หลังจากมีกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับสุขภาพหูและการได้ยินของเยาวชน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงดำเนินการออกมาตรการชี้แจงนโยบายเรื่องการควบคุมเสียงในสถานบันเทิงไม่ให้เกิน 90 เดซิเบล รวมทั้งได้มีมาตรการความปลอดภัยในเทค-ผับตามมาอีกหลายมาตรการไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสง ระบบระบายอากาศ โครงสร้างอาคารและทางหนีไฟ รวมทั้งกำหนดให้แหล่งอบายมุขอยู่ห่างจากศาศนสถาน โรงเรียน
ศ.น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ดิสโก้เทคเป็นสถานบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นมาก แต่จากการตรวจสมรรถภาพการได้ยินของพนักงานในสถานบริการเหล่านี้จำนวน 370 คน ในปี2546 พบว่า มีระดับการได้ยินผิดปกติถึง 284 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 76 ขณะที่การวัดความดังของเสียงในดิสโก้เทคพบว่า เปิดเพลงดังถึง 90-120 เดซิเบล โดยช่วงเวลา 22.00-01.00 น. จะเป็นช่วงที่เปิดเพลงดังมากที่สุด และส่วนใหญ่เกินมาตรฐาน ซึ่งระดับเสียงที่ดังที่สุดวัดได้ถึง 148 เดซิเบล
ด้านน.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือขอความร่วมมือกับสถานบันเทิงในการลดระดับเสียงเพลงลงให้ได้มาตรฐาน คือ ไม่เกิน 91 เดซิเบล รวมถึงการจัดหน่วยออกตรวจวัดระดับเสียงในดิสโก้เทคนำร่อง 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี และสงขลา พร้อมกับตรวจสมรรถภาพการได้ยินของหู ของผู้ที่เข้าไปใช้บริการและพนักงานในร้านด้วย โดยโครงการนี้จะเริ่มต้นในวันคริสมาสต์ 25 ธ.ค. และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือน ก.พ. 2548 ต่อไป
สำหรับบทลงโทษดิสโก้เทคที่เปิดเสียงดังเกินนั้น น.พ.ณรงค์ กล่าวว่า ตามพรบ.คุ้มครองแรงงานได้กำหนดว่า ให้รับฟังเสียงได้ไม่เกิน 91 เดซิเบล หากทำงานไม่เกิน 7 ชม. ผู้ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้มีผู้ประกอบการสถานบันเทิงบางส่วนไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้ความร่วมมือ มีการชุมนุมคัดค้าน และขอเพิ่มเสียงเพลงจากที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 91 เดซิเบลเป็น 120 เดซิเบลนั้น กระทรวงสาธารสุขออกมากล่าวชัดเจน ว่า ไม่ได้
รวมทั้งรัฐบาลจะเข้มงวดไม่ให้สถานบันเทิงตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษาและศาสนสถาน โดยก่อนที่จะมีการขอใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิง ร้านจำหน่ายสุราหรือบุหรี่ ต้องอยู่ห่างจากสถานศึกษา และศาสนสถาน 500 เมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปออกกฎกระทรวงก่อน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการตามมาตรการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป
ศ.น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ดิสโก้เทคเป็นสถานบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นมาก แต่จากการตรวจสมรรถภาพการได้ยินของพนักงานในสถานบริการเหล่านี้จำนวน 370 คน ในปี2546 พบว่า มีระดับการได้ยินผิดปกติถึง 284 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 76 ขณะที่การวัดความดังของเสียงในดิสโก้เทคพบว่า เปิดเพลงดังถึง 90-120 เดซิเบล โดยช่วงเวลา 22.00-01.00 น. จะเป็นช่วงที่เปิดเพลงดังมากที่สุด และส่วนใหญ่เกินมาตรฐาน ซึ่งระดับเสียงที่ดังที่สุดวัดได้ถึง 148 เดซิเบล
ด้านน.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือขอความร่วมมือกับสถานบันเทิงในการลดระดับเสียงเพลงลงให้ได้มาตรฐาน คือ ไม่เกิน 91 เดซิเบล รวมถึงการจัดหน่วยออกตรวจวัดระดับเสียงในดิสโก้เทคนำร่อง 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี และสงขลา พร้อมกับตรวจสมรรถภาพการได้ยินของหู ของผู้ที่เข้าไปใช้บริการและพนักงานในร้านด้วย โดยโครงการนี้จะเริ่มต้นในวันคริสมาสต์ 25 ธ.ค. และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือน ก.พ. 2548 ต่อไป
สำหรับบทลงโทษดิสโก้เทคที่เปิดเสียงดังเกินนั้น น.พ.ณรงค์ กล่าวว่า ตามพรบ.คุ้มครองแรงงานได้กำหนดว่า ให้รับฟังเสียงได้ไม่เกิน 91 เดซิเบล หากทำงานไม่เกิน 7 ชม. ผู้ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้มีผู้ประกอบการสถานบันเทิงบางส่วนไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้ความร่วมมือ มีการชุมนุมคัดค้าน และขอเพิ่มเสียงเพลงจากที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 91 เดซิเบลเป็น 120 เดซิเบลนั้น กระทรวงสาธารสุขออกมากล่าวชัดเจน ว่า ไม่ได้
รวมทั้งรัฐบาลจะเข้มงวดไม่ให้สถานบันเทิงตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษาและศาสนสถาน โดยก่อนที่จะมีการขอใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิง ร้านจำหน่ายสุราหรือบุหรี่ ต้องอยู่ห่างจากสถานศึกษา และศาสนสถาน 500 เมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปออกกฎกระทรวงก่อน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการตามมาตรการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป