพิจารณา บางทีไปแล้วก็โดนกล่าวหา เสียดสีทุกอย่าง ไปที่พุทธมณฑลก็โดนทำร้าย จากคน 400 กว่าคนมาทำร้ายคนของคุณทองก้อนมี 7 คน ไปๆ มาๆ คุณทองก้อนกลายเป็นจำเลยไปซะอีก นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆคุณทองก้อนเป็นคนที่น่าสงสารมาก คุณทองก้อนเป็นคนซึ่งทำตามที่หลวงตาบอกว่าให้เดินทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมอยากให้สังคมไทย เข้าใจเข้าซะใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะว่าละเอียดอ่อนก็ละเอียดอ่อน แต่ว่าก็มีที่มาที่ไป อย่าเพิ่งมาดูผลวันนี้ ย้อนกลับไปซักนิดนึงและดูผลตรงนี้ ดูเหตุผลที่เกิดขึ้น ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วเราจะเข้าใจ ผมว่าเรารักในหลวง คุณสโรชารักในหลวง ผมรักในหลวง ท่านผู้ชมทางบ้านก็รักในหลวง ท่านผู้ชมทางบ้านก็รักพระราชินี เมื่อเรารักในหลวง เรารักพระราชินี เราต้องรู้ว่าพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช วันนี้คฤหัสถ์คือรัฐบาลเป็นคนตั้ง จริงๆ แล้วตั้งไม่ได้ คนที่มีสิทธิ์ตั้งได้ เพียงคนเดียวคือพระมหากษัตริย์ที่จะตั้งได้ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่พยายามต่อสู้คือเราพยายามต่อสู้ หลวงตาพยายามต่อสู้เพื่อให้ในหลวงได้มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เรื่องมีอยู่เพียงเท่านั้นเอง
สโรชา – คือแค่รักษาพระราชอำนาจไว้
สนธิ – รักษาพระราชอำนาจ ส่วนพระองค์ท่านจะให้ใคร จะตั้งใคร ก็เป็นพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านเอง อย่างที่บอกว่า ถ้าหากเราดึงอำนาจตรงนี้จากพระองค์ท่านไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลตั้ง ถ้าเรามีรัฐบาลทุศีล ขึ้นมา รัฐบาลก็สามารถจะใช้อำนาจตรงนั้นมาตั้งพระที่ยอมรัฐบาล หรือว่าสามารถที่จะเทศน์เพื่อเข้าข้างรัฐบาล หรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้รัฐบาลได้กำไรจากอำนาจตรงนั้น คือำนาจทางศาสนา เพราะฉะนั้นศาสนาเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องบริสุทธิ์ กฎหมายใดๆ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะเหนือกว่าพระธรรมวินัยได้ ในพระธรรมวินัยบอกชัด พระธรรมวินัยให้วัดกันที่อาวุโส สมัยที่ผมบวช ผมบวชปี 2540 ผมเจอพระซึ่งอายุเพียง 21 ปี ผมยังต้องก้มลงและกราบที่แทบเท้าพระรูปนั้น เหตุผลเพราะว่า พระรูปนั้นมีพรรษามากกว่าผม และก็มีมากกว่าไม่มาก มีมากกว่าแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง ผมก็ต้องกราบ เพราะฉะนั้นแล้วในเรื่องของการเคารพในระบบอาวุโส ในเรื่องพระธรรมวินัย เป็นเรื่องที่สูงส่ง เพราะว่าสิ่งซึ่งตราและบัญญัติมาโดยพระพุทธเจ้าและไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่าพระธรรมวินัย พระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใดที่เถียงเรื่องนี้ว่า พระธรรมวินัยไม่สำคัญ คนนั้นเป็นคนซึ่งห่มแค่ผ้าเหลือง ไม่ใช่เป็นแค่พระสงฆ์ ไม่ใช่เป็นศากยบุตร เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณสโรชา
สโรชา - ขออนุญาตถามนิดนึงค่ะว่า ถ้าฟังมาทั้งหมดแล้วคงจะเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไป เพียงแต่ว่าคำถามอาจจะเกิดได้ว่า ในการถวายฎีกาครั้งนี้ มีการกล่าวหาพระพุฒาจารย์ด้วย แต่ว่าถ้าเกิดฟังความเป็นมาแล้ว จริง ๆแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลมากกว่า ที่จะไปเกี่ยวกับพระพุฒาจารย์
สนธิ – คือสิ่งซึ่งการถวายฎีกามีอยู่ 2อย่าง คือ สมเด็จพุฒาจารย์ตามคำกล่าวหาของท่านหลวงตามหาบัวนะ คือสมเด็จพุฒจารย์ร่วมมือกับท่านรองนายกฯ ท่านรองวิษณุ คือ หลวงตามหาบัวท่านกล่าวหารองนายกฯวิษณุ ค่อนข้างจะแรงมาก ต้องยอมรับ เพราะว่าคำกล่าวหานั้น ถ้าแปลไทยเป็นไทยคือว่า ท่านรองวิษณุนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยการแอบอ้างพระบรมราชโองการ คำพูดของในหลวง ซึ่งหลวงตาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ตรัสเช่นนั้น ก็คือว่า ไปอ้างคำพูดซึ่งในหลวงไม่ได้ตรัส เรื่องนี้ต้องชี้แจงกันแล้ว
สโรชา – ท่านวิษณุท่านบอกว่าท่านไม่พูด ไม่ตอบ
สนธิ – ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องคุย ถ้าท่านวิษณุท่านมีหลักฐานที่ชัด และท่านยืนยันได้ก็ต้องพิสูจน์กัน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างแน่นนอนที่สุด
สโรชา – ค่ะ ช่วงนี้หมดแล้วนะคะ เดี๋ยวพักกันซักครู่หนึ่งกลับมาในช่วงสุดท้ายของรายการจะไปดูผลโพลด้วยค่ะ ซักครู่เดียวค่ะ
สโรชา – กลับมาช่วงสุดท้ายของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ไปดูผลโพลกันซักนิดนึงค่ะวันนี้เราเราเรียนถามคุณผู้ชมว่า คุณผู้ชมคิดว่าคุณอานันท์ ปันยารชุน จะช่วยแก้วิกฤติภาคใต้ได้หรือไม่ คุณผู้ชมตอบเรากลับมานะคะ ว่าได้ประมาณ 57 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ประมาณ 43 เปอร์เซ็นต์ ค่ะ คุณสนธิ เราพูดกันมาค่อนข้างจะยาวสำหรับประเด็นของหลวงตามหาบัว จะสรุปช่วงท้ายยังไงค่ะ
สนธิ – คือโดยสรุปแล้ว ท่านผู้ชมทางบ้านหลายๆ ท่านที่ไม่เข้าใจหลวงตามหาบัว ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจซะใหม่นะครับ คือท่านทำทุกอย่างเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จริงๆ ถ้าศาสนาไม่เข้มแข็ง เพราะว่าการเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือกษัตริย์ ไม่มีพระราชอำนาจในการ แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช นะครับ ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนจักร กษัตริย์ก็จะอ่อนแอ เมื่อกษัตริย์อ่อนแอแล้ว ศาสนาก็จะอ่อนแอ เมื่อศาสนาถูกแทรกแซงและอ่อนแอลงแล้ว ชาติไทยก็จะอ่อนแอไปด้วย เมื่อเราดูอะไรแล้วเราดูอะไรให้ไกล นิดนึง อย่าไปดูให้มันใกล้ๆ อย่าไปดูเพราะว่าวันนี้หลวงตามหาบัวท่านมาถวายฎีกา แล้วก็มาเบื่อหน่ายกัน ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมลองคิดซักนิดนึง วันนี้สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ที่สำนักวาติกัน พระองค์ท่านก็ทรงพระประชวร ประชวรอย่างชนิดที่เรียกว่าปฏิบัติภารกิจไม่ได้ เมื่อเทียบกับสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวรแล้ว ซึ่งพระองค์ท่านยังสามารถลงมาทำวัดได้ มารับผ้ากฐินหลวงได้ แต่ว่าทำไมชาวคริสต์เขาไม่ตั้งผู้รักษาการละครับ เขากลับเทิดทูนสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 เทิดทูนและภาวนาให้จอห์นปอลที่ 2 หายวันหายคืน ทำไมเราถึงไม่เทิดทูนสมเด็จพระสังฆราช ทำไมเรากลับรีบตั้งคนมารักษาการแทน แล้วทำไมเราไม่มาพิสูจน์ความจริงกันว่าสมเด็จพระสังฆราชนั้นแท้ที่จริงแล้ว ทรงพระประชวรจริงหรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดทำไมเราไม่คืนอำนาจอันนี้ให้กับพระเจ้าอยู่หัวไป คุณสโรชา ก่อนจบรายการนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงนะครับ หลังจากจบรายการนี้แล้ว ผมอยากจะฝากนิดนึง ผมเอาธรรมมาพูดวันนี้ การธรรมมาพูดนั้นไม่ผิดหรอกครับ ไม่มีวันผิด ในทางพุทธศาสนานั้น คนที่ทำกรรมเอาไว้ ยังไม่ได้รับกรรมวันนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าชาติก่อนบุญยังมีเหลืออยู่ แต่คุณสโรชาจำเอาไว้อย่าง เมื่อบุญตัวเองหมดเมื่อไหร่ แล้วตัวเองไม่ได้สั่งสมบุญในชาตินี้ เวลากรรมมา มาอย่างรุนแรง เลวร้าย ผมอยากจะเตือนสติให้ใครก็ตามที่คิดมิดีมิร้ายทำกรรมไว้ ให้ระลึกถึงวันที่ตัวเองบุญหมดบ้าง
สโรชา – ค่ะ ตรงนี้คงไม่ต้องสรุปอะไรมากนะคะ คุณผู้ชม แต่พูดได้เพียงแค่ว่า หวังว่าจะได้กลับมาพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้านะคะ สำหรับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สำหรับวันศุกร์นี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และดิฉัน สโรชา พรอุดมศักดิ์ลาไปเพียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีค่ะ
*************
สโรชา – สวัสดีค่ะคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ อาหารสมองก่อนเข้านอนในทุกคืนวันศุกร์ค่ะ กลับมาพบกันเป็นประจำกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และดิฉัน สโรชา พรอุดมศักดิ์ วันนี้เราคงต้องใช้เวลาที่จะพูดกันถึงเรื่องการถวายฎีกาของท่านหลวงตามหาบัวกันซักนิดนึง รายละเอียดความเป็นมา เรื่องนี้ดิฉันเชื่อว่าคุณผู้ชมหลายๆ ท่าน รวมถึงตัวดิฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ คงต้องขออนุญาตคุณสนธิ อธิบายความเป็นมาเป็นไปรวมถึงรายละเอียดให้พวกเราได้เข้าใจค่ะ
สนธิ – ครับ สั้น ๆตอนนี้ก่อนนะครับ เหตุการณ์ของการถวายฎีกา ก่อให้ความเข้าใจผิดหลายต่อหลายท่านไม่เข้าใจรวมทั้งถึงคุณสมัคร สุนทรเวช ที่ท่านออกมาในรายการนี้ เมื่อเช้านี้ ท่านก็ค่อนข้างจะกราดเกรียว แต่ผมอยากจะฝากคุณสโรชาและท่านผู้ชมทางบ้าน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นผล ถ้าเราจะมาดูที่ผลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องย้อนไปดูที่เหตุนะครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น และเหตุปัจจัยข้อที่หนึ่งที่ทำให้เกิดผลวันนี้ก็ยังมีเหตุปัจจัยข้อที่สอง ที่ทำให้ข้อที่หนึ่งเกิดขึ้น และยังมีเหตุปัจจัยข้อที่สามทำให้เหตุปัจจัยข้อที่สองเกิดขึ้น เราค่อยใช้เวลาอธิบายความเป็นมากันซักพักหนึ่งนะครับ
สโรชา – แต่ว่ามีคนแซวมาค่ะ คุณสนธิ ว่า รายการเราหลากหลายจริงๆ สัปดาห์ที่แล้วเรายังพูดคุยกันถึงเรื่องนมเด้ง ตบนมกันอยู่เลย
สนธิ – ครับ วันนี้มาพูดเรื่องนิพพาน
สโรชา – นั่นซิค่ะ หลากหลายจริงๆ แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องนั้น คงต้องคุยกันถึงเรื่องคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติซักนิดนึง เพราะว่าหลายๆ ท่านฟังข่าวแล้วก็รับข่าวด้วยความยินดี แต่ก็มีคำถามต่อค่ะว่า ในการจัดตั้งในครั้งนี้โดยอดีตท่านนายกฯ ท่านอานันท์ ปันยารชุนมาเป็นประธานถามต่อว่าคณะกรรมการชุดนี้จะมีผลงานหรือว่า จะมีการปฏิบัติงานเป็นรูปธรรมมากน้อยแค่ไหนอย่างไร วันนี้เราจะวิเคราะห์ยังไงค่ะ
สนธิ – ผมอยากจะมองในแง่ดีนะครับ ผมมองในแง่ดีว่า การที่ท่านนายกฯ ยอมให้มีคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นทันที หลังจากที่ท่านออกมาแล้ว ท่านบอกว่า ท่านจะไม่ฟังความคิดเห็นใครแล้วในเรื่องของโซน 3 สี คือ เขียว เหลือง แดง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ท่านก็ยอมที่จะมีคณะกรรมการสมานฉันท์ ก็แสดงถึงวุฒิภาวะของท่านนายกฯว่า ท่านเป็นคนถอยได้ และท่านไม่กลัวเสียหน้า ซึ่งถ้าคุณสโรชาจำได้ ผมเคยพูดนานมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อตอนต้นเราทำรายการนี้ ผมคิดว่าคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่งของท่านนายกฯคนนี้คือมีความยืดหยุ่น คือไม่ยึดติด ข้อนี้เป็นข้อดี และผมก็เพียงแต่ภาวนาให้ท่านนายกฯ ยึดถือตรงนี้เอาไว้ ไม่เพียงเฉพาะในเรื่องของคณะกรรมการสมานฉันท์หรือเรื่องปัญหาภาคใต้เท่านั้น ผมอยากให้คิดไปจนถึงเรื่องราวที่ผมจะพูด ในตอนที่สองต่อไป คือในเรื่องของการถวายฎีกาของท่านอาจารย์หลวงตามหาบัว ทีนี้พอท่านไม่ยึดติดแล้ว ท่านก็มาสรุปว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาคนซึ่งสังคมไทยยอมรับมาเป็นประธานกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งก็หนีไม่พ้นท่านอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งท่านอานันท์ ปันยารชุนก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพรักและอย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่เชื่อถือได้ในสังคมไทย อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนซึ่งมีความเชื่อมั่นและเชื่อถือได้พอสมควรนะครับ ถึงขั้นค่อนข้างสูงทีเดียว ทีนี้การที่ท่านนายกฯ ยอมรับท่านอานันท์ ปันยารชุน และนอกจากนั้นยังเดินทางไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อที่จะไปปรึกษาหารือขอคำแนะนำท่านในเรื่องของปัญหาภาคใต้ ก็แสดงว่าท่านนายกฯ เป็นคนที่เปิดกว้าง เพียงแต่ว่าในช่วงแรกนั้น อย่างที่ผมบอกว่า ท่านนายกฯ เป็นคนที่พอประดาบก็เลือดเดือด ก็คือว่า อย่ามาท้าทายนะ ถ้าท้าทายก็เป็นยังไงเป็นกัน แต่ว่าพอซักพักหนึ่งแล้ว ท่านก็กลับมามีสติเหมือนเดิม ซึ่งผมก็คิดว่า เป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคล เป็นเรื่องที่ดี พอไปพบเสร็จเรียบร้อยก็มาตั้ง ทีนี้คำถามก็มีอยู่อย่างนี้ครับ มีอยู่ว่า ถ้าท่านนายกฯ โยนเรื่องนี้ให้ท่านอานันท์ ปันยารชุนทำแล้ว คือการทำเรื่องนี้ทำได้อยู่อย่างเดียว คือเสนอแนะวิธีแก้ปัญหา คณะกรรมการเสนอแนะ คือคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจ แต่ว่าจะเป็นคณะกรรมการระดับชาติ คือ ท่านนายกฯก็ให้สิทธิเสรีภาพของท่านอานันท์ ปันยารชุนเลย จะเลือกใครก็ได้มาทั้ง 35 คน ปรึกษาหารือและเสนอแนะมา ทีนี้เวลาเสนอแนะออกมาแล้ว ปัญหาที่ผมมองว่า อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น ก็คือว่าถ้าสมมติว่าเสนอแนะมาแล้ว เกิดไปสวนทางนโยบายที่ท่านนายกฯ ทำมาตลอดในรอบปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการขโมยปืนไป คำถามคือว่าท่านนายกฯ จะปฏิบัติตนต่อข้อเสนอแนะตรงนั้นยังไง คือถ้าสมมติว่าท่านฟังแล้วท่านนำไปปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ผลของคณะกรรมการสมานฉันท์นั้น ก็เริ่มมีประสิทธิภาพออกมา มีทางปฏิบัติและในที่สุดแล้วคนก็จะมองเห็นว่า มันยังมีทางออกนะ และก็ลองปฏิบัติดูว่ามันมีปัญหาไหม แต่ถ้าสมมติจะนำไปปฏิบัติก็ต้องใช้ระยะเวลาระยะหนึ่ง ไม่ใช่ระยะเวลาที่พอเริ่มทำได้ซักเดือนสองเดือนแล้ว มีระเบิดต่อ มีการฆ่ากันตาย และจะลุกขึ้นมาบอกว่าไม่ได้ผล ต้องฆ่าเขาคืนบ้าง ตรงนี้ที่ผมเป็นห่วง เพราะผมอยากจะให้มีขันติเอาไว้ ให้อดทนนะครับ ว่า อย่างที่ผมเคยเรียนให้คุณสโรชาทราบจำได้ไหมครับ ว่าผมเคยเรียนให้ทราบมานานแล้ว ว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นคือการแก้ไขข้อแตกต่างและข้อขัดแย้งในเชิงวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นแล้วการแก้ตรงนี้ จะต้องให้เวลามันซักพักหนึ่งนะครับ และอีกประการหนึ่งผมขี้เกียจที่จะพูดเรื่องเก่าๆ ก็หลายๆ ท่านเที่ยวมาเล่นงานผมทางหน้าโทรทัศน์บ้างว่า ผมแนะนำนโยบายที่ผิดทางภาคใต้ แต่วันนี้อย่างน้อยที่สุด ถ้าท่านนายกฯ ยอมรับว่า ควรจะมีคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เราพูดมาตลอดเวลาเกือบ 2 ปีนั้น ท่านผู้ชมที่ไม่เห็นด้วยกับผม ก็ต้องยอมรับบ้างนะครับว่าไม่มากก็น้อย ในที่สุดแล้วก็มีทิศทางที่จะไปทางนั้น ที่ผมกลัวคือว่า เมื่อเสนอแนะไปแล้วเกิดไม่เอาเลย และคณะกรรมการชุดนี้เกิดประกาศตัวว่า ไหนๆ เสนอแล้วไม่เอา ผมขอลาออกทั้งหมดแล้ว ตรงนี้ท่านนายกฯจะไม่มีไพ่เล่นอีกต่อไปแล้ว
*************
สโรชา – ค่ะก็ติดตามกันต่อไปค่ะ สำหรับเรื่องราวการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเรียนถามคุณผู้ชมผ่านเอสเอ็มเอสในค่ำคืนนี้ค่ะว่า คุณผู้ชมคิดว่า คุณอานันท์ ปันยารชุน จะช่วยแก้วิกฤติภาคใต้ได้หรือไม่ ถ้าเกิดได้กด เอ็มที 1 ไม่ได้ กดเอ็มที 2 ค่ะ ส่งมาที่ 84820 หรือโทร.มา ที่ 02-2016055-60 ค่ะ ขอบคุณฟรีอินเตอร์เน็ตที่เอื้อเฟื้อระบบเอสเอ็มเอสให้กับเราค่ะ สัปดาห์นี้เรางดที่จะแจกโทรศัพท์มือถือ และเสื้อทีเชิ้ตนะคะ เนื่องจากว่า ตามข้อกฎหมายแล้ว หน่วยงานราชการไม่ควรทำ และถือเป็นการพนันจะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน เพราะฉะนั้นงดไปก่อนนะคะ สำหรับการแจกโทรศัพท์มือถือและเสื้อทีเชิ้ตค่ะ แต่ว่ายังมีข่าวประชาสัมพันธ์เช่นเคยนะคะ หนังสือเมืองไทยรายสัปดาห์เล่ม 1-3 ยังคงเปิดจองนะคะ จากวันนี้ไปถึงวันที่ 15 มีนาคม โดยขายชุดละ 750 บาท ถ้าจองล่วงหน้าจะได้รับวีซีดีเบื้องหลังการถ่ายทำ รวมถึงเสื้อยืด ที่มีโลโก้เมืองไทยรายสัปดาห์ 1 ตัวค่ะ คุณผู้ชมสามารถที่จะโทร.มาได้นะคะที่ 02-6294488 ต่อ 2208-9 ไปที่ซีเอ็ดบุ้คเซ็นเตอร์และบีทูเอสทุกสาขาค่ะ อีกเรื่องหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้จะเริ่มการอบรมขยับกายสบายชีวีวิถีพุทธ รุ่นที่ 9 อยากจะเรียนคุณผู้ชมที่สนใจโดยจะมีการอบรมกันในวันเสาร์ที่ 5 12 19 26 มีนาคมและ วันที่ 2 เมษายน รวมทั้งหมด 15 ชั่วโมงนะคะ 2 รอบใน 1 วันจะรอบ 09.00-12.00 น.และ รอบ 13.00-16.00 น.ค่ะ สามารถที่จะโทร.มาสอบถามรายละเอียดนะคะ ที่ 02-6292211 ต่อ 1118 และ 1152 ค่ะ รับเพียง 70 ท่านเท่านั้นนะคะ อีกเรื่องหนึ่งค่ะจะมีการสัมมนาวิชาการนานาชาติครั้งที่ 1 เรื่องการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยการแพทย์แบบผสมผสานในระหว่างวันที่ 16-18 มีนาคม 2548 นี้ ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท ที่พัทยาค่ะ สนใจสามารถติดต่อได้ ที่ 02-6408090 ต่อ 505 ค่ะ พักซักครู่ค่ะ คุณผู้ชม เดี๋ยวกลับมาคุยกันในช่วงต่อไปค่ะ
สโรชา – กลับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ค่ะ ในบ่ายวันนี้คุณผู้ชมมีพระสงฆ์และฆราวาสนับหมื่นคนทีเดียวที่ไปรวมตัวกันที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ค่ะ เพื่อที่จะแสดงพลังสนับสนุนหลวงตามหาบัวในการถวายฎีกาในครั้งนี้อย่างที่คุณสนธิ เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะต้องย้อนกลับไปที่เหตุ
สนธิ – คือก่อนที่เราจะไปพูดเรื่องนี้นะครับ คุณสโรชา ต้องเรียนคุณสโรชาและกราบเรียนท่านผู้ชมทางบ้านด้วยนะครับ ว่า เป็นครั้งแรกที่มีการถวายฎีกาเข้าสู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะครับ และคำในฎีกานั้นเป็นคำกล่าวหาท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองามหลายข้อตลอดจนได้ขอให้มีการถอดสมณศักดิ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ถ้าในเชิงข่าวแล้ว เป็นข่าวที่ใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ ครับ ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ในฐานะคุณสโรชาอยู่ในวงการข่าว คุณสโรชาต้องยอมรับว่าใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครลง นอกจากหนังสือพิมพ์ไม่กี่ฉบับ จากการซึ่งลงนั้นก็กลายเป็นเป้าถูกโจมตีไปว่าทำไมเอาเรื่องที่ไร้สาระนี้มาลง ทีนี้จะพูดเรื่องนี้ผมต้องขออนุญาตกราบเรียนท่านผู้ชมทางบ้านและคุณสโรชานิดนึง เราต้องเข้าใจถึงรากเหง้าของประเทศก่อน เวลาเราพูดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 3 ส่วนนี้รวมอยู่ด้วยกัน จริงๆ แล้วก็คือศาสนากับพระมหากษัตริย์ เป็นเสาหลักที่ทำให้ชาติอยู่ได้ ไม่ใช่ สถาบันการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รัฐมนตรีใดๆ ทั้งสิ้น ทีนี้ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็ต้องหันมาดูต่อ ว่าเมื่อประมาณต้นปี 2547 ก็มีการแสดงออกในทางด้านสื่อมวลชน โดยผ่านทางรัฐบาลว่า องค์สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จญาณสังวร พระองค์ท่านทรงประชวร จนกระทั่งไม่สามารถจะปฏิบัติภารกิจได้ นัยคือว่า พระองค์ท่านชราภาพมากจนเกินไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ทีนี้พอพูดตรงนี้ก็มีข่าวคราวบอกว่า ความที่พระองค์ท่านชราภาพก็เลยทำให้คนแวดล้อมพระองค์ท่าน พวกเลขาฯ กระทำการโดยอ้างอิงชื่อของสมเด็จพระสังฆราช การที่มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น เพื่อที่จะมาสนับสนุนความชราภาพของพระองค์ท่านเพื่อให้ดูหนักแน่นว่า พระองค์ท่านชราภาพแล้วนะ เนื่องจากชราภาพไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้ ก็เลยมีคนที่ไม่ปรารถนามาทำอันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นัยที่ประชาชนจะรับทราบคือ เออหนอ สมเด็จญาณฯ ท่านชราภาพจนกระทั่งไม่รู้เรื่องนะครับ นี่คือด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งผมก็จะถามตัวผมเองว่า แล้วถ้าสมเด็จญาณพระองค์ท่านชราภาพมาก ทำไมในปี 2547 ตลอดปีที่ผ่านมานั้น สมเด็จญาณลงทำวัดได้ ลงโอวาทปาติโมกข์ได้ โอวาทปาติโมกข์ถ้าหากไม่มีสตินี่ทำไม่ได้นะครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วนอกจากนั้น ในช่วงของการมีกฐินหลวง เมื่อประมาณเดือน ตุลาคม หรือ พฤศจิกายนนั้น สมเด็จญาณฯลงมารับกฐินหลวง นอกจากนั้นแล้วในช่วงซึ่งสมเด็จญาณออกจากโรงพยาบาล สำนักพระราชวังก็มีมาตรการ มีกติกาว่า ผู้ใดจะเข้าเฝ้าสมเด็จญาณให้ปฏิบัติตนดังต่อไปนี้ ข้อที่หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ระดับวีไอพีให้ทำอย่างนี้ ถ้าเป็นหมู่คณะให้ทำอย่างนี้ ถ้าเป็นส่วนบุคคลให้ทำอย่างนี้ แปลว่าทางสำนักพระราชวัง ก็มองเห็นว่าสมเด็จญาณฯ นั้นพระองค์ท่านชราภาพจริงแต่ว่ายังปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่ ก็เลยทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ผมสับสน ว่าตกลงท่านยังไงกันแน่ เพราะถ้าท่านรับแขกไม่ได้จริงๆ ดังที่เคยกล่าวเอาไว้ ก็ย่อมที่จะไม่มีหมายของสำนักพระราชวังออกมาเช่นนั้น ถูกไหมครับ อันนี้เป็นความขัดแย้งในตัวของมันเอง ข้อที่สอง ความสัมพันธ์ เมื่อสมเด็จญาณ ฯ ท่านได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. 2532 คนที่แต่งตั้งพระราชทานสมณศักดิ์ให้พระองค์ท่านก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านมาอีก 3 ปี คือ 2535 ก็มีพระราชบัญญัติสงฆ์ฉบับใหม่ออกมา โอนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจากพระเจ้าอยู่หัวมาให้กับรัฐบาลตั้ง และก็ค่อยทูลเกล้าฯให้ทราบ คุณสโรชาต้องแบ่งให้ถูกนะครับ สมเด็จญาณ ฯ ถูกแต่งตั้ง ก่อนที่พระราชบัญญัติสงฆ์อันใหม่จะออก
สโรชา – 3 ปี
*************
สนธิ – เอาละถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว คำถามที่ชาวบ้านอย่างผม ถามมาว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าสมเด็จญาณฯ พระองค์ท่านไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยจารีตแล้ว โดยนัยแล้ว สมเด็จญาณถูกในหลวงตั้งเมื่อปี 2532 ก่อนกฎหมายใหม่ที่ออก ควรหรือไม่ควรตามจารีต ที่รัฐบาลควรที่จะเข้าไปกราบบังคมทูลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชวินิจฉัย ว่าสมเด็จญาณฯ เป็นเช่นนี้แล้ว พระองค์ท่านมีความเห็นเช่นไร ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนี้ แต่ไม่ได้มีการเข้าไปกราบบังคมทูล
สโรชา – คือยึดหลักกฎหมาย
สนธิ – ยึดหลักกฎหมายซึ่งกฎหมายนี้ก็เกิดหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะพูด สมเด็จญาณอาจจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชในข้อยกเว้นจากกฎหมายได้ เนื่องจากว่า อันนี้พระองค์ท่านแต่งตั้งขึ้นมาก่อน นอกจากนั้นแล้วยังมีคนไม่เข้าใจอีกเยอะ ถึงลักษณะพิเศษของสมเด็จญาณฯ กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผมพูดวันนี้ ผมเอาธรรมมาพูด การเอาธรรมมาพูด คือการเอาความจริงมาพูด ไม่ต้องกลัว ผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น และผมก็ไม่ได้เกรงเลยว่าจะโดนระงับออกรายการ เพราะว่าผมเอาธรรมมาพูด และท่านผู้ชมทางบ้าน ถ้ามีจิตใจเป็นธรรมและเคารพในธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด สมเด็จญาณฯ นามของท่านญาณสังวร เป็นการตั้งครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทย ในประวัติศาสตร์ไทยมีสมเด็จญาณสังวร ครั้งแรกก็คือเป็นพระสังฆราชองค์ที่สองในกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีนามว่าสมเด็จพระญาณสังวร เคยมีมาแล้ว นามนี้ตั้งขึ้นมาตอนนั้นคือ ในสมัยที่ช่วงแรก ๆ ซึ่งมีการตั้งมาก่อนและค่อยตามมาทีหลัง คำว่าญาณสังวรคือ ตั้งโดยในช่วงนั้น สังฆราชคือ สังฆราชสุข ไก่เถื่อน *** ซึ่งเรืองวิทยาคม มีวิชา มีภูมิธรรมขั้นสูง เป็นที่เลื่องลือในยุคต้นรัตนโกสินทร์ พอสิ้นพระชนม์แล้ว ญาณสังวรก็ไม่ได้ถูกตั้งอีกเลย มาตั้งอีกทีในสมัยของรัชกาลที่ 9 นี้ เหตุที่ตั้งคำว่าญาณสังวร เพราะว่าคำว่าญาณสังวรแสดงถึงภูมิธรรมชั้นสูง ในพุทธศาสนา และออกถึงวัตรปฏิบัติอันเป็นปกติในธรรมหมวดสังวร ได้แก่ อินทรีย์สังวร ศีลสังวร และญาณสังวร คือความใกล้ชิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จญาณสังวรมีมากมายมหาศาล สมเด็จญาณสังวรเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2499 ตอนที่พระองค์ท่านทรงผนวช แล้วตามหนังสือที่เคยมีการเขียนมา สมเด็จญาณสังวร พระองค์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าอยู่หัวเคยขออาราธนาให้ท่านอย่าเพิ่งละสังขาร เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งพระองค์ท่านไม่สบายหนัก ป่วยหนัก อาการหนักมากเลย พระเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้า เสด็จะไปเยี่ยมและสมเด็จญาณนั้นไม่รู้ตัว พระเจ้าอยู่หัวเอามือจับมือของสมเด็จญาณ บอกว่าพระอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัว หม่อมฉันและพระนางเจ้ามาเยี่ยม สมเด็จญาณท่านก็พยักหน้ารับทราบ พระเจ้าอยู่หัวก็บอกว่า พระอาจารย์อย่าเพิ่งละสังขารนะให้อยู่ต่อ ท่านก็พยักหน้า และหลังจากนั้นท่านก็คืนดี ก็ดีวันดีคืน การที่พระเจ้าอยู่หัวทำเช่นนั้น ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกนะครับ พระเจ้าอยู่หัวเคยทำกับท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสเคยป่วยหนัก พระเจ้าอยู่หัวก็ไปขอท่านพุทธทาส บอกว่าอย่าเพิ่งไปนะ ให้อยู่เป็นเสาหลักของพุทธศาสนาในประเทศไทยก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว ความใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าอยู่กับสมเด็จญาณ ใกล้ชิดในเรื่องของความที่มีธรรมที่ใกล้กันแล้ว จิตยังถึงซึ่งกันและกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนเขียนเรื่องนี้คือ ท่านพล.ท.อัมพร จินตกานนท์ *** ท่านบอกว่าได้มีการที่พระเจ้าอยู่หัวต้องการที่จะนิมนต์พระเกจิอาจารย์วัดป่า ให้เข้ามา ปรากฎว่าติดต่อไม่ได้เพราะว่าพระป่าออกไปธุดงค์กันเยอะ ทางทหาร สมุหราชองครักษ์ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ไปกราบบังคมทูลถวายท่าน ท่านก็บอกว่า ให้ไปติดต่อสมเด็จญาณ สมเด็จญาณท่านก็นัดให้ ก็ไปถึง ก็ไปกราบเรียน สมเด็จญาณก็บอกว่า เดี๋ยวจะจัดการให้ ระหว่างที่สมุหราชองครักษ์นั่งรออยู่ตรงนั้น ซักพักหนึ่งท่านก็บอกว่า นัดให้เรียบร้อยแล้ว ก็คือพระองค์ท่านส่งจิตเข้าไปนัดให้ นี่ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมต้องการให้คุณสโรชาและท่านผู้ชมทางบ้านได้เข้าใจ ความใกล้ชิดสนิทสนมของสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชของเรากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด และถ้าหากด้วยความใกล้ชิดเช่นนี้ เมื่อพระองค์ท่านพระประชวรหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลควรที่จะนึกถึงตรงนี้ และเข้าไปกราบบังคับทูลพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าด้วยความใกล้ชิดอันนี้ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านเป็นคนตัดสินใจ เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวยังเคยขอให้สมเด็จญาณฯ อย่าเพิ่งละสังขาร กับการที่พระองค์ท่าน สมเด็จญาณฯ ไม่สบายหนัก ทำไมถึงละเลยพระเจ้าอยู่หัว นี่คือชาติ ศาสนา คุณสโรชาต้องเข้าใจนะครับ นี่คือชาติ และศาสนา เพราะว่าสมเด็จญาณ ท่านคุมศาสนจักร ท่านเป็นใหญ่ในศาสนจักร พระเจ้าอยู่หัวของเราอันที่เป็นเคารพของพวกเราทั้งหลาย คุมทางอาณาจักร ตรงนี้ต่างหากซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดซึ่งเราต้องมาปุจฉา วิสัชนากัน และนี่คือข้อเท็จจริง ที่เป็นไปมานะครับ และเดี๋ยวผมจะเล่าต่อไปว่ามีอะไร เพราะเวลาในช่วงนี้หมดแล้ว ต่อไปผมจะเล่าว่าแล้วเหตุการณ์มันดำเนินการต่อไปยังไง จนกระทั่งเกิดการถวายฎีกาในวันนี้
สโรชา – ค่ะ เพราะฉะนั้นก็เดี๋ยวฟังคำตอบนะคะ สำหรับเหตุที่ทำให้มีผลที่จะทำการถวายฎีกาในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม ที่จะถึงนี้เพราะฉะนั้นเราพักกันตรงนี้ เดี๋ยวกลับมาฟังกันต่อค่ะ
สโรชา – กลับมาสู่เมืองไทยรายสัปดาห์นะคะ เมื่อซักครู่นี้คุณสนธิได้เล่าถึงความผูกพันระหว่าง 2 เสาหลักของประเทศไทยเรานะคะ คือ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
สนธิ – ครับ ทีนี้พอมาวันที่ 13 มกราคม 2547 รัฐบาลแทนที่จะนำเรื่องของสมเด็จญาณ ฯ ว่าพระองค์นั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เอาไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว กลับมาตั้งสมเด็จพุฒาจารย์ ให้เป็นผู้ปฏิบัติและคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มีกำหนด 6 เดือน
สโรชา – ค่ะ จากมกราคมปีที่แล้ว
สนธิ – ทีนี้เมื่อถูกตั้งแล้วก็เลยถูกคัดค้าน คนที่คัดค้านก็คือ คณะสงฆ์วัดป่าที่ประชุมกันที่วัดป่ากกสะทอน จ.อุดรธานี และมีแถลงการณ์ไม่ยอมรับเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2547 การไม่ยอมรับครั้งนั้น ไม่ยอมรับก็ด้วยเหตุผลที่ผมเล่าให้ฟัง ว่าอันนี้เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นจารีตที่ควรกระทำ ไม่ใช่รัฐบาลมาทำ ทีนี้พอดึงดันตั้งกันไปต่อ ไม่สนใจ จำได้ไหมครับ ที่มีประชุมพระเป็นหมื่นรูป ที่วัดอโศการาม มีคุณทองก้อนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตา ที่ไปประชุมที่พุทธมณฑล ก็โดนคน 300-400 คนมารุมตี จนกระทั่งบาดเจ็บไปแจ้งความก็กลับกลายเป็นว่าคุณทองก้อนไปตีเขา ทั้งๆ ที่คุณทองก้อนกับพระไปแค่ 7 รูป แต่โดนคน 300-400 คน ข่าวคราวทางสื่อมวลชนก็โดนปิด ไม่ยอมเปิดเผยนะครับ ทีนี้พอครบ 6 เดือน ก็เลยไปออกพระราชกำหนด เพื่อที่จะให้มีการตั้งสมเด็จพุฒาจารย์ขึ้นมานะครับ โดยที่กฎหมายคณะสงฆ์ให้มีการปฏิบัติต่อองค์สมเด็จฯ คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งให้เป็นทางการ ว่าเป็นรักษาการอย่างเป็นทางการ โดยออกเป็นพระราชกำหนด
สโรชา – คือพอครบวาระ 6 เดือน ก็ออกพระราชกำหนดเพื่อที่จะให้รักษาการต่อ ถูกไหมครับ
สนธิ – ครับ เพื่อรักษาการต่อในวันที่ 15 กรกฎาคม ทีนี้เมื่อออกเป็นพระราชกำหนดแล้ว ที่น่า
สนใจอยู่อย่างหนึ่งนะครับ คือว่าการออกพระราชกำหนดวันที่ 20 กรกฎาคม น่าสนใจอย่าง คือมหาเถรสมาคม ประชุมกัน แล้วก็ประชุมเสร็จประมาณ 18.00น. ปรากฏว่าราชกิจจานุเบกษา ออกตอน 17.00 น. ก็คือว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ในการที่จะดำเนินเรื่องที่ได้ทำผิดพลาดแต่แรก ให้ต่อเนื่องไป คือคุณสโรชาครับ ในทางธรรม ถ้าเริ่มคิดตั้งแต่แรกผิดแล้ว ก็ผิดไปตลอด คุณสโรชา กลัดกระดุมนะ ถ้ากลัดผิดรู มันก็ผิดไปตลอดแล้ว มันต้องแก้ที่รูแรกซะก่อน วิธีที่แก้ง่ายที่สุด คือว่า นำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ส่วนพระเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งใคร มีพระราชวินิจฉัยอย่างไร ทางหลวงตามมหาบัวและพระป่า ไม่ได้ติดใจอะไรทั้งสิ้น กลับโดนใส่ร้ายป้ายสี ว่าหลวงตามหาบัวอยากจะเป็นพระสังฆราช อันนี้น่าเกลียดมาก คือทำร้ายและทำลายพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในขั้นอริยสงฆ์ เอาละช่างมันไม่เป็นไรเรื่องนี้ ก็มาดูกันต่อไป ทีนี้พอมาต่อไปแล้ว คำถามมีต่อว่า เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ทำยังไง นะครับ ทางสายพระป่าก็ไม่ยอม ทางสายพระป่า บอกว่า อันนี้จะยังไงก็ตาม ต้องพระราชอำนาจคืนให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทราบ ก็คือพูดง่ายๆ ว่ารัฐบาลซึ่งเป็นอาณาจักร ไม่ควรไปยุ่งกับศาสนจักร ก็ถามว่ามีการยุ่งเกี่ยว รัฐบาลเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางศาสนาอย่างไรบ้างในอดีต ก็เคยอยู่ครั้งหนึ่ง ในยุคเมื่อซักเกิน 50-60 ปีมานี้ คือในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลได้ดำเนินการถอดยศ และจับสึกพระสองรูป รูปแรกคือพระพิมลธรรม รูปที่สอง คือพระศาสนโสภณ พระพิมลธรรมโดนในกรณีของเรื่องถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พระศาสนโสภณ ถูกกล่าวหาว่าอาบัติเนื่องจากว่าได้มีการคบหญิงสาว ซึ่งทั้งสองรูปนี้ก็ไม่ยอม พระพิมลธรรมก็ถูกจับใส่คุก ท่านก็อยู่ในคุก ท่านก็แต่งขาว ห่มขาวก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่เหมือนเดิม พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ส่วนพระศาสนโสภณ อยู่ที่วัดราชาธิวาส ช่วงหลังตอนหลัง กาลเวลาผ่านมา พอจอมพลสฤษดิ์สิ้นไปแล้ว ก็มีการมาสืบมาค้นคว้า และมาตรวจสอบ ก็ปรากฏว่าได้มีการคืนสมณศักดิ์ให้ทั้งสองรูปคือพระศาสนโสภณ และพระพิมลธรรม ส่วนคนที่กล่าวหานั้นก็มีอันเป็นไปทุกคน คนหนึ่งก็ถูกรถชนตายทันทีเลย อีกคนก็ถูกคนร้ายแทงตายเรื่องเกี่ยวกับหนี้สินนะครับ นี่เพียงแต่ผลกรรม เล่าถึงผลกรรมให้ฟังนะครับ ก็เลยจะเห็นได้ชัดว่า ทำไมหลวงต้องออกมาสู้เรื่องนี้ หลวงตาวันนี้ ด้วยความเคารพในตัวท่าน ท่านอายุ 90 นะครับ ท่านพร้อมจะละสังขารไปได้ทุกเมื่อ ท่านช่วยชาติด้วยการระดมทองคำมาทั่วประเทศไทย เพื่อเอามาให้กับประเทศชาติ เพื่อเอามายันเรื่องหนี้ต่างประเทศเอาไว้ ท่านเป็นพระแก่ๆ ผอมๆ องค์หนึ่ง แต่จิตใจท่านรักชาติ ท่านรักศาสนา ท่านเคร่งในพระธรรมวินัย หลวงตาไม่ได้ต้องการใคร หลวงตาสู้ในเรื่องนี้ มีประเด็นที่สำคัญที่สุด ประเด็นที่หลวงตาสู้ตรงนี้ คุณสโรชา ซึ่งสำคัญมากๆ ประเด็นที่ต่อสู้คือสิ่งที่ผมพูดในตอนแรกคือว่า ถ้าศาสนาอ่อนแอ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ชาติล่มสลาย ทีนี้ถ้าเราตัดพระราชอำนาจในการตั้งพระสังฆราชออกจากพระมหากษัตริย์ ก็กลายเป็นรัฐบาลเป็นคนตั้ง ก็เท่ากับรัฐบาลในอนาคต ไม่รู้จะเป็นรัฐบาลชุดไหน ก็สามารถจะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เข้าใจหรือยังครับ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง คุณสโรชาจำได้ไหมครับ ศาสนาคริสต์ในสมัยที่จักรพรรดิคอนสแตนติน อาณาจักรโรมันยุคสุดท้าย ที่อาณาจักรโรมันยุคสุดท้ายยอมรับคริสเตียนนิตี้เข้ามาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน เพียงเพราะว่าต้องการมีข้อตกลง กับพระสันตะปาปาช่วงนั้นที่จะแชร์อำนาจกันและจักรพรรดิคอนสแตนตินก็จะใช้คำสอนที่คิดกันขึ้นใหม่มาเพื่อผลทางการเมือง ทีนี้ถ้าอีกหน่อยรัฐบาลตั้งสมเด็จพระสังฆราชได้ ก็หมายความว่า การเมืองก็เข้าไปยุ่งกับศาสนาเต็มตัวเลย พอเข้าไปยุ่งกับศาสนาเต็มตัวแล้ว ศาสนาก็อ่อนแอ เมื่อศาสนาอ่อนแอแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็อ่อนแอ สถาบันกษัตริย์ก็อ่อนแอตามไปด้วย เมื่อทั้งสองส่วนอ่อนแอแล้ว เราจะมีชาติไทยอยู่ตรงไหน ตรงนี้ต่างหากที่หลวงตาท่านสู้ ท่านไม่ได้สู้เพื่อตัวท่านเอง ก็เลยกลายเป็นเป้าให้มีการเข้าใจผิดกัน ว่าหลวงตายุ่ง พระไม่อยู่ส่วนพระมายุ่งทางการเมือง คือเรื่องนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า ผลมันมีตรงนี้เพราะว่ามันเหตุมาก่อน ทีนี้สังคมไทยเป็นสังคมไร้ปัญญา สังคมไทยเป็นสังคมซึ่งไม่สนใจที่มาที่ไป สนใจว่าอะไรเกิดขึ้นตรงนี้ พอรู้ว่าหลวงตาถวายฎีกาเข้าไปอย่างนี้ก็บอกว่าหลวงตาทำเรื่องวุ่นวายไปหมดเลย เป็นพระไม่อยู่ส่วนพระ บาปกรรม หลวงตามีคุณูปการกับสังคมไทย มีคุณูปการกับศาสนา หลวงตาท่านถึงประกาศบอกว่า เรื่องนี้ท่านตายเป็นตาย ท่านไม่กลัว ลูกศิษย์ท่านก็บอกว่า ตายเป็นตาย ไม่กลัวเช่นกัน
*************
สโรชา – พูดถึงลูกศิษย์ท่านแล้ว ด้วยความเคารพนะคะ คงจะต้องถามถึงคุณทองก้อน วงศ์สมุทร ตรงนี้ต้องยอมรับว่า สังคมค่อนข้างจะมีคำถามเยอะ และวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างเยอะเช่นกัน
สนธิ – เหตุผลก็เพราะว่าคุณทองก้อนเป็นคนซึ่งรับบัญชาหลวงตามาแล้วก็ไปดำเนินการให้หลวงตา และคุณทองก้อนก็เป็นคนซึ่งเอาธรรมนำหน้า คุณทองก้อนไม่ได้กลัวอะไร ก็เลยถูกกล่าวหาว่าคุณทองก้อนเป็นตัวป่วน ยุแยงตะแคงรั่ว แต่หลายๆ อย่างที่คุณทองก้อนทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจมาก สิ่งที่คุณทองก้อนทำ ก็คือไปยื่นหนังสือ ไปขอความเป็นธรรมแต่ไม่ได้รับการพิจารณา บางทีไปแล้วก็โดนกล่าวหา เสียดสีทุกอย่าง ไปที่พุทธมณฑลก็โดนทำร้าย จากคน 400 กว่าคนมาทำร้ายคนของคุณทองก้อนมี 7 คน ไปๆ มาๆ คุณทองก้อนกลายเป็นจำเลยไปซะอีก นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆคุณทองก้อนเป็นคนที่น่าสงสารมาก คุณทองก้อนเป็นคนซึ่งทำตามที่หลวงตาบอกว่าให้เดินทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมอยากให้สังคมไทย เข้าใจเข้าซะใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะว่าละเอียดอ่อนก็ละเอียดอ่อน แต่ว่าก็มีที่มาที่ไป อย่าเพิ่งมาดูผลวันนี้ ย้อนกลับไปซักนิดนึงและดูผลตรงนี้ ดูเหตุผลที่เกิดขึ้น ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วเราจะเข้าใจ ผมว่าเรารักในหลวง คุณสโรชารักในหลวง ผมรักในหลวง ท่านผู้ชมทางบ้านก็รักในหลวง ท่านผู้ชมทางบ้านก็รักพระราชินี เมื่อเรารักในหลวง เรารักพระราชินี เราต้องรู้ว่าพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช วันนี้คฤหัสถ์คือรัฐบาลเป็นคนตั้ง จริงๆ แล้วตั้งไม่ได้ คนที่มีสิทธิ์ตั้งได้ เพียงคนเดียวคือพระมหากษัตริย์ที่จะตั้งได้ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่พยายามต่อสู้คือเราพยายามต่อสู้ หลวงตาพยายามต่อสู้เพื่อให้ในหลวงได้มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เรื่องมีอยู่เพียงเท่านั้นเอง
สโรชา – คือแค่รักษาพระราชอำนาจไว้
สนธิ – รักษาพระราชอำนาจ ส่วนพระองค์ท่านจะให้ใคร จะตั้งใคร ก็เป็นพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านเอง อย่างที่บอกว่า ถ้าหากเราดึงอำนาจตรงนี้จากพระองค์ท่านไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลตั้ง ถ้าเรามีรัฐบาลทุศีล ขึ้นมา รัฐบาลก็สามารถจะใช้อำนาจตรงนั้นมาตั้งพระที่ยอมรัฐบาล หรือว่าสามารถที่จะเทศน์เพื่อเข้าข้างรัฐบาล หรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้รัฐบาลได้กำไรจากอำนาจตรงนั้น คือำนาจทางศาสนา เพราะฉะนั้นศาสนาเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องบริสุทธิ์ กฎหมายใดๆ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะเหนือกว่าพระธรรมวินัยได้ ในพระธรรมวินัยบอกชัด พระธรรมวินัยให้วัดกันที่อาวุโส สมัยที่ผมบวช ผมบวชปี 2540 ผมเจอพระซึ่งอายุเพียง 21 ปี ผมยังต้องก้มลงและกราบที่แทบเท้าพระรูปนั้น เหตุผลเพราะว่า พระรูปนั้นมีพรรษามากกว่าผม และก็มีมากกว่าไม่มาก มีมากกว่าแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง ผมก็ต้องกราบ เพราะฉะนั้นแล้วในเรื่องของการเคารพในระบบอาวุโส ในเรื่องพระธรรมวินัย เป็นเรื่องที่สูงส่ง เพราะว่าสิ่งซึ่งตราและบัญญัติมาโดยพระพุทธเจ้าและไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่าพระธรรมวินัย พระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใดที่เถียงเรื่องนี้ว่า พระธรรมวินัยไม่สำคัญ คนนั้นเป็นคนซึ่งห่มแค่ผ้าเหลือง ไม่ใช่เป็นแค่พระสงฆ์ ไม่ใช่เป็นศากยบุตร เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณสโรชา
สโรชา - ขออนุญาตถามนิดนึงค่ะว่า ถ้าฟังมาทั้งหมดแล้วคงจะเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไป เพียงแต่ว่าคำถามอาจจะเกิดได้ว่า ในการถวายฎีกาครั้งนี้ มีการกล่าวหาพระพุฒาจารย์ด้วย แต่ว่าถ้าเกิดฟังความเป็นมาแล้ว จริง ๆแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลมากกว่า ที่จะไปเกี่ยวกับพระพุฒาจารย์
สนธิ – คือสิ่งซึ่งการถวายฎีกามีอยู่ 2อย่าง คือ สมเด็จพุฒาจารย์ตามคำกล่าวหาของท่านหลวงตามหาบัวนะ คือสมเด็จพุฒจารย์ร่วมมือกับท่านรองนายกฯ ท่านรองวิษณุ คือ หลวงตามหาบัวท่านกล่าวหารองนายกฯวิษณุ ค่อนข้างจะแรงมาก ต้องยอมรับ เพราะว่าคำกล่าวหานั้น ถ้าแปลไทยเป็นไทยคือว่า ท่านรองวิษณุนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยการแอบอ้างพระบรมราชโองการ คำพูดของในหลวง ซึ่งหลวงตาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ตรัสเช่นนั้น ก็คือว่า ไปอ้างคำพูดซึ่งในหลวงไม่ได้ตรัส เรื่องนี้ต้องชี้แจงกันแล้ว
สโรชา – ท่านวิษณุท่านบอกว่าท่านไม่พูด ไม่ตอบ
สนธิ – ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องคุย ถ้าท่านวิษณุท่านมีหลักฐานที่ชัด และท่านยืนยันได้ก็ต้องพิสูจน์กัน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างแน่นนอนที่สุด
สโรชา – ค่ะ ช่วงนี้หมดแล้วนะคะ เดี๋ยวพักกันซักครู่หนึ่งกลับมาในช่วงสุดท้ายของรายการจะไปดูผลโพลด้วยค่ะ ซักครู่เดียวค่ะ
สโรชา – กลับมาช่วงสุดท้ายของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ไปดูผลโพลกันซักนิดนึงค่ะวันนี้เราเราเรียนถามคุณผู้ชมว่า คุณผู้ชมคิดว่าคุณอานันท์ ปันยารชุน จะช่วยแก้วิกฤติภาคใต้ได้หรือไม่ คุณผู้ชมตอบเรากลับมานะคะ ว่าได้ประมาณ 57 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ประมาณ 43 เปอร์เซ็นต์ ค่ะ คุณสนธิ เราพูดกันมาค่อนข้างจะยาวสำหรับประเด็นของหลวงตามหาบัว จะสรุปช่วงท้ายยังไงค่ะ
สนธิ – คือโดยสรุปแล้ว ท่านผู้ชมทางบ้านหลายๆ ท่านที่ไม่เข้าใจหลวงตามหาบัว ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจซะใหม่นะครับ คือท่านทำทุกอย่างเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จริงๆ ถ้าศาสนาไม่เข้มแข็ง เพราะว่าการเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือกษัตริย์ ไม่มีพระราชอำนาจในการ แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช นะครับ ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนจักร กษัตริย์ก็จะอ่อนแอ เมื่อกษัตริย์อ่อนแอแล้ว ศาสนาก็จะอ่อนแอ เมื่อศาสนาถูกแทรกแซงและอ่อนแอลงแล้ว ชาติไทยก็จะอ่อนแอไปด้วย เมื่อเราดูอะไรแล้วเราดูอะไรให้ไกล นิดนึง อย่าไปดูให้มันใกล้ๆ อย่าไปดูเพราะว่าวันนี้หลวงตามหาบัวท่านมาถวายฎีกา แล้วก็มาเบื่อหน่ายกัน ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมลองคิดซักนิดนึง วันนี้สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ที่สำนักวาติกัน พระองค์ท่านก็ทรงพระประชวร ประชวรอย่างชนิดที่เรียกว่าปฏิบัติภารกิจไม่ได้ เมื่อเทียบกับสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวรแล้ว ซึ่งพระองค์ท่านยังสามารถลงมาทำวัดได้ มารับผ้ากฐินหลวงได้ แต่ว่าทำไมชาวคริสต์เขาไม่ตั้งผู้รักษาการละครับ เขากลับเทิดทูนสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 เทิดทูนและภาวนาให้จอห์นปอลที่ 2 หายวันหายคืน ทำไมเราถึงไม่เทิดทูนสมเด็จพระสังฆราช ทำไมเรากลับรีบตั้งคนมารักษาการแทน แล้วทำไมเราไม่มาพิสูจน์ความจริงกันว่าสมเด็จพระสังฆราชนั้นแท้ที่จริงแล้ว ทรงพระประชวรจริงหรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดทำไมเราไม่คืนอำนาจอันนี้ให้กับพระเจ้าอยู่หัวไป คุณสโรชา ก่อนจบรายการนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงนะครับ หลังจากจบรายการนี้แล้ว ผมอยากจะฝากนิดนึง ผมเอาธรรมมาพูดวันนี้ การธรรมมาพูดนั้นไม่ผิดหรอกครับ ไม่มีวันผิด ในทางพุทธศาสนานั้น คนที่ทำกรรมเอาไว้ ยังไม่ได้รับกรรมวันนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าชาติก่อนบุญยังมีเหลืออยู่ แต่คุณสโรชาจำเอาไว้อย่าง เมื่อบุญตัวเองหมดเมื่อไหร่ แล้วตัวเองไม่ได้สั่งสมบุญในชาตินี้ เวลากรรมมา มาอย่างรุนแรง เลวร้าย ผมอยากจะเตือนสติให้ใครก็ตามที่คิดมิดีมิร้ายทำกรรมไว้ ให้ระลึกถึงวันที่ตัวเองบุญหมดบ้าง
สโรชา – ค่ะ ตรงนี้คงไม่ต้องสรุปอะไรมากนะคะ คุณผู้ชม แต่พูดได้เพียงแค่ว่า หวังว่าจะได้กลับมาพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้านะคะ สำหรับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สำหรับวันศุกร์นี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และดิฉัน สโรชา พรอุดมศักดิ์ลาไปเพียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีค่ะ
*************