จับลูกจ้างแสบลักทองนาน 10 ปี
ผลพวงจากการติดตามคดีค้างเก่า ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม ลูกจ้างร้านทอง ก่อคดีลักทรัพย์ทองคำรูปพรรณ นานร่วม 10 ปี ยึดของกลางทองรูปพรรณหนัก 600 บาท และยึดทรัพย์เงินสดและบ้าน ไว้ตรวจสอบ
โดยคดีนี้ ตำรวจ สืบสวนนครบาล 7 ได้จับกุม น.ส.วิมล เอี่ยมทรัพย์ อายุ 36 ปี และนายสมศักดิ์ เมืองคำ อายุ 30 ปี พร้อมของกลางเป็นทองรูปพรรณ เช่น สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือ แหวน พระเลี่ยมทอง น้ำหนักรวมประมาณ 600 บาท มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท และเงินสดจำนวน 6 ล้านบาท
หลังจากตำรวจได้สืบสวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2543 และ 6 ต.ค.2544 ในคดีที่คนร้ายงัดตู้เซฟของนายบัญญัติ สุขประพฤติ ที่บ้านเลขที่ 63/5 หมู่ 2 ถ.ฉิมพลี แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม.ได้ทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณ พระเลี่ยมทอง นาฬิกาข้อมือราคาแพง รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และมีผู้แจ้งเบาะแสว่า นายสมมิตร เมืองคำ และนางกาย เมืองคำ คนงานบ้านเกิดเหตุ ได้ลาออกหลังจากเกิดเหตุได้ 2 วันและปัจจุบันมีฐานะร่ำรวย มีความเป็นอยู่ดี และไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร จึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักทรัพย์ในครั้งนั้น
และจากการสืบสวนทราบว่า นายสมมิตร และนางกาย มีบุตรชาย 1 คน ชื่อนายสมศักดิ์ ซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร และนายสมศักดิ์ก็มีภรรยาชื่อ น.ส.วิมล เป็นลูกจ้างร้านขายทองแม่บุญมา ตั้งอยู่เลขที่ 4583 แขวงและเขตมีนบุรี ซึ่งทางนายสมศักดิ์ และ น.ส.วิมล เองก็มีฐานะร่ำรวย มีเงินฝากในบัญชีจำนวนมาก อีกทั้งยังเพิ่งจะซื้อบ้านใหม่ที่ จ.พิษณุโลก และ จ.ราชบุรี นอกจากนั้น ยังมีรถยนต์อีกหลายคัน
จนกระทั่งตำรวจ ได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 88/34 ม.16 ถนนหทัยราษฎร์ แขวงและเขตมีนบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.วิมล และ นายสมศักดิ์ ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่พบทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณจำนวนมาก และเงินสด 2 ล้านบาท ซุกซ่อนอยู่ในตู้เซฟ จึงอายัดไว้ตรวจสอบและนำตัวมาสอบสวน
จากการสอบสวน น.ส.วิมล ให้การรับสารภาพว่า ทองรูปพรรณทั้งหมดที่พบนั้น ตนได้ลักมาจากร้านทองแม่บุญมา ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีหยิบออกมาวันละ 1-2 เส้น จากนั้นได้เอามาเก็บไว้โดยที่ไม่ได้เอาไปขายแต่อย่างใด ส่วนเงินสดที่พบเป็นเงินที่ญาติๆ เอามาฝากไว้เนื่องจากเห็นว่าตนมีตู้เซฟ ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการนำทองไปขาย ส่วนสาเหตุที่ทำไปนั้นเนื่องจากต้องการเก็บไว้ใช้ในยามแก่หลังจากไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว
ด้าน นายชาติชัย ลิขิตชัย เจ้าของร้านทองแม่บุญมา กล่าวว่า น.ส.วิมล เป็นลูกจ้างของร้านตนมา 20 ปี แล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนรักเหมือนน้องสาวจึงไว้ใจให้เฝ้าหน้าร้านทองมาตลอด และก็ไม่ทราบว่า น.ส.วิมลจะทำเช่นนี้ จนเจ้าหน้าที่จับกุมได้และแจ้งให้ทราบ และหลังจากตรวจสอบทองรูปพรรณของกลาง ก็พบว่าเป็นทองของร้านตนจริงๆ เนื่องจากมีตราของร้านทองอยู่ที่ทองทุกชิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดอายัดเงินสดในบัญชีอีกกว่า 4 ล้านบาท ไว้ตรวจสอบ ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง หรือรับของโจร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีคนร้ายงัดตู้เซฟของนายบัญญัติ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2543 และ 6 ต.ค.2544 ตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.น.7 เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพยานหลักฐานยังไปไม่ถึงผู้ต้องหาทั้ง 2 แต่อย่างไรก็ตามจะได้สอบสวนขยายผล รวมทั้งสอบปากคำนายสมมิตร และนางกาย เมืองคำ บิดามารดาของนายสมศักดิ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวหรือไม่ต่อไป
ผลพวงจากการติดตามคดีค้างเก่า ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม ลูกจ้างร้านทอง ก่อคดีลักทรัพย์ทองคำรูปพรรณ นานร่วม 10 ปี ยึดของกลางทองรูปพรรณหนัก 600 บาท และยึดทรัพย์เงินสดและบ้าน ไว้ตรวจสอบ
โดยคดีนี้ ตำรวจ สืบสวนนครบาล 7 ได้จับกุม น.ส.วิมล เอี่ยมทรัพย์ อายุ 36 ปี และนายสมศักดิ์ เมืองคำ อายุ 30 ปี พร้อมของกลางเป็นทองรูปพรรณ เช่น สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือ แหวน พระเลี่ยมทอง น้ำหนักรวมประมาณ 600 บาท มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท และเงินสดจำนวน 6 ล้านบาท
หลังจากตำรวจได้สืบสวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2543 และ 6 ต.ค.2544 ในคดีที่คนร้ายงัดตู้เซฟของนายบัญญัติ สุขประพฤติ ที่บ้านเลขที่ 63/5 หมู่ 2 ถ.ฉิมพลี แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม.ได้ทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณ พระเลี่ยมทอง นาฬิกาข้อมือราคาแพง รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และมีผู้แจ้งเบาะแสว่า นายสมมิตร เมืองคำ และนางกาย เมืองคำ คนงานบ้านเกิดเหตุ ได้ลาออกหลังจากเกิดเหตุได้ 2 วันและปัจจุบันมีฐานะร่ำรวย มีความเป็นอยู่ดี และไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร จึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักทรัพย์ในครั้งนั้น
และจากการสืบสวนทราบว่า นายสมมิตร และนางกาย มีบุตรชาย 1 คน ชื่อนายสมศักดิ์ ซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร และนายสมศักดิ์ก็มีภรรยาชื่อ น.ส.วิมล เป็นลูกจ้างร้านขายทองแม่บุญมา ตั้งอยู่เลขที่ 4583 แขวงและเขตมีนบุรี ซึ่งทางนายสมศักดิ์ และ น.ส.วิมล เองก็มีฐานะร่ำรวย มีเงินฝากในบัญชีจำนวนมาก อีกทั้งยังเพิ่งจะซื้อบ้านใหม่ที่ จ.พิษณุโลก และ จ.ราชบุรี นอกจากนั้น ยังมีรถยนต์อีกหลายคัน
จนกระทั่งตำรวจ ได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 88/34 ม.16 ถนนหทัยราษฎร์ แขวงและเขตมีนบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.วิมล และ นายสมศักดิ์ ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่พบทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณจำนวนมาก และเงินสด 2 ล้านบาท ซุกซ่อนอยู่ในตู้เซฟ จึงอายัดไว้ตรวจสอบและนำตัวมาสอบสวน
จากการสอบสวน น.ส.วิมล ให้การรับสารภาพว่า ทองรูปพรรณทั้งหมดที่พบนั้น ตนได้ลักมาจากร้านทองแม่บุญมา ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีหยิบออกมาวันละ 1-2 เส้น จากนั้นได้เอามาเก็บไว้โดยที่ไม่ได้เอาไปขายแต่อย่างใด ส่วนเงินสดที่พบเป็นเงินที่ญาติๆ เอามาฝากไว้เนื่องจากเห็นว่าตนมีตู้เซฟ ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการนำทองไปขาย ส่วนสาเหตุที่ทำไปนั้นเนื่องจากต้องการเก็บไว้ใช้ในยามแก่หลังจากไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว
ด้าน นายชาติชัย ลิขิตชัย เจ้าของร้านทองแม่บุญมา กล่าวว่า น.ส.วิมล เป็นลูกจ้างของร้านตนมา 20 ปี แล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนรักเหมือนน้องสาวจึงไว้ใจให้เฝ้าหน้าร้านทองมาตลอด และก็ไม่ทราบว่า น.ส.วิมลจะทำเช่นนี้ จนเจ้าหน้าที่จับกุมได้และแจ้งให้ทราบ และหลังจากตรวจสอบทองรูปพรรณของกลาง ก็พบว่าเป็นทองของร้านตนจริงๆ เนื่องจากมีตราของร้านทองอยู่ที่ทองทุกชิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดอายัดเงินสดในบัญชีอีกกว่า 4 ล้านบาท ไว้ตรวจสอบ ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง หรือรับของโจร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีคนร้ายงัดตู้เซฟของนายบัญญัติ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2543 และ 6 ต.ค.2544 ตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.น.7 เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพยานหลักฐานยังไปไม่ถึงผู้ต้องหาทั้ง 2 แต่อย่างไรก็ตามจะได้สอบสวนขยายผล รวมทั้งสอบปากคำนายสมมิตร และนางกาย เมืองคำ บิดามารดาของนายสมศักดิ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวหรือไม่ต่อไป