xs
xsm
sm
md
lg

คุก30 ปี"เกริกเกียรติ"โกงบีบีซี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุก30 ปี"เกริกเกียรติ"โกงบีบีซี

คดียักยอกทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด หรือ บีบีซี ที่ต่อสู้กันในชั้นศาลมาเป็นเวลานาน ได้บทสรุปในศาลชั้นต้นแล้ว 4 คดี จาก 20 กว่าคดี โดยเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้พิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพพณิชยการ จำกัด(บีบีซี) พร้อมพวกรวม 4 คดี โดยคดีแรก เป็นความผิดฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กรณีที่ได้ปรากฏหลักฐานต่อ ธปท.ว่า ธนาคารบีบีซี มีฐานะและดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ธปท.จึงออกคำสั่งให้ธนาคารบีบีซี ฉบับลงวันที่ 18 เม.ย.2538 เรื่องแก้ไขฐานะและการดำเนินงานหลายประการ แต่ธนาคารบีบีซีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ธปท. โดยให้สินเชื่อกับบุคคลและนิติบุคคลที่เป็นลูกหนี้รายเดิมที่ธนาคารบีบีซีให้สินเชื่อไว้แล้วเพิ่มเติมรวมเป็นเงินกว่า 9,000 ล้านบาท โดยคดีนี้ ศาลเห็นว่าคดีขาดอายุความ จึงสั่งยกฟ้อง

ส่วนคดีที่ 2,3 และ 4 นายเกริกเกียรติ ถูกศาลพิพากษาจำคุกรวม 30 ปี เริ่มจากคดีที่ 2 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร และ ธ.กรุงเทพพณิชยการ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพิเศษ พานิชสมบัติ , นายเกริกเกียรติ , บริษัท ซิตี้ เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด , น.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ กรรมการบริษัทซิตี้ฯ , นายเอกชัย อธิคมนันทะ และนายเทอร์รี่ อีสเตอร์ กรรมการบริษัทซิตี้ฯ เป็นจำเลย 1-6 ตามคดีหมายเลขดำที่ 4714/2539 , 5449/2539 , 1604/2540 ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์จำนวน 1,650,000,000 บาท และเป็นกรรมการกระทำผิดหน้าที่หรือรับของโจร สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 ประเมินราคาที่ดินที่เป็นหลักทรัพย์ขอค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 3-5 สูงเกินจริง โดยจำเลยที่ 2 ใช้โอกาสที่มีอนุมัติสินเชื่อ ได้อนุมัติสินเชื่อแก่จำเลยที่ 3 จำนวน 1,650,000,000 บาท ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทยที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น

ศาลเห็นว่าพยานโจทก์รับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งเป็น กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี ได้อนุมัติสินเชื่อ ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่ง ธปท. ให้กับจำเลยที่ 3 จริง ให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี และปรับ 2,264,000,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 1 ล้านบาท สำหรับจำเลยที่ 4 และที่ 6 ให้จำคุกคนละ 7 ปี ปรับคนละ 1 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 8 ปี ปรับ 1 ล้านบาท และให้จำเลยที่ 2,3 ,4 และ 6 ร่วมกันชดใช้เงินต้น คืนให้ในจำนวน 1,132,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 17.25 / ปี ส่วนจำเลยที่ 5 ให้ชำระเงินต้นเป็นเงิน 75 ล้านพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.25 / ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ยกฟ้อง

คดีที่ 3 ที่พนักงานอัยการ และ ธ.กรุงเทพพณิชยการ จำกัด ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 , น.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ กก.ผู้มีอำนาจบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ 2 , บริษัทอเมริกันสแตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ที่ 3 , นายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ ที่ 4 กก.ผู้มีอำนาจบริษัทอเมริกันสแตนดาร์ดฯ , นายวีระชัย คงแก้ว เจ้าหน้าที่ประเมิน บริษัทอเมริกันสแตนดาร์ดฯ ที่ 5 , บริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ 6 ในความผิดฐานฝ่าฝืนร่วมกันยักยอกทรัพย์ ให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 353,363,966 บาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 12 ก.ย. - ก.ค.39 จำเลยที่ 1 และที่ 6 ร่วมกับนายจรัญ โพธิเรืองรอง กก.บริษัท สมประสงค์ฯ และนายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษาของจำเลยที่ 1 ร่วมกันยักยอกเงิน 647,953,425 บาท ของบีบีซีไป โดยวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งจำเลยที่ 6 ไม่ได้ประกอบกิจการใดที่มีจำเลยที่ 2 นายราเกซและนายจรัญมีส่วนได้เสีย ได้ยื่นคำขอสินเชื่อต่อบีบีซีจำนวน 660 ล้านบาท อ้างว่าจะนำไปซื้อหุ้นครอบกิจการของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลคอนโซลิเดเต็ด เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 6,670,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 75 บาท รวมมูลค่า 500,250,000 บาท และได้นำที่ดิน จ.สระแก้วที่จำเลยที่ 1-2 และที่ 6 ให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นผู้ประเมินหลักทรัพย์ทำหลักฐานว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินถึง 826,000,000 บาท ทั้งที่จริงแล้วมีราคาไม่เกิน 55,000,000 บาท แล้วนำมาเป็นหลักประกันขอสินเชื่อ โดยนายราเกซและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการติดต่อและสั่งงานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารเงินและวิเทศกิจของบีบีซีจัดทำเอกสาร ซึ่งจำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสตำแหน่งหน้าที่อนุมัติเงินกู้ดังกล่าวไปอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย

ศาลพิพากษาให้จำคุก นายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา10 ปีและสั่งปรับเป็นเงินกว่า 706,700,000 บาท และสั่งจำคุกน.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ กก.ผู้มีอำนาจบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัดเป็นเวลา 7 ปีและ ปรับ 1 ล้าน ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันสแตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ชดใช้ค่าปรับ 1 ล้านบาท ส่วงนข้อหาอื่นสั่งพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3,4,5 และให้จำเลยที่ 1,2และ 6 คือบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนกว่า 353 ล้านบาท โดยให้จำเลยที่ 1และ 2 ในคดีนี้ซึ่งถูกพิพากษาจำคุกในคดีที่ 2 บวกโทษจำคุกรวมในคดีนี้ด้วย

คดีที่ 4 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ , นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ ธนาคารบีบีซี , บริษัทแอตแพค จำกัด โดยนายถาวรสวัสดิ์ ชวะโนทัย กรรมการ เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานใช้ตำแหน่งหน้าที่ยักยอกทรัพย์ เรียกคืนเงินจำนวน 362 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 28 ม.ค.37 - 11 พ.ค.38 นายเกริกเกียรติ นายวันชัย และนายพราวประยูร อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา อดีต รอง ผอ.ฝ่ายวิเทศธนกิจ ธนาคารบีบีซี ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินงานและได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สินและหนี้สินของธนาคารบีบีซี ซึ่งร่วมกันกระทำการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่โดยร่วมกับบริษทแอตแพค จำกัด , นายถาวรสวัสดิ์ และนายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษาธนาคารบีบีซีที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ให้บริษทแอตแพคฯ กู้ยืมเงินจำนวน 100 ล้านบาท โดยเอาหุ้นของบริษัท ชลประทานซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 ล้านหุ้น มูลค่า 262 ล้านบาทที่เป็นชื่อของบริษทแอตแพคฯ มาเป็นหลักประกันโดยมิชอบ

ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 นายเกริกเกียรติ และนายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ จำเลยที่ 2 คนละ 10 ปี พร้อมทั้งจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันชดใช้เงินให้กับโจทก์ร่วมกว่า 238 ล้านบาท และชำระค่าปรับอีกกว่า 119 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากผลของคำพิพากษา ดังกล่าว ซึ่งมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับ นายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคนสำคัญ ที่ขณะนี้ อยู่ระหว่างรอคำสั่งของศาลสูงแคนาดา ที่ นายราเกซ ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทางอัยการได้คัดสำเนาคำพิพากษา แปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อส่งไปให้ศาลแคนาดา ประกอบการพิจารณา และหลังจากส่งไป เชื่อว่า ศาลแคนาดา จะพิจารณาส่งตัวนายราเกซ มาไทยได้

ส่วนคดีบีบีซี ที่เหลืออยู่ อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจ คาดว่า ประมาณ 3 ปี คดีในศาลจะได้รับการพิพากษาได้ทั้งหมด
กำลังโหลดความคิดเห็น