xs
xsm
sm
md
lg

"สนธิ" ถกร่วมอ.จุฬา ชี้วิกฤติวัยรุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สโรชา – สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับรายการก่อนจะถึงวันจันทร์ ซึ่งตอนนี้เป็นตอนพิเศษ เป็นการเสวนากันในหัวข้อที่ว่า “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะกับอนาคต” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล , รศ.ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ และคุณสรวงสมณฑ์ สิทธิสมาน

สโรชา – สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับรายการก่อนจะถึงวันจันทร์ ซึ่งตอนนี้เป็นตอนพิเศษ เป็นการเสวนากันในหัวข้อที่ว่า “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะกับอนาคต” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล , รศ.ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ และคุณสรวงสมณฑ์ สิทธิสมาน จะมีเนื้อหาสาระที่สำคัญอย่างไร เชิญไปติดตามรับชมรับฟังกันได้แล้วค่ะ

  • VTR

    สรวงสมณฑ์ – สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมีการเสวนากันเนื่องในวันพ่อที่จะมาถึงนี้ โดยเราจะพูดกันถึงเรื่อง “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะสมกับอนาคต” ก็อย่างที่ทราบกันว่า สังคมในโลกอนาคตของเราเป็นเช่นนี้ จะทำอย่างไรให้ลูกของเราเติบโตขึ้นไปอย่างเป็นเด็กเก่ง เด็กดีและมีความสุข เราพยายามที่จะพูดคุยกันมา เราเห็นพระราชบัญญัติการศึกษาออกมาแล้วว่า มันเป็นแค่ใบกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วเราจะเตรียมตัวอย่างไร เราจะมีสูตรสำเร็จหรือเปล่า วันนี้ก็ต้องขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สุภาพบุรุษทั้ง 2 ท่านที่อยู่ข้างกายดิฉันนะคะ ท่านแรกคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีแล้ว ดิฉันคิดว่าหลายๆท่านแม้กระทั่งเมื่อซักครู่นี้ รองคณบดีของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ก็แนะนำเกริ่นกันไปนิดนึงว่า ท่านเวลาเราเปิดมา ท่านที่สนใจกับข่าวการบ้านการเมือง มักจะไม่ค่อยพลาดในวันศุกร์ช่อง 9 รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เวลาท่านปรากฏตัวออกมาคู่กับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ มักจะเจอด้วยความสะทกสะท้านเวลาวิจารณ์การบ้านการเมือง เพราะฉะนั้นขอย้อนไปนิดนึง อันนี้เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยส่วนตัวแล้ว ท่านเป็นคนที่คิดอะไรมักจะแตกต่าง เป็นนักวิจารณ์การบ้านการเมืองที่ฝีปากกล้าและคมคนหนึ่ง ย้อนไปเมื่อ 35 ปีที่แล้วนะคะ คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน คิดว่าในหอประชุมแห่งนี้หลายๆท่านอาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ หรืออาจจะเกิดแล้วอายุยังน้อยอยู่เลย เราอาจจะมีค่านิยมกันมา คุณพ่อคุณแม่อาจจะปลูกฝังว่า ถ้าเรียนต้องเป็นหมอ ต้องวิศวะ ต้องสถาปัตย์ แต่ว่าผู้ชายคนนี้เมื่อ 35 ปีที่แล้ว เลือกที่จะเรียนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท ก็ปริญญาตรีที่ยูออฟ แคลิฟอร์เนีย และก็ปริญญาโทที่ยูทาห์สเตทยูนิเวอร์ซิตี้ที่สหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นอะไรทำให้ท่านดลใจไปเลือกเรียนประวัติศาสตร์ และในยุคของการเปลี่ยนผ่านปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นมากมาย ท่านสามารถจะฉายภาพให้เห็นเป็นฉากๆเลย วันนี้ผู้ชายคนนี้จะมาพูดถึงเรื่องโลกอนาคตค่ะ น่าสนใจอย่างยิ่ง ขอเสียงปรบมือต้อนรับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลค่ะ และสุภาพบุรุษที่อยู่ด้านขวาของดิฉันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันค่ะ เวลามักจะมีผลงานวิจัยอะไรที่ฮือฮาแล้วก็มักจะมีชื่อของท่านปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อต่างๆ ผลงานที่สร้างความฮือฮา และก็เป็นฝีมือ เพราะว่าท่านทำงานเรื่องของเด็กและเรื่องของครอบครัว และชุมชนมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งผลงานฮือฮา ถ้าจำกันได้ เรื่องของโทรศัพท์มือถือ อวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์ อาจารย์ก็เป็นให้เวิร์ดดิ้งมา ตอนนั้นเราก็ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง หรือแม้กระทั่งในเรื่องราวของล่าสุด มีอีกหลายเรื่อง เรื่องบาป 7 ประการของวัยรุ่น ท่านก็คิด และเป็นนักวิจัยที่มีวลีเด็ดๆให้เห็นภาพได้ชัดเจนคนหนึ่งเหมือนกัน ล่าสุดนี่ท่านได้ให้ความคิดเห็นสะท้อนปรากฏการณ์ทางสังคมได้ชัดเจนมากเลย ปัจจุบันท่านก็เป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และก็เป็นผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ ของเสียงปรบมือต้อนรับอาจารย์อมรวิชช์ นาครทรรพค่ะ หัวข้อในวันนี้นะคะ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะกับโลกอนาคต ดิฉันขอเริ่มจากนักประวัติศาสตร์มาก่อนเลย นักประวัติศาสตร์ที่เป็นทั้งนักธุรกิจ นักสื่อสารมวลชน เป็นนักวิเคราะห์การบ้านการเมือง แล้วก็เรื่องของการฉายภาพนะคะ ท่านก็เป็นคุณพ่อของลูกชายคนหนึ่ง ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมา ดิฉันขอเริ่มจากคำถามแรกของท่านเลย เพราะว่าอยากให้ท่านพูดถึงโลกอนาคตก่อนค่ะ เชิญค่ะ คุณสนธิ

    สนธิ – ขอบคุณมากครับ คุณสรวงสมณฑ์ ขอบคุณมากครับ ที่ให้อายุผมน้อยลง จริงๆแล้วเมื่อ 39 ปีที่แล้ว คือ 40 ปีที่แล้ว ผมปีนี้ 58 แล้วครับ จริงๆวันนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวพอสมควร เพราะว่าลูกชายผมปีนี้ 30 มีลูกอยู่คนเดียว ส่วนอาจารย์อมรวิชช์ก็ 10 ขวบและ 8 ขวบ วันนี้ผมมาด้วยประสบการณ์ชีวิต ส่วนอาจารย์อมรวิชช์ก็มีส่วนของประสบการณ์ชีวิตที่เลี้ยงลูกจนลูก 10 ขวบ แล้วก็ทางวิชาการ มันจะเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างจะเพอร์เฟคมาก แล้วก็เผอิญมีหลานชายคนนึงที่เลี้ยงดูอยู่ตอนนี้ ก็เป็นลูกของน้องสาวภรรยาผม ก็เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนตั้งแต่ออก เขาก็กำลังจะจบ ม.6 อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมก็จะแชร์ประสบการณ์ได้เหมือนกัน สิ่งที่ผมเป็นห่วงอยู่มากๆขณะนี้ก็คือว่า ถ้าอัตราการเดินหน้าของสังคมไทยยังคงเป็นไปตามวิถีทางของการดำเนินการในแนวความคิดของเงินตราจะต้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแล้วนี่ ผมมองไม่เห็นอนาคตของเด็กในเมืองไทย พยายามคิดค้นคำพูดไม่ให้ออกมาว่า ผมไม่ชอบพรรคไทยรักไทย จริงๆไม่ใช่ คือผมมีความรู้สึกว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา เราไปเน้นกำไรทางตัวเลข จนกระทั่งทุกวันนี้สังคมไทยขาดทุนทางจิตวิญญาณอย่างมหาศาล ถ้าท่านผู้มีเกียรติที่นั่งฟังอยู่นี้ ผมจะพูดให้ฟังสั้นๆว่า อนาคตมันค่อนข้างจะมืดบอด เหตุผลก็เพราะว่า สิ่งแวดล้อมและอิทธิพลที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาล อาจจะไม่ใช่ชุดนี้ชุดเดียว อาจจะเป็นชุดที่แล้วหรือชุดหน้าก็ตาม ไม่ได้ให้ความสำคัญกับทางด้านศีลธรรม ทีนี้ก็ถามต่อว่า ศีลธรรมสำคัญแค่ไหนกับการมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ผมคิดว่าทุกวันนี้ศีลธรรมนั้นเป็นตัวกำกับให้มนุษย์เรานั้นมีวิญญาณ ทุกวันนี้ถ้าเราดูตามหน้าหนังสือพิมพ์นะ เมื่อศุกร์ที่แล้ว เมื่อวานซืนนะ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ถ้าท่านได้ดูรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ตอนจบ ผมเอาเหตุการณ์ที่ผ่านมา 7 วันให้กับท่านได้ดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ปรากฏว่ามีการฆ่าสังหาร มีการผู้ชายอกหักกระโดดคร่อมครูเอาปืนยิงใส่หัวครูต่อหน้าเด็กนักเรียนอนุบาล แขกอินเดียจ้างคนไปลักพาแขกอินเดียด้วยกัน แม่เฒ่าวัย 67 กอดพ่อเฒ่าวัย 66 ที่ตายไปแล้ว เรียกร้องให้ช่วย 4 วันเต็มๆไม่มีคนช่วย แต่พอเรื่องออกไปสู่สื่อมวลชน กระแสการช่วยก็ทุ่มเทอย่างมหาศาล ทั้งๆที่น่าจะมีการช่วยตั้งแต่แรกด้วยความเอื้ออาทร ทั้งๆที่น่าจะมีการแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนว่ายายเป็นไงบ้างวันนี้ อ้าว ตาเป็นอะไรไป ก็คือในส่วนหนึ่งนี่เรามามองเห็นความน่ารักของคนไทย ที่พอรู้ว่าคนมีปัญหาแล้ว ในทางสื่อมวลชนก็เข้ามาช่วย จากสมัยก่อนไม่มีช้าวสารกรอกหม้อ ล่าสุดวันนี้มีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารเกือบล้านแล้ว แต่อีกในมิติหนึ่งเราลืมนึกไปว่า เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นนะ สังคมไทยมันไม่ใช่สังคมแบบตัวใครตัวมัน เข้าใจไหมครับ มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่คนบ้านข้างเรือนเคียงหรือคนใกล้ๆจะไม่รู้ว่า ตาเสียชีวิต แล้วยายนี่นอนกอดศพตาเป็นเวลา 4 วัน มันจะเป็นไปได้อยู่กรณีเดียวก็คือว่า เดี๋ยวนี้เราไม่สนใจใครแล้ว เราเอาแต่ตัวเราเองรอด รัฐบาลชอบเน้นเรื่องนโยบายเอื้ออาทร แต่ผมไม่เห็นรัฐบาลชุดนี้เน้นเรื่องจิตใจที่เอื้ออาทร เราไปเน้นเรื่องการให้บ้านราคาถูก เราไปเน้นเรื่องการให้ค่ารักษาพยาบาล แต่เราไม่เคยพูดเลยว่า พวกเรานี่ต้องเอื้ออาทรซึ่งกันและกันยังไงบ้าง ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก อนาคตของสังคมนั้น เป็นอนาคตที่ผมเรียกว่า เทคโนโลยีเป็นเจ้านายเรา ผมเคยพูดแล้วผมก็เชื่อตลอดเวลาว่า เราไม่ควรให้เทคโนโลยีมาใช้เรา เรานี่ควรจะใช้เทคโนโลยีครับ ผมไปพูดที่ไหนก็ตาม ผมมักจะยกตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ สังคมไทยเป็นสังคมที่เหมือนกับคอนเสิร์ตฮอลล์ คุณเดินเข้าไปแล้วได้ยินเสียงเพลง จิตใจคุณก็กระโดดโลดเต้นไปตามเพลงด้วย พอกระโดดไปตามเพลงด้วย คุณก็เพลงนั้นถูกใครแต่ง ถูกใครกำกับ แต่ถ้าคุณเดินเข้าไปคอนเสิร์ตฮอลล์อันนึงแล้วคุณบอกว่าผมขี้เกียจฟังเพลงนี้ ผมกำหนดเพลงของผมเองบ้าง จิตใจคุณก็ไม่ล่องลอยไปตามสิ่งแวดล้อมนะครับ ผมเคยเอาโทรศัพท์มือถือนี่ ทิ้งไว้ให้เลขาผม ผมก็บอกว่า เธอช่วยจดเป็นสถิติหน่อยสิว่า มี Miss Call ทั้งหมดเท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำเลย บอกว่าเธอไม่ต้องคืนให้ฉัน พรุ่งนี้ค่อยคืน ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นพอมาดูมีทั้งหมด 20 กว่า Miss Call ผมก็มาไล่ดู เป็นเรื่องไร้สารประมาณ 22 เรื่องไร้สาระประมาณว่าโทรมา ผมรู้ว่าโรกลับก็ต้องโดนไถเงินแน่นอน หรือว่าโทรมาถ้าโทรกลับก็เป็นเรื่องชวนไปกินข้าว เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่ผมต้องไปปฏิบัติงาน เหลืออยู่ 3-4 อันก็เป็นเรื่องงาน เรื่องงานพอเช็กออกมาก็ปรากฏว่าเป็นเรื่องซึ่งไม่สำคัญ รอได้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ผมก็เลยสรุปกับตัวผมเอง ว่า เออ บางทีสังคมปัจจุบัน เอาเรื่องสปีด ความเร็วนี่ มากำกับชีวิตของเรา แล้วเราไม่คุมสติเราให้ดี เราก็เล่นไปตามสปีดของมัน ตรงนี้จะย้อนกลับไปหาพ่อแม่ที่มักจะพูดกับลูกบอกว่า ไม่มีเวลาหรือยุ่ง ผลัดไปก่อนได้ไหม เอาอาทิตย์หน้าได้ไหม ตรงนี้คือส่วนที่สำคัญมากๆ เพราะว่าจากจุดนี้เป็นต้นไปนี่ เราก็จะถูกเทคโนโลยีนี่กำกับชีวิตเรา พอเราถูกเทคโนโลยีกำกับชีวิตเราก็เลยให้ลูกเรา ต้องหันไปพึ่งเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะว่าเขามาพึ่งเราไม่ได้ เนื่องจากเราไปพึ่งเทคโนโลยี แล้วเราก็บอกเขาว่าเราไม่มีเวลาให้เขามากมายพอ อาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตผม ลูกชายตอนอายุเท่าลูกของพวกคุณ เทคโนโลยียังไม่มาไวขนาดนั้น ผมยังจำได้ว่า ตอนนั้นนายปั๊บเรียนอยู่ที่สาธิตประสานมิตร แม่เขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผมจำได้ว่า อาจจะเป็นกรณีพิเศษ อาจจะเป็นข้อยกเว้น พอเขาเลิกแล้วเขาก็ข้ามจากโรงเรียนเข้ามาหาแม่ซึ่งสอนอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ เขาก็จะเล่นอยู่ที่ห้องแม่เขาตลอดเวลา แล้วพอตกเย็นแล้วพอกลับบ้านมาก็เจอหน้าผม ถึงจะดึกหน่อยก็อยู่ที่บ้าน แล้วก็ผมต้องเมคชัวว์ว่าทุกเช้าตรู่ ผมต้องขับรถไปส่งเขาที่มหาวิทยาลัย เพราะผมเชื่อว่าเช้าๆช่วงสั้นๆเป็นช่วงที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ เหมือนกับตอนนี้ อาจจะเป็นตอนนั้นเราโชคดีก็ได้ ทีนี้เด็กสมัยใหม่ที่โตมาในยุคนี้ ในที่สุดแล้วจะก้าวไปสู่ยุคที่ผมเรียกว่า คอมพิวเตอร์เบส ก็คือว่าลูกของเราทุกคน ผมเชื่อว่าเมื่อเขาโตแล้ว ใช้คอมเป็นทุกคน แล้วก็จะติดคอมถึงจุดที่เรียกว่า ถ้าเขาทำงานโดยไม่มีคอม เขาอาจจะทำไม่ได้ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง นี่ผมพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีก่อนนะครับ เขาจะเป็นเด็กในยุคคอมพิวเตอร์เบส และยุคสปีด ยุคความเร็ว ยุคข่าวสารข้อมูลที่มาถึงตัวเขาโดยที่เขาไม่ต้องไปแสวงหา เหมือนกับที่อย่างเมื่อวานนี้ ผมเพิ่งเห็นข่าวที่ลูกชายผมเขาไปจับมือกับ Dtac ให้คนนี่สามารถที่จะดูข่าวจากเว็บไซด์ผู้จัดการได้ในโทรศัพท์มือถือ ผมก็ยังนึกในใจว่า โลกสมัยนี้มันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว กูราคาหุ้นได้ อ่านซ้อ 7 ได้ในโทรศัพท์มือถือ ดูข่าวบันเทิง ดูข่าวกีฬา ดูข่าวพาดหัวได้ เมือคืนนี้ผมก็ทดลองดู System มัน ผมก็กดดูตอนประมาณซัก 5 ทุ่มกว่าๆ ก็ปรากฏว่าผมได้รับข่าวที่ล่าสุด ซึ่งเพิ่งขึ้นเว็บเมื่อซัก 10 นาที เพราะเว็บไซด์ผู้จัดการ เป็นเว็บไซด์ที่อัพเดต 24 ชั่วโมง ผมก็เลยนึกในใจว่า สปีดต่างๆ พวกข่าวสารต่างๆ ถ้ามันมาเร็วอย่างนี้ มันจะมีผลอะไรต่อเด็กบ้างไหม 2.ทั้งหมดทั้งคอมพิวเตอร์เบสและสปีดอันนี้ มันก็เลยทำให้เด็กรุ่นใหม่นี่ขาดเบสิก คือทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะอย่างเช่น เด็กสมัยใหม่สังเกตดูนะ อาจจะไม่ใช่เด็กรุ่นอนุบาล หรือประถม หรือเด็กมัธยม ตัวอย่างง่ายๆลูกชายผม ลายมือนี่สุนัขไม่รับประทานเลย โทษนะครับ เพราะว่าเขาเคาะคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เขาอยู่ ม.4,5,6 แล้วเขาก็หมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาทำงาน เพราะนั้นลายมือใช้ไม่ได้เลย เขียนออกมาดูแล้วทุเรศที่สุด คือผมนึกไม่ออกว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น จนทุกวันนี้ เวลาผมเขียนหนังสือผมยังต้องใช้ปากกาหมึกซึมอยู่ อาจจะเป็นเพราะผมติดกับนิสัยแบบนี้ หรือว่าผมมีความรู้สึกว่า ผมถ่ายทอดความรู้สึกของผมผ่านปากกาลงไปที่ปลายปากกา แล้วก็กดลงไปเป็นหมึก อารมณ์ที่ฉุนเฉียวนั้นก็จะทำให้หมึกมันเข้ม อารมณ์ที่อ่อนไหวนั้นก็จะให้หมึกนั้นบาง อาจจะเป็นตรงนั้นก็ได้ แต่ตรงนี้นี่เป็นทักษะ ซึ่งเด็กจะขาดไป ทักษะขั้นพื้นฐานอีกประการหนึ่งก็คือ ความจำ (Memory) เดี๋ยวนี้นี่ใครลองทำโทรศัพท์หายสิ เหมือนชีวิตดับสูญสิ้นเลย เพราะว่า Memory ทุกอย่างมันไปอยู่ใน Sim Card มันไปอยู่ในโทรศัพท์หมด ในขณะที่ผมยังจำได้ว่า ในยุคผมนี่ ให้ท่องเบอร์โทรศัพท์โทรไปเมื่อไหร่รู้ทันที ตรงนี้ก็จะหายไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างถูกถ่ายเทไปให้เทคโนโลยีหมด ให้ทำหน้าที่แทน จากการที่ Sim Card มี Memory น้อยลง เดี๋ยวนี้สามารถได้ Memory ได้ถึง 250 ชื่อ นี่คือการที่เราปล่อยให้เทคโนโลยีมาเป็นเจ้าของเรา เมื่อเราเทไปทางนั้นแล้ว ในแง่ของจิวิญญาณเราจะอ่อนด้อยลงไปอย่างมากเลย เพราะว่าโลกมนุษย์นี่ อาจารย์ชัยนันท์เคยนั่งคุยกับผม เขาบอกว่าหัวของคนเรามันแบ่งออกเป็น 2 ส่วนส่วนนึงคืออารมณ์ ส่วนนึงคือเหตุผล เทคโนโลยีคือเหตุผล แต่ว่าในหลายๆสังคมโดยเฉพาะสังคมทางตะวันออกนั้น มันมีส่วนผสมของอารมณ์และเหตุผลเข้ามาด้วย เหมือนอย่างที่ผู้ดำเนินรายการพูดในตอนต้น 39 ปีที่แล้ว เหตุผลของพ่อแม่ผมนี่ ซึ่งเป็นคนจีนโพ้นทะเล อยากให้ลูกเรียนวิศวะ เรียนหมอ เพราะว่าเขามองว่า เหตุผลคือคือว่าหางานทำได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่อารมณ์ของผมตอนนั้น อีโมชันก็คือ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ผมตะขโมยอ่านหนังสือของ ป.อินทรปาลิต เสือใบ เสือดำ น้ำตาแม่ค้า หลายๆท่านอาจจะไม่รู้จัก สามก๊กนี่ผมอ่านไปไม่รู้ต่อกี่รอบแล้ว ขุนช้างขุนแผนผมอ่านมาหมด อารมณ์ผมอยู่ที่การอ่านหนังสือผมชอบมาก เพราะฉะนั้นเหตุผลก็คือ แม่ละพ่อต้องการให้เรียนหมอ ส่วนผมนี่ต้องการที่จะมาทางด้านนี้ ซึ่งผมสอบติดหมอ ผมสอบตอน ม.8 จบ ผมติดบอร์ดอันดับที่ 49 หรือ 50 ประมาณนั้น ผมสอบติดหมอ แต่ผมไม่ชอบ ผมไปสอบเพราะพ่อและแม่ ผมก็เลยหนีการไปสอบสัมภาษณ์ ทำให้ผมตกเข้าไม่ได้ ผมจำได้ว่าผมโดนพ่อผมตบเสียตกบันไดเลย เล่าเต๊งสมัยก่อนมันเป็นตึกแถว คุณคิดดูแล้วกันว่ามันชันขนาดไหน ผมกลิ้งเหมือนลูกขนุนร่วงลงมาเลย หัวแตกปากแตกหมด ยังดีที่ความรักของแม่ยังมีอยู่ก็เข้าไปกอดลูก แล้วก็บอกพ่อว่าช่างมันเถอะ มันอยากเรียนอะไรให้มันเรียนไป ตอนนั้น ในที่สุดผมก็เลยตัดสินใจเรียนทางประวัติศาสตร์ ตรงนี้พอมาช่วงหลังๆ เหตุผลมันเริ่มมากขึ้นกว่าอารมณ์แล้ว ผมไม่อยากใช้คำว่าเหตุผล ผมอยากใช้คำว่าวิทยาศาสตร์ หรือว่าเทคโนโลยีมันเริ่มมากกว่าอารมณ์แล้ว เมื่อมันเริ่มมากว่าตอนนี้ เด็กของเราในอนาคต ก็จะถูกกำกับด้วยการ 2+2=4 ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ผิด แต่ผมคิดว่าสังคมไทยกำลังไม่สามารถที่จะให้เด็กรุ่นใหม่นี่ ผสมผสานระหว่างอารมณ์กับเหตุผลให้เป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ และความสามารถทักษะหลายๆอย่าง ให้สมบูรณ์ แล้วผมคิดว่าในอนาคตจะเป็นอนาคตซึ่ง ถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจตรงนี้ แล้วก็ฝึกอบรมลูกเราต่อไป ก็คงจะยาก เวลา 15 นาทีก็คงจะพูดได้แค่นี้ ขอบคุณครับ

    สรวงสมณฑ์ – คือในส่วนของ 15 นาทีก็คงจะให้เราเห็นภาพ แต่ว่าวันนี้ตั้งใจว่าอยากให้การเสวนาเป็นไปอย่างรีแล็กซ์ มีภาพตามให้เห็นภาพ และก็จะพยายามส่งต่อจิ๊กซอร์ให้แต่ละท่าน ในช่วงแรก รอบแรก คุณสนธิให้ภาพค่อนข้างชัดมากกับเรื่องของเทคโนโลยีในอนาคต คือเราเห็นแล้วล่ะ ว่าเทคโนโลยีมันหลั่งไหลเข้ามา มันโหมเข้ามาเต็มที่เลย เพราะฉะนั้น ทำยังไงจะบาลานซ์ระหว่างอารมณ์กับเหตุผลนะคะ ต่อไปเราไปฟังอาจารย์อมรวิชช์ นาครทรรพ พูดกันบ้างนะคะ เชิญค่ะ

    สนธิ – ครับ ผมขอต่อจากที่คุณสนธิพูดแล้วกันนะ เรื่องเทคโนโลยี ถ้าวิเคราะห์ดีๆนะครับ เทคโนโลยีนี่เปลี่ยนนิสัยคนนะครับ ไม่ใช่แค่ทำให้เข้ามาติดกับมันเท่านั้น ติดกับมันแล้วเราเปลี่ยน นิสัยตามมันไปด้วย จริงไม่จริง นี่พ่อแม่ต้องลองมองกันด้วยนะครับ 1. นี่ผมถามว่า เด็กรุ่นใหม่นี่ จากวัฒนธรรมมือถือ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต แชดอะไรทั้งหลาย มีแนวโน้มที่จะใจร้อนขึ้นจริง หรือเปล่า เพราะอะไรๆมันก็เดี๋ยวนั้นนะ มันเร็ว ตอนนี้อาจจะยังเห็นไม่ชัด พอลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น อาจจะยิ่งเห็นชัด อยากคุยกับใครก็จะคุยเดี่ยวนั้นน่ะ อยากจะได้อะไรก็ต้องเดี๋ยวนั้น อยากกินอะไร เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องรอไปถึงร้าน ก็โทรสั่งมาถึงบ้านได้นะครับ ผมก็สังเกตลูกผมอยู่เหมือนกัน ว่าหลังๆไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนเท่าไหร่ คือไอ้นู่นไอ้นี่มันต้องเดี่ยวนี้ การรออะไรซัก 5 นาทีดูเป็นเรื่อง ที่ไม่ค่อยมีเหตุผลเสียแล้ว บางทีไปรอเพื่อนผิดเวลากันไปซัก 1 นาทีก็ต้องโทรตามกันแล้ว ใช้มือถือแบบไม่ค่อยจะมีสาระเท่าไหร่ นี่ประการที่ 1 นะครับ ถามว่าแกใจร้อนขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้าเรา
    ไปช่วยวิเคราะห์ก็บอกว่ามันจริง มันก็ต้องมีวิธีแก้โรคใจร้อนของลูกได้นะครับ ใจร้อนนี่ไม่ค่อยดีนะ อีกหน่อยแกจะเป็นคนเครียด เครียดก็ไม่ดีนะ เครียดแล้วสมดุลร่างกายไม่ค่อยดี 2.นี่ผมถามว่าพวกมือถือนี่ทำให้ลูกเรานี่ขี้เหงาขึ้นจริงหรือเปล่า ในอนาคตข้างหน้านี่นะ ผมสังเกตเด็กๆ สมัยนี้ตั้งแต่ลูกศิษย์ผมเป็นต้นไป แกไม่ค่อยมีงานอดิเรกเหมือนสมัยผมแล้ว ประเภทไปเก็บแสตมป์ เก็บดอกไม้มาพับใส่หนังสือ รู้สึกมันตกยุคยังไงก็ไม่รู้ งานอดิเรกของเด็กสมัยนี้ก็คือคุย ว่างเป็นคุย ว่างเป็นแชด อันนี้ก็ไม่รู้ยังไงเหมือนกัน นี่ผมรับลูกศิษย์เข้ามาทำงาน 2 คนก็เห็นวันๆก็ จะต้องพอว่างนี่ก็จะต้องมี ICQ คือ คุยในจอคอมพิวเตอร์ อันนี้ก็ไม่ไหวนะ มันเหมือนพูดโทรศัพท์เลย ก็ต้องคอยปรามๆว่าอะไรกันนักกันหนา ต้องคุยกับใครซักคนให้ได้ตลอดวันหรือไง

    บางคนอยู่กับตัวเองไม่เป็นน่ะ พูดง่ายๆ จริงไม่จริงนี่คือประเด็นที่ 2 ที่ฝากให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยมอง เป็นคนอยู่คนเดียวไม่ค่อยเป็นแล้ว คนที่อยู่คนเดียวไม่ค่อยเป็น มีความสุขกับตัวเองไม่ค่อยได้ ก็น่าเป็นห่วงนิดๆนะครับ ทำยังไงเวลาเขาอยู่คนเดียวเขาก็อยู่ได้น่ะ ลูกศิษย์ผมเคยไปทำเซอร์เวย์ชิ้นนึง กลุ่มตัวอย่างไม่โตหรอกครับ ประมาณซัก 500 คน ถามเด็กมัธยมต้น มัธยมปลาย มหาวิทยาลัย ถามว่า คำถามเด็ดคือถามอย่างนี้ครับ บอกคุณสามารถอยู่คนเดียวได้นานที่สุดเท่าไหร่ กี่นาที กี่ชั่วโมง คำตอบออกมางงมากเลยครับ เด็กมัธยมต้นบอกว่า 10 นาที กับครึ่งชั่วโมง ใกล้เคียงกัน 2 กลุ่ม เด็กโตก็ดีขึ้นหน่อย ได้ประมาณซักครึ่งวันก็น่าห่วง คนขี้เหงานี่ก็น่าเป็นห่วงนะครับ เวลาเขาอยากหาเพื่อน ถ้าเพื่อนดีก็ดีไป ถ้าไม่ดีนี่ก็น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แล้วทำยังไงจะให้เขาอยู่คนเดียวเป็น เป็นคนที่เท่แบบมีท่า ไม่ใช่อะไรๆก็ตามเพื่อน หัดให้อยู่คนเดียว หัดให้มีความสุขกับการอยู่คนเดียวบ้าง อันที่ 3 นี่ ผมมานั่งวิเคราะห์ดู ก็ชวนให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยมองตาม

    เทคโนโลยีนี่มันทำให้เขาเป็นคนห้วนกระด้างขึ้นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แค่ลายมืออย่างที่คุณสนธิอัดลูกชายไปเมื่อกี๊นะครับ อื่นๆด้วยนะครับ ห้วนกระด้างขึ้นหรือเปล่า เดี๋ยวนี้การติดต่อสื่อสารต่างๆนี่ มือถือหรือแชดอะไรก็แล้วแต่ มันต้องสั้น มันต้องกระชับ มันไม่มีพื้นที่ให้เราคุยกันได้นานหรือได้มาก เพราะฉะนั้นความละเมียดละไมของการติดต่อสื่อสาร มันน้อยลง
    ไปด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นนี่ก็น่าเป็นห่วงนิดๆเหมือนกันนะครับ อีกหน่อยจะดูจะเป็นคนเถื่อนๆชอบกล รุ่นใหม่เก่งจริงครับ เร็วกว่าเรา ฉลาดกว่าเรา แต่ดูเถื่อนๆชอบกล กระด้างๆนะ อันนี้จะแก้ยังไง 3-4 เรื่องนี่จะเป็นนิสัยของเจเนอเรชั่นใหม่ เจเนอเรชั่นหัวแม่โป้ง มีอะไรก็กดsms เอา กดคลิกเอานี่นะครับ ใช่หรือเปล่า อันนี้คือสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้านะครับ ตอนนี้ลูกๆเรา

    อาจจะ ป.1 ป.2 ลูกผมโตหน่อย คนเล็ก ป.3 นะครับ พวกนี้นี่รอเขาอยู่นะครับ ความใจร้อน ขี้เหงา กระด้างขึ้น เนื่องจากบริบทของเทคโนโลยีและชีวิตสมัยใหม่นี่นะครับ ตรงนี้นี่น่าคิดว่าจะทำอย่างไรดี ยังไม่รวมเรื่องอื่นที่รอเขาอยู่ข้างหน้าเหมือนกัน เช่น สื่อที่ไม่ค่อยดีกับเด็ก รออยู่เพียบ ต้องใช้ว่าเพียบ ทั้งสื่อรุนแรง สื่อที่ยั่วยุทางเพศนี่มหาศาล วันก่อนผมถามลูกศิษย์ที่จุฬาในห้องเล็กเชอร์ ประมาณ 50 คน ผมบอกว่า ครูจะวานไปซื้อซีดีโป๊ให้ซักแผ่นนี่ พวกคุณต้องการเวลาเท่าไหร่จากห้องเรียนที่สามย่านนี่ ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีทางเกิน 30 นาที แถวมาบุญครองชั้น 4 อะไรก็มี ผมก็ถามต่อว่า ครูอยากได้ซีดีน้องแนทนี่คุณต้องการเวลาเท่าไหร่ มีอยู่ 3 คนเขาบอกว่า 20 วินาทีครับ ในเป้มีครับ ผมก็เลยถามว่า พวกคุณใครยังไม่ได้ดูน้องแนทบ้าง ก็ยกมือประมาณครึ่งห้อง ผมก็สดุดีสรรเสริญว่าพวกคุณดีมาก ไม่ไปยุ่งกับเรื่องพวกมันไม่ค่อยดีหรอก เปล่าหรือกครับ ก็มีคนนึงพูดอย่างซื่อมาก บอกเปล่าครับอาจารย์ ผมรอเพื่อนไรท์ให้อยู่ ตอนนี้มันกลายเป็นสื่อสาธารณะไปแล้วมั้งพวกนี้ หาง่ายนะครับ แล้วบางทีนี่มันมาในรูปแบบแปลกๆนะครับ การ์ตูนฝากคุณพ่อคุณแม่ช่วยดูกันดีๆนะครับ การ์ตูนเดี๋ยวนี้ก็ไม่เบานะครับ เห็นหน้าปกดูใสซื่อ แต่ข้างในนี่ไม่ใสซื่อเลยนะครับ มันมีตั้งแต่โป๊วับๆแวมๆไปกระทั่ง โป๊โจ๋งครึ่ม ไม่ดีเลยๆ เรากำลังพยายามรณรงค์ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นกลไกหลักผลักดันกฎหมายคุมเรื่องนี้นะครับ แล้วก็ลงโทษผู้พิมพ์เผยแพร่อย่างรุนแรง คือเรียกว่ามีการเสนอกันบอกว่า ใครพิมพ์ จับได้ว่าพิมพ์สื่อลามกพวกนี้นะครับ คือให้ออกจากวิชาชีพนั้นไปเลย กลับเข้ามาสู่วงการพิมพ์อีกไม่ได้ ก็ไม่รู้จะสำเร็จไปซักแค่ไหนนะครับ แต่ว่าสื่อมันทำอะไรกับเด็กเยอะนะครับ งานวิจัยต่างประเทศชี้ค่อนข้างชัด คนที่ดูสื่อลามกอนาจารแต่เด็กนี่นะครับ แน่ๆเลยทางจิตวิทยา

    โดยเฉพาะเพศชายจะพัฒนาทัศนคติที่ค่อนข้างจะเป็นลบกับเพศหญิง ซึ่งอาจจะนำไปสู่พฤติกรรมการคุกคามด้วยวาจา สายตา หรืออะไรอื่นๆอีกมากมาย มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศไปนะครับ ไปจนถึงเรื่องที่สื่อลามกมันก็โยงไปกับเรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นอะไรต่างๆ
    พอสมควร งานวิจัยของอเมริกาเขาบอกว่า พวกเด็กวัยรุ่นอเมริกัน ตอนที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมันมีสื่อลามกเป็นแรงกระตุ้นอยู่ประมาณซัก 30% คือใน 10 คนอาจจะมีซัก 3 คนที่ตอนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ถูกกระตุ้นด้วยสื่อพวกนี้ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ธรรมดานะ พวกสื่อลามกนี่มันชักจะเข้ามารุกราน ความคิดจิตใจเด็กเรามากหรือเปล่า อนาคตที่รอเขาข้างหน้าอยู่มันเป็นอนาคตที่มันยั่วให้เขาหมกมุ่นทางเพศมากขึ้นหรือเปล่า อันนี้ก็น่าห่วง เรื่องที่ 5 นะครับ เรื่องการพนัน ผมว่าตอนนี้ก็น่าห่วงนะครับ เพราะว่าสังคมไทย โดยบริบทของการพัฒนา ทิศทางเชิงนโยบายของหลายๆเรื่อง มันจะเป็นรวยลัดวัดดวงมากขึ้น ขอใช้คำแรงหน่อยก็คือ สองเรื่องนี่ไม่รู้เดี๋ยวต้องให้คุณสนธิช่วยวิจารณ์ต่อ โดยวิธีการปัจจุบันนี่ มันจะกลายเป็นสังคมรวยลัดวัดดวง หรือไม่ก็ขี้ขอรอทานหรือเปล่า คือเอะอะอะไรก็รอรัฐบาลมาปลดหนี้ให้แล้วกัน ไม่เชื่อก็ไปตามต่างจังหวัดดูสิครับ มีป้ายเต็มไปหมดเลย ว่าปลดหนี้ๆ เดี๋ยวนี้โฆษณาหาเสียงก็มีแต่ปลดหนี้คุณจะไปปลดได้ยังไง ก็คุณไม่ทำงานน่ะ ประชาชาติที่เข้มแข็งมันไม่ได้มาจากฐานของการช่วยกันปลดหนี้นะครับ มันมาจากความขยันขันแข็ง บากบั่น อดทนนะครับ กับเรื่องรวยลัดวัดดวงนี่มันก็น่าห่วง ตอนนี้มองไปทางไหนมันก็มีแต่หวยนะครับ เต็มไปหมดเลยก็น่าคิด

    ตอนนี้เยาวชนที่อยู่วงจรของการพนันก็มีอยู่ครึ่งล้านคน อย่างต่ำประมาณ 4 -5 แสนคน ที่คือช่วงวัยรุ่นตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงอุดมศึกษานะครับ จากผู้เล่นการพนันบอลทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านคน เป็นเด็กซักประมาณ 1 ใน 5 นี่ก็รอเขาอยู่ ยังมีคนเสนอผมบอกว่า ถ้าอาจารย์อยากจะไปลงโฆษณา ลงคำขวัญเตือนวัยรุ่นทั้งหลายนี่ นิตยสารที่น่าไปลงมากที่สุดสำหรับเด็กผู้ชายนะครับ คือสตาร์ซอคเกอร์ เพราะทุกคนต้องซื้อ นี่ก็เรื่องที่ 5 นะครับ ที่รอเขาอยู่ วิธีคิดแบบเสี่ยงโชค วิธีคิดแบบนักพนัน เรื่องที่ 6 นะครับ เรื่องการไกลวัดนี่รอเขาอยู่เหมือนกัน สภาพปัจจุบันเด็กก็ไม่ค่อยไปวัดกันแล้วนะครับ เดี๋ยวต้องมาขยายอีกมีว่า ทำให้เด็กไปวัดไปอย่างไร เรื่องที่ 7นะครับ เรื่องเหล้า ตอนนี้น่ากลัวนะครับ การจัดระเบียบเรื่องการขายเหล้าไม่ค่อยดีเลย ข้อมูลจากครูต่างจังหวัดที่ผมเก็บมา ผมว่ามันน่าเศร้ากับการเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ เดี๋ยวนี้มีการนำเหล้าขาวไปกรอกขวด น้ำยาดื่มบำรุงกำลังก็มี นำเหล้าขาวไปกรอกใส่ขวดน้ำโพลาลิสขายเด็กก็มี เดี๋ยวนี้มีนะครับ ไม่ใช่มีแต่เหล้าขวดกลม ขวดแบน ขวดกั๊ก เดี๋ยวนี้ก็มีแบบขวดกิ๊ก คือขวดเล็กๆขนาดยาบำรุงกำลัง ไปขายขวดละ 15-17 บาท ขายเด็ก เด็กกินเหล้ามันก็สารพัดปัญหาตามมา เรื่องเพศ เรื่องอุบัติเหตุอะไรมากมาย ก็สังคมขี้เมารอเขาอยู่หรือเปล่า เรื่องที่ 8 นี่ พื้นที่ดีๆกับเด๋กในสังคมนี่มันน้อย ผมทำโครงการสถานการณ์ติดตามเด็กรายจังหวัด เราลงไปนั่งนับนะครับ เขตอำเภอเมือง พื้นที่ดีกับไม่ดีนี่มันต่างกันกี่เท่า พื้นที่ไม่ดีได้แก่ผับ เธค คอกเทลเลาท์ โต๊ะสนุ้กอะไรพวกนี้ว่าไป พื้นที่ก็อยากเช่นสวนสาธารณะ ลานกีฬา ลานกิจกรรมของเยาวชน มันออกมาประมาณ 227 ต่อ 26 คือประมาณ 9-10 เท่า ประเด็นของผมก็คือ แบบนี้เด็กมันจะดีได้อย่างไร ก้างพ้นจากบ้าน ก้าวพ้นจากโรงเรียน โอกาสที่จะโดนดึงโดยพื้นที่เสี่ยงมันมีมากกว่า 10 เท่า อันนี้ลูกต้องมีภูมิต้านทานนะครับ นี่ก็รอเขาอยู่ในอนาคต เรื่องที่ 9 อีกหน่อยเขาจะเป็น คือตอนนี้ระบบการศึกษามันไม่ได้สอนให้เด็กไทยรู้จักเด็กไทยด้วยกันเท่าไหร่ ปัญหาภาคใต้นี่ชัดเจนมาก คนไทยไม่ค่อยรู้จักกันนะครับ เด็กไทยที่กรุงเทพฯก็ไม่ค่อยรู้จักกัน กับเด็กไทยที่อีสานเขาเป็นยังไง เขามีอารยธรรมร่ำรวยยังไง นอกจากมีข่าวจากหนังสือพิมพ์เป็นระยะๆว่า คนอีสานกินหมา จบ ไม่ได้รู้อะไรมากกว่านั้น เด็กอีสานก็ไม่รู้ว่า เด็ก 3 จังหวัดภาคใต้เป็นยังไง อาจจะไม่พร้อมจะเข้าใจด้วย เด็ก 3 จังหวัดภาคใต้ก็ไม่รู้ว่าเด็กชาวเขาเป็นอย่างไร เด็กไทยรุ่นใหม่เป็นเด็กซึ่งมีแนวโน้มไม่ค่อยจะรู้จักเด็กไทยด้วยกัน หรือคนไทยด้วยกันทางวัฒนธรรมสูงนะครับ ตรงนี้น่าห่วงนิดๆ ในฐานะมองภาพรวมสังคม อีกหน่อยสังคมมันขัดแย้งกันง่ายๆ ถ้าคนไทยไม่พยายามที่จะรู้จัก รักและเข้าใจกัน เรื่องสุดท้ายครับ เรื่องการเรียนรู้ สังคมอนาคตแน่นอนครับ ถ้าบอกว่าลูกต้องเรียนหนักขึ้น ในแง่หนึ่งก็จริงนะครับ แต่ผมว่าถ้ามองแต่เพียงว่า ทำให้เขาเกิดฉันทะ เกิดเครื่องมือการเรียนรู้ที่ดี บางทีมันก็ไม่หนักเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้ให้เนื้อหา ไม่ได้เครียด ไม่ต้องอะไรมาก แต่ว่ามีวิธีเรียนรู้ที่ดี ปัญหาคือระบบการศึกษาตอนนี้ แทนที่จะไปเน้นการวัดฉันทะ นิสัย และก็ทักษะในการเรียนรู้ของเด็กเป็นน้ำหนักค่อนข้างสูงนี่นะครับ ก็ยังวัดเนื้อหาค่อนข้างเยอะ คุณพ่อคุณแม่นี่ก็เครียดไปสิ ก็ต้องพยายามติวเข้มลูกอะไรต่างๆ ก็จำเป็นนะครับ ก็ไม่เถียง แต่ว่าเรื่องเนื้อหาการเรียนรู้ยังไม่สำคัญเท่ากับฉันทะและทักษะการเรียนรู้นะครับ ผมได้ข้อคิดนี้มากับตัว กับลูกชายคนโต วันก่อนผมพาเขาไปเข้าค่ายป่าชายเลนนะครับ มันเป็นค่ายซึ่งสำนักงานกองทุนศูนย์การวิจัยจัดขึ้น เพื่อเขาจะลองพัฒนาคู่มือการพาเด็กไปเรียนรู้ต่างๆ จัดขึ้นมาก็มีเด็กไปซัก 40-50 คนนะครับ ผมก็เป็นพ่อที่ปวดมากเลยนะครับ พาลูกไปนี่ก็ปอดมากเลย เพราะว่าลูกผมมันเถื่อนๆหน่อย ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเวลาไปทริปอะไรแบบนี้ ก็ปรากฏว่าผมตกใจไปเลยนะครับ นึกไม่ถึงว่าตลอดทริป 2 วัน ลูกชายผมดีมากเลยครับ ร่วมมืออย่างดี ไปตรงไหนเขามีใบงานอะไรให้จดข้อมูลก็จดๆๆมานะครับ ถึงตอนเย็นมีการประชุมกลุ่มเด็กให้ช่วยกันตอบ ช่วยกันเขียน ก็ตอบได้มากกว่าเพื่อน ตอบละเอียดแบบผู้ใหญ่อ้าปากค้างไปเลย วันนั้นไอทีวีเขาไปทำสารคดีเรื่องนี้ เขายังจะเอาลูกผมไปออกทีวีเลย บอกว่ามันตอบเก่งมากเลย แล้วก็จดๆๆๆ ไป สันทนาการก็เอสนะครับ ให้ออกไปเต้นระบำส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอะไรทำกับเขาหมด ผมทึ่งลูกมาก พอตกเย็นผมก็ขึ้นลิฟท์กลับไปห้องพักกับเขานี่ ผมก็ชมเขา อยู่กันในลิฟท์ 2 คน ว่าเออ นนท์ นี่พ่อขอชมนะ นึกไม่ถึงนะ ว่าลูกทำไมน่ารักอย่างนี้ ปกติลูกจะไม่ค่อยชอบถูกตีกรอบอะไรแบบนี้นะ วันนี้ลูกทำได้ดีมากเลย ทั้งจดใบงาน ตอบคำถาม สันทนาการอะไรดีหมดเลย เห็นไหมว่าเวลาลูกสนใจอะไรซักเรื่องหนึ่ง คือมีฉันทะนี่ ลูกก็ทำได้ดีใช่ไหม แสดงว่าลูกชอบเรื่องป่าชายเลน สนใจเรื่องป่าชายเลน ลูกก็เลยทำได้ดี ดีมากเลยพ่อขอชม ลูกผมบอกว่า ใครบอกว่านนท์ชอบ คุณพ่อเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็เขาบอกให้จดใบงานก็จดไปสิ จดก็จดให้มันดีๆ คุณพ่อไม่ให้นนท์จด แล้วจะให้นนท์ไปทำอะไร เขาก็จับเด็กเดินเข้าแถวๆไปอย่างนี้ ให้ไปไหนก็ไม่ให้ไป แตกแถวก็ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็จด แล้วเวลาเขาถามก็ตอบให้มันเสร็จๆไป จะได้ไปดูทีวีต่อ อึ้งกึมกี่ไปเลยครับ ผมเลยโอเค บางทีคนเราก็ทำอะไรได้ดีโดยไม่มีฉันทะนะครับ จริงไหม แต่จะดีกว่านี้ถ้ามันมีฉันทะนะครับ น่าคิด ระบบการศึกษาอาจจะไม่ได้ปลูกฝังให้ลูกเรามีฉันทะเท่าไหร่ อาจจะทำให้เขาเป็นเด็กที่เก่ง ทำอะไรได้ดี แต่ตัวฉันทะหายไปไหนก็ไม่ทราบ แปลว่าอะไรนครับ แปลว่าอยู่มาวันนึง ถ้าออกจากระบบการศึกษาไป เขาก็อาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจจะรู้อะไรก็ได้ เพราะมีความรู้สึกว่า พ้นการบังคับมาแล้ว ถ้าไม่บังคับฉัน ฉันก็ไม่ทำ ก็จบ แต่โลกข้างหน้ามันต้องการคนมีฉันทะนะครับ โลกข้างหน้าต้องการคนมีฉันทะเรื่องการเรียนรู้ ถ้าไม่มีนี่ตายเลยนะครับ เพราะมันมีข้อมูล มีความรู้ มีอะไรเกิดขึ้นมากมายทุกวัน 10 เรื่องนี่มันเหมือนกันอนาคตมันรอลูกเราอยู่ บางเรื่องก็น่ากลุ้มมาก บางเรื่องก็น่ากลุ้มน้อย แต่มันก็มีความปริมาณความกลุ้มใจต่างๆกันนะครับ แต่ว่าอยากปิดเชิงบวก ผมว่ายังไงล่ะครับ ปัญหามันมีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้มนะครับ ก็บางเรื่องผมคิดว่าเราทำได้นะครับ โดยเป็นพ่อแม่ใจสู้เสียอย่าง ผมว่ามีทางแก้ได้หลายเรื่อง แต่อันนั้นขอเอาไว้พูดตอนรอบสอง รอบสามก็แล้วกัน นี่ก็ขอพูดถึงภาพอนาคตก่อน ขอบคุณครับ

    สรวงสมณฑ์ – ค่ะ ในส่วนของอาจารย์อมรวิชช์ก็ชัดเจนว่า เป็นการทำจากงานวิจัยของอาจารย์เอง และก็ได้มีการวิเคราะห์ในบทบาทของการเป็นพ่อด้วย แล้วตั้งเป็นคำถามว่าจริงหรือเปล่า ก็ต้องถามตัวเองด้วยนะคะ ว่าปัจจุบันนี้ ลูกเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ใจร้อน ขี้เหงา กระด้างหรือเถื่อน หมกมุ่นทางเพศ การพนัน การพนันนี่เดี๋ยวดิฉันจะโยนคำถามไปถึงคุณสนธิ ที่อาจารย์ฝากถามว่า ในเรื่องของการวัดดวง รอปลดหนี้ แล้วก็รอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แล้วทำให้โครงสร้างของระบบนโยบายสืบลงมา ทำให้ลูกๆของเรา จะมีโอกาสเดินตามรอยนโยบายหรือเปล่านะคะ แล้วก็ยังมีในเรื่องไกลวัด พื้นที่ดี พื้นที่ไม่ดี เป็นตัวอย่างที่น่าตกใจเช่นเดียวกันนะคะ เด็กไทยไม่รู้จักกันทาวัฒนธรรมค่อนข้างมาก แล้วเรื่องของการเรียนรู้ ที่จบไป ทีนี้ต้องหันมาเรียนถามคุณสนธิแล้วค่ะว่า ภาพรวมที่อาจารย์ได้พูดขึ้นมา แล้วอยากให้คุณสนธิได้สะท้อนภาพรวมกรอบใหญ่ตรงนี้ด้วย เนื่องจากว่าสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ สังคมบ้านเรา สภาพปัญหาของทางสังคมนี่มันเยอะเหลือเกิน งานวิจัยอาจารย์อมรวิชช์ทำมาตรงนี้ คุณสนธิมองยังไง มันไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากทั่วโลกหรือเปล่า ในบ้านเรานี่ใกล้ตัวแล้ว ในสถานการณ์ภาคใต้ แล้วทั่วโลกที่เกิดความรุนแรงมันเกี่ยวกับโลกอนาคตหรือเปล่า แล้วอีก 10-20 ปีข้างหน้านี่ จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไรค่ะ

    สนธิ – เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าจะให้ตำหนินี่ ผมคิดว่า 90% ต้องตำหนิที่สื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โทรทัศน์ เพราะว่าเป็นตัวที่สร้างสรรค์คนให้เป็นคนได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะทำลายคนให้เป็นสัตว์นรกได้เช่นกัน ผมคิดว่าโดยพื้นฐานส่วนใหญ่แล้ว โทรทัศน์ในเมืองไทยนี่กำลังที่จะทำให้คนไทย กลายพันธุ์เป็นสัตว์นรกเข้าไปทุกวั น คือผมพูดมาตลอดเวลาว่า สื่อมวลชนมันเป็นผลพวงของระบบเศรษฐกิจของสังคม ถ้าตราบใดเรายังเน้นเศรษฐกิจของมือใครยาวสาวได้สาวเอา แล้วก็ไม่มีความเอื้ออาทรทางจิตใจแล้วนี่ ขาดศีลเนี่ย สังคมนี้มันจะชั่วร้ายไปเรื่อยๆ ผมยกตัวอย่าง เมื่อกี๊ระหว่างอาจารย์อมรวิชช์พูดนี่ ผมก็ว่ามันจริงนะ นานมาแล้วครั้งหนึ่งรุ่นพ่อผม ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คงจะซักประมาณเกือบ 90 แล้ว 88 รุ่นพ่อรุ่นแม่ผมนี่เขาแต่งงานกันเร็ว ทำไมเขาแต่งงานกันเร็ว เพราะเขามองว่า เด็กนี่พออายุครบ 18 พอบวชเรียนแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่ออกมาก็สร้างชีวิต สร้างครอบครัวได้ เพราะฉะนั้นรุ่นพ่อแม่ผมจะเป็นรุ่นซึ่ง รุ่นปู่รุ่นย่าของผมก็เหมือนกัน จะเป็นรุ่นที่แต่งงานเร็ว 18-20 ปี ถ้าเป็นสังคมจีนในแผ่นดินใหญ่จีน เผอิญพ่อผมเกิดในเมืองไทย แต่ถ้ารุ่นปู่รุ่นย่าผม อากงอาม่าที่อยู่เมืองจีน เขาก็จะแต่งงานกันอากงก็ซัก 17 ปีอาม่าซัก 15 อะไรทำนองนี้ การแต่งงานในยุคนั้นเพื่อช่วยทำมาหากิน ก็สรุปเอาง่ายๆว่ารุ่นผู้ใหญ่จะแต่งงานเร็ว แต่พอต่อมาสังคมมันวิวัฒนาการไป กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ถ้าไปจบการศึกษา กลับไปตั้งมาตรฐานว่าต้องจบปริญญาตรี ปริญญาโท ต้องเรียนอันโน้นอันนี้ แล้วค่อยมาก่อร่างสร้างตัว วัยของคนที่แต่งงานก็เริ่มขยายมาเรื่อยๆ จาก 18-19 มาเป็น 20 กว่าบ้าง เป็น 26-30 ปี

    สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างได้ชัดที่ผมเห็นก็คือ สถาบันการแต่งงานสมัยก่อนเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะไม่มีการจัดกันในโรงแรม แต่ว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก เพราะว่าเป็นการเอาผู้ใหญ่ 2 ฝ่ายมารับรู้กัน เอาญาติพี่น้องมา สมัยผมแต่งงานกับภรรยาผมก็ค่อยข้างโบราณอยู่ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ก็มีการแห่ขบวนขันหมาก ซึ่งในยุคปัจจุบัน ในกทม.นี่หากันไม่ค่อยจะได้ ผมจำได้ว่าผมแค่จากถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ ไปที่หัวหมาก ตอนนั้น พอถึงปากซอยแล้วก็ลงจากรถมา อาจจะมีดูได้บ้างในบางครั้ง แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันหายไปหมดแล้ว แต่พอมายุคนี้แล้ว สถาบันการแต่งงานในสมัยก่อน การแต่งงานมันหมายถึงวันที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะสมสู่กันอย่างด้วยความยินยอมพร้อมใจของพ่อแม่ เป็นที่เข้าใจว่า สุภาพสตรีในวันแต่งงานนั้น วันแรกคือวันที่จะต้องเสียความบริสุทธิ์ เป็นที่เข้าใจเช่นนั้น ก็จากปู่ย่าตายายแต่งงานเร็ว มาถึงยุคพวกเราแต่งงานช้าลง และเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้เสียตัวเร็ว เห็นหรือยังครับ นั่นก็คือการแต่งงานอีกรูปแบบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กม.3-4 คือถ้านับว่าการเสียตัวของผู้หญิง แล้วการได้ของผู้ชายครั้งแรกต้องถือว่าเป็นการแต่งงานในกระบวนของคนโบราณ เราก็เห็นว่าตอนนี้เริ่มกลับมามีเพศสัมพันธ์กันเร็วเหมือนสมัยโบราณมากขึ้น แต่ว่าพื้นฐานของการที่จะมามีอะไรกันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ชัด อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากๆ กลายเป็นเรื่องของกามารมณ์ ที่ถูกปลุกและถูกสร้างขึ้นมาโดยรายการโทรทัศน์เลวๆ การประพฤติตนเลวขององค์กรไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นละครต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลงที่มีชื่อไปดูได้เลย พวกนี้เป็นพวกที่ทำให้สังคมผิดเพี้ยนไป เพราะเขาไปมองว่ากำไรเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณค่าทางวัฒนธรรม , ศีลธรรมไม่สำคัญ แต่สนใจที่ราคาทางตัวเลข ทางราคาหุ้นจะขึ้นได้สูง เขาก็จะทำทุกวิถีทาง ฉันใดฉันนั้น เมื่อใดก็ตามที่สื่อมวลชนกระโดดเข้าไปเอาเรื่องกำไรขาดทุนเป็นตัวหลักแล้วนี่ ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที เพราะว่าบริษัทที่ทำสื่อสารมวลชนทั้งโทรทัศน์ทั้งสื่อทางด้านอื่นนี่ เมื่อเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เขาจะสนใจกำไรต่อหุ้น ซึ่งจะได้จากสังคมที่พร้อมที่จะเข้ามาใช้สื่อสารมวลชนในแนวนี้ คนที่เข้ามาใช้คือคนที่สนใจในลักษณะที่มีกิเลสมากๆก็จะชอบนะครับ อย่างที่อาจารย์พูดถึงลูกศิษย์ในเรื่องซีดีน้องแนทนะครับ ซึ่งถ้าเราดูความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ถ้าคิดแล้วมันก็น่ากลัว น่ากลัวตรงที่ว่า คนอย่างน้องแนทนี่โดนเอาวีซีดีมาเผยแพร่ จนกระทั้งทุกคนนี่รู้จักน้องแนทไปหมดว่าเป็นคนซึ่งเริงร่ากามารมณ์แล้วก็ถ่ายทอดออกมาให้คนเห็น ถ้าเป็นสมัยโบราณนี่ ผู้หญิงอย่างน้องแนทฆ่าตัวตายไปแล้ว หรือไม่หลบหลีกลี้หนีหน้าไปบวชเป็นชี หรือว่าไปอยู่ในมุมๆหนึ่ง แล้วก็อยู่ด้วยตัวเอง แต่ปรากฏว่าสังคมยุคนี้ น้องแนทกลับเดินสาย ผมเป็นคนซึ่งไม่ได้มีความคิดขัดแย้งกัน ความคิดที่ท่านผู้มีเกียรติฟังแล้วอาจจะคิดว่าขัดแย้ง คือผมเคยฟังท่านอาจารย์เสรี วงศ์มณฑาพูดแล้วนี่ ผมไม่เห็นด้วย ขออนุญาตเอ่ยชื่อ ซึ่งถ้าวันหลังถ้าใครจะจับผมชนกับอาจารย์เสรี ผมยินดีมา อาจารย์เสรีพูดบอกว่า โทรทัศน์ต้องให้ตามที่คนดูต้องการ คนดูต้องการอะไรก็ให้ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ผมก็ถามกลับไปที่พ่อแม่ที่นั่งอยู่ในนี้ ว่าถ้าลูกต้องการอะไรก็ตาม คุณจะให้เขาหมดไหม ผมทำงานในสื่อมวลชนผมรู้ตลอดเวลา ว่าคนนี่ชอบเสพข่าวที่อยากรู้ แต่ไม่ชอบข่าวที่ควรรู้ ถามว่าสังคมแบบนี้เป็นการต้องการการประคองตัวออกไป เราต้องช่วยกันประคองออกไป เพราะฉะนั้นสังคมที่ดูแลสื่อมวลชนนั้นต้องดูแลให้สื่อมวลชนให้สิ่งที่ควรรู้ให้กับสังคม ก็ถามกลับว่าเป็นเผด็จการไหม ผมตอบว่าไม่ใช่ เพราะว่าในอีกด้านหนึ่ง สื่อมวลชนสังคมก็ต้องพร้อมที่จะเปิดสิทธิเสรีภาพ ให้คนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้เช่นกัน ต้องแยกให้ถูก คุณจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของผมได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน ในเรื่องของการเสพสมนั้น ผมจำเป็นเผด็จการกับคุณ ผมถามมาคำนึง ถ้าพรุ่งนี้ผมมีอำนาจอยู่ในแผ่นดิน ผมเสนอสภาผู้แทนราษฎรบอกว่า จากนี้ไปช่อง 3,5,7,9 และไอทีวี ห้ามไม่ให้มีรายการที่ส่อไปในทางเสพสม ส่อไปในทางทำลายศีลธรรม รายการเกมโชว์บ้าๆบอๆซึ่งไม่เคยให้สาระให้ปัญญาคน รายการละครซึ่งเดียวนี้แสดงถึงความต่ำในชีวิตจิตใจของมนุษย์นี่ ถ้าผมเสนออย่างนี้ไป ท่านผู้มีเกียรติก็อาจจะบอกว่า ถ้างั้นใครจะไปดูทีวี ไม่เป็นไร ผมห้ามซักปีนึงนี่ดูกันไหม ดู ผมเอาเรื่องที่มีสาระ มีคุณธรรมใส่เข้าไป มันไม่มีทางเลือกมันต้องดูกัน ทุกวันนี้ที่มันเป็นเช่นนี้ เพราะว่าเราไปเปิดโอกาสในเจ้าของกิจการมีความโลภเหนือคุณธรรมเข้ามา เป็นปรากฏการณ์บูชาฮีโร่ของเด็กวัยรุ่น แสดงว่าสังคมไทยนี่ฮีโร่มันไม่มี เพราะว่าฮีโร่จะเกิดขึ้นเมื่อสื่อมวลชนให้มันเกิดขึ้น ถ้าสื่อไม่ให้มันเกิด มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ แต่สื่อมวลชนดันทะลึ่งไปเลือกฮีโร่แบบนี้คือมา หรือว่าการเกิดเกมที่ว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่น่าอาย ก็เลยเอาผู้ชายคนหนึ่งมา แล้วก็มีผู้หญิง 10 คนมาให้เลือก แล้วก็ไปถ่ายว่าผู้หญิงแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็พากันไปเที่ยวกัน 2-3 วัน ไปนอนกัน แล้วมันก็กลับกันมาบอกว่าเออ น่ารักนะ ผมชอบคุณนะ แต่คุณไม่ใช่ แล้วก็ซอยลงไปเรื่อยๆจาก 10 คนให้เหลือ 8 คนจนกระทั่งคนสุดท้าย รากเหง้าในสังคมแต่ละรากเหง้ามันไม่เหมือนกัน เรานี่ต้องรักษารากเหง้าเรา อิทธิพลของสื่อมวลชนเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุด ในสายตาของผม ที่จะก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมขึ้นมา แล้วถ้าพ่อแม่เองไม่มีสติในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ จะไปสอนให้ลูกมีสติได้อย่างไร ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถที่จะจำแนกตรงนี้ออกได้ ผมยังเชื่ออยู่อย่างบริสุทธิ์ใจ ปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง จะได้ทุเรียนได้อย่างไร ลูกเราเป็นอย่างไร ส่วนนึงมาจากสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชนส่วนนึงที่สำคัญมากมาจากตัวพวกเรา ถ้าเรารู้จักสร้างองค์ความรู้ให้ลูกเรา เรารู้ว่ามีสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ แต่เราต้องกัดฟันสู้ เราต้องหมั่นให้ลูกของเราเกิดความเคยชินกับเรื่องที่มีสาระ ต้องพยายามให้เขาเข้าไปสู่กระบวนการและกระแสเรื่องที่มีสาระ เราไม่ให้เขาไปอย่างนั้นไม่ได้ อันนี้สำคัญที่สุด และต่อมาเราจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ ถึงความถูกต้องแล้วความไม่ถูกต้อง เหตุการณ์อะไรที่เป็นกระแส อย่างกรณีของจอยส์ที่เกิดขึ้นเนี่ย เราต้องเล่าให้เขาฟัง ว่าลูกเห็นไหมว่าผลเป็นอย่างไร อย่าไปเพียงแต่ดูเหตุการณ์แล้วก็เฉยๆไป ผมคิดว่าจับเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มาแล้วก็ประยุกต์เข้าไปสู่คำสอนให้เขาเห็น และซึมซับซึมทราบ ข้อดีของผมและภรรยาผมที่มีลูกชาย เราสอนเขาเรื่องการเที่ยว ผมจำได้ เราอธิบายให้เขาฟังว่า ลูกอยากไปเที่ยวก็ไปเที่ยว ลูกอยากมีเพื่อนมาก็มาที่บ้าน จะทำอะไรก็ได้ทั้งคืน แต่ขอให้ป๋ากับแม่ได้รู้จักเพื่อนๆลูกหน่อยได้ไหม นั่นข้อที่ 1 ผมจำได้ว่าเขาไปเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียตอนนั้น คือพอเขาเริ่มเขาเข้ามหาวิทยาลัยเขากลับมาบ้าน ช่วงนั้นรู้สึกว่าแหล่งท่องเที่ยวคือทอรัส มีชื่อมาก อยู่ตรงซอยอารีย์ วันศุกร์ วันเสาร์ผมถามเขาว่าไม่ไปเที่ยวหรือ เขาบอกวันเสาร์วันเดียว พอไปผมนึกว่าเขาจะกลับตี 4 ตอนเช้า ประมาณเที่ยงคืน ตี 1 เขากลับมาแล้ว ผมยังนั่งทำงานอยู่ บอกปั๊บทำไมรีบกลับล่ะ เขาบอกว่าไม่ไหว เหม็นบุหรี่ มันไร้สาระ น่าเบื่อ คือคำว่าน่าเบื่อเพราะว่าส่วนใหญ่ต้องยกเครดิตให้แม่เขา เพราะเขาเป็นคนสอนความมีสาระให้กับลูก ว่าควรจะมีอย่างไรบ้าง เขาก็เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ คืออย่างน้อยที่สุดปัญญาตรงนี้เกิดเพราะว่า พ่อกับแม่ต้องเป็นคนให้ เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ยุ่งกับลูกเลยคือเรื่องผู้หญิง เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกันผมก็บอกเขาว่า อย่าไปหลอกผู้หญิง อย่าไปให้เขาเสียเวลา นั่นคือสิ่งเดียวที่เราขอ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจและทำใจไม่ได้เลย เช่นการที่เด็กม.5 สาธิตเกษตรไปประกวดซุปเปอร์โมเดล ในฐานะที่ผมเป็นพ่อ ผมไม่เข้าใจว่าพ่อกับแม่ของเขาปล่อยให้ลูกไปประกวดได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะได้ตำแหน่งมา แต่ผมคิดว่ามันเกินขอบเขตของเด็กม.5 ที่พึงกระทำ ผมอยากจะพูดเรื่องพ่อแม่มากกว่า เพราะว่าผ่านวัยที่พวกคุณเป็นกันมานานแล้ว อีกไม่นานคุณก็จะเจอในยุคที่ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ข้อคิดที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ ในช่วงที่เขายังเด็กอย่างนี้ เราควรอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่สวยงามที่สุด เพราะพ้นตรงนี้ไปโอกาสก็ไม่มีอีกแล้ว เรื่องที่ 2 ที่อยากจะฝากก็คือ พวกเรานี่ละเลยในเรื่องสุขภาพและอาหารการกินอย่างมาก ผมเองค่อนข้างระมัดระวังในการทานอาหาร ถ้าเราไม่รู้จักระวังในการรับประทานอาหาร และไม่สอนลูกเราในการรับประทานด้วย อาหารที่ถูกต้องมีประโยชน์ต่อร่างกาย คือยาที่ถูกต้องที่สร้างภูมิคุ้มกันแต่เราในระยะยาว เพราะหลังจากนี้ถ้าใครติดตามข่าวจะเห็นว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการออกมาเตือนว่า ไข้หวัดใหญ่จะระบาด ซึ่งกลายพันธุ์มาจากไข้หวัดนก ทำให้ตอนนี้ ภูมิคุ้มกันยิ่งสำคัญกว่าเดิม อีกอันนึงที่อยากจะให้ข้อคิด คือเรื่องของศาสนา คือเด็ก 3-4 ขวบนี่พ่อแม่ชอบพาไปวัด แต่พอ 10 ขวบนี่มันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ การเข้าวัดนั้นบางครั้งไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม การอยู่กับปูชนียสถาน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหลายๆอย่าง มันเป็นการหล่อหลอมจิตใจ ให้เด็กนี่ใจเย็นลง ผมไม่อยากให้พวกเรา พอถึงวันหยุดแล้วพาลูกเข้าห้าง ลองพาลูกไปพิพิธภัณฑ์บ้าง ไปหอศิลป์ หรือว่าไปดูทัศนียภาพ ไปท่องเที่ยว ให้เขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ เพราะว่าที่เราเจอทุกวันนี้มันเป็นสิ่งหลอกลวง ทุกอย่างที่เราทำเป็นเรื่องที่ทำให้สุขภาพเราดี ไม่ใช่ว่าอะไรๆวิทยาศาสตร์ไปหมด เรื่องสุดท้ายคือเรื่องการให้ความรักความอบอุ่นกับลูกนี่สำคัญมาก แต่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ลูกเป็นคนดี อย่าสอนลูกว่า การมีเงินตรา การร่ำรวยนั้นเป็นที่สุด อันนั้นไม่ใช่ สอนให้ลูกตื่นมาตอนเช้าให้คิดดี ทำดี การที่จะสอนเช่นนั้นได้ พวกเราต้องทำก่อน ก็คือเมื่อเราตื่นมาตอนเช้าต้องคิดดี ทำดี ผมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ ขอบคุณครับ

    สรวงสมณฑ์ – ค่ะ ดิฉันคงไม่ต้องสรุปอะไรนะคะ กับหัวข้อเลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะกับอนาคต คิดดี ทำดี ขอบพระคุณมากค่ะ

    สโรชา – เป็นอย่างไรคะ การสัมมนาหัวข้อเรื่องเลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะสมกับโลกอนาคต หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์นะคะ ต้องยอมรับว่าสมัยนี้สื่อเข้ามามีอิทธิพลต่อการเลี้ยงลูกอย่างมาก หวังว่าทั้งหมดที่ฟังไป คงจะเป็นประโยชน์ที่นำไปใช้ได้ค่ะ เวลาหมดลงแล้ว สำหรับก่อนจะถึงวันจันทร์ กลับมาพบกันใหม่ในอาทิตย์หน้านะคะ สำหรับวันนี้ลาไปเพียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีค่ะ
    กำลังโหลดความคิดเห็น