xs
xsm
sm
md
lg

ในหลวงทรงห่วงสังคมเยาวชน-ภัยบุหรี่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะบุคคลต่างๆเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา

ในเวลาประมาณ 16.20 น. วันที่ 4 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังบริเวณศาลาดุสิดาลัย เมื่อเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งแล้ว ทรงพระราชดำเนินผ่านแถวผู้ที่เข้าเฝ้าฯ บริเวณด้านทิศใต้ของศาลาดุสิดาลัย หลังจากนั้นเสด็จขึ้นศาลาดุสิดาลัย ประทับพระราชอาสน์

จากนั้น นายณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายที่ประทับ กราบบังคมทูลพระกรุณารายชื่อคณะผู้เข้าเฝ้าฯ พร้อมทั้งเบิก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จากนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ทั้งหมด

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลความว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า รู้สึกปลื้มปีติยินดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคลในวาระสำคัญอันเวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งในวันนี้ ซึ่งเป็นกรณียกิจที่ประชาชนชาวไทยต่างจดจ่อรอคอยมาตลอดปี เพราะเป็นมงคลวโรกาสยิ่งใหญ่ที่จะได้ชื่นชมพระบารมี ได้รับพระราชทานพรอันประเสริฐ และได้รับพระราชทานแนวทางการปฏิบัติหน้าที่การงาน และการดำรงชีวิตอันวิเศษสุด ดุจคำบิดาที่ให้แก่บุตร

ฉะนั้น ณ วาระนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้ามีความปีติยินดีเป็นทวีคูณ เมื่อได้ประจักษ์แก่ตาว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเกษมสำราญ มีพระสุขภาพพลานามัยดี ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าหวนรำลึกถึงคำกวีในอดีตที่เคยพรรณนาไว้ว่า อันพสกนิกรนั้นย่อมสุขเพราะผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์ ในรอบปีที่ผ่านมา แม้จะทรงอยู่ระหว่างการแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เป็นเวลานาน แต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยังทรงงาน และปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เป็นปกติตลอดมา นับแต่การมีพระมหากรุณาทรงรับผู้ที่ขอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เช่น นักกีฬาไทยที่ได้รับรางวัลเหรียญโอลิมปิก เป็นต้น

อีกทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสำคัญ ทรงเปิดงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ดังเมื่อเร็วๆ นี้ และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา และประกาศพระบรมราชโองการต่างๆ อีกเป็นอันมาก บางครั้งยังเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรความก้าวหน้าของโครงการสำคัญ และพระราชทานความรู้แก่นักเรียนอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม หาที่สุดมิได้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เสด็จสถิตย์ในราชัยถวัลยราชสมบัติมาแล้วเป็นเวลาเกือบ 60 ปี แม้ถึงบัดนี้ก็นับได้ว่า ทรงพระเจริญอยู่ในสิริราชสมบัติยาวนานกว่าสมเด็จพระราชา พระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประเทศทั้งปวง จึงทรงเป็นประดุจหลักชัยอันไพศาลที่เด่นตระหง่านอยู่อย่างยั่งยืนและมั่นคง ในท่ามกลางมรสุมที่โหมกระหน่ำเข้ามาจำเดิม แต่เมื่อทรงเริ่มรับราชสมบัติ ซึ่งก่อนหน้านั้นอาณาประชาราษฎร์มีแต่ความว้าเหว่ สิ้นหวัง เพราะภัยที่ประดังเข้ามาหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมา ชาวไทยยังได้ประจักษ์ถึงภัยจากความขัดแย้งทางความคิด จนกระทั่งถึงสงครามเย็นที่ยืดเยื้อยาวนาน แต่ยังทรงสถิตย์เป็นหลักชัยอย่างมั่นคง แม้จนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปกครอง ในประเทศรอบด้าน และยังได้ประทับเคียงข้างราษฎรท่ามกลางภัยธรรมชาติ ตั้งแต่มหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก จนถึงภัยแล้งในภาคอีสาน และอุทกภัยในภูมิภาคต่างๆ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ท่ามกลางปัญหาจราจรที่เกือบจะหยุดกรุงเทพมหานครทั้งเมืองไว้บนท้องถนน และท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่กระหน่ำมาโดยไม่ทันตั้งตัว

บัดนี้มรสุมและฝันร้ายดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปด้วยเดชะพระบารมี ทั้งนี้ เพราะพระมหากรุณาธิคุณดุจหยาดน้ำทิพย์ที่ได้หลั่งลงสู่พื้นดิน ยังความชุ่มชื่นไปทั่วพระราชอาณาจักร ที่ใดที่ราษฎรขาดแคลนทุนทรัพย์ ก็ได้พระราชทานทุนประเดิมไว้ให้ ที่ใดต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ พระราชทานหมอและเวชภัณฑ์ ที่ใดมีความแตกแยกร้าวฉาน พระราชทานความรู้รักสามัคคี ที่ใดขาดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ใดแล้ง พระราชทานฝนหลวง ที่ใดราษฎรเสียขวัญ พระราชทานสติและกำลังใจ เพราะเหตุดังนี้ไทยจึงผ่านพ้นภยันตราย และพัฒนามาได้อย่างมั่นคง

ทุกคราที่ข้าพระพุทธเจ้า ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จะกลับออกมาด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ และความภาคภูมิใจยิ่งนัก ที่เรามีพระมหากษัตริย์สุดประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงเข้าพระราชหฤทัยในปัญหาของชาติอย่างถี่ถ้วน ในพระราชหฤทัยทั้งในยามปกติ หรือยามทรงพระประชวร หรือแม้แต่ในยามที่กำลังทรงพระวิปโยคสลดพระราชหฤทัย ก็ยังมีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงประชาชน เช่น เรื่องการประกันราคาสินค้าเกษตร ที่ต้องให้ถึงมือเกษตรกร ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง นาล่ม ปัญหาเยาวชน ศาสนา ยาเสพติด การศึกษา กฎหมาย การจราจร หรือแม้แต่เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งจะรับสั่งลงท้ายว่า ขอให้ผู้มีหน้าที่นำไปคิดดู ไม่ต้องเชื่อก็ได้ และไม่มีสักครั้งเดียวที่จะรับสั่งถึงพระองค์เอง บางครั้งยังพระราชทานความมั่นใจว่า แม้เรื่องใดจะกระทบต่อกิจการราชสำนัก หากควรดำเนินการก็ขอให้ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ

พระมหากรุณาธิคุณเหล่านี้ เล่าขานกันครั้งใดก็มีแต่เกิดความปีติขนลุก ต้องยกมือพนมท่วมหัวกันถ้วนตัวคน ผู้ใดก็ตามมีโอกาสน้อมนำพระราชกรณียกิจมาศึกษาให้ถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่า ล้วนแต่เป็นรูปธรรม สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างแท้จริง เพราะกลั่นกรองมาจากพระปรีชาสามารถ ตามหลักวิชาอันเป็นสากล ประกอบกับพระราชประสบการณ์อันยาวนาน และด้วยพระราชวิจารณญานกว้างไกล โดยได้ทรงพิสูจน์แล้ว มิใช่เพียงบนแผ่นกระดาษ หรือในห้องปฏิบัติการ หากแต่ทรงทดลองในโรงนา และโรงงานในพระตำหนักจิตรดารโหฐาน ทรงทดลองด้วยโครงการบนยอดดอยในป่าพรุ และตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 50 ปี รัฐบาลคิดด้วยเกล้าฯ ว่า แนว ทางการแก้ไขปัญหาของชาติตามที่พระราชทานไว้นี้ อาจประมูลเป็นหลักการได้อย่างประเสริฐเลิศล้ำกว่าทฤษฎี หรือตำราว่าด้วยการพัฒนาใดๆ อาทิ 1 หลักราชประชานุเคราะห์ และราชประชาสมาศรัยหลักนี้เป็นคิดอันแยบคายว่า ไม่ว่าพระราชา หรือประชาชน ก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกัน ตามหลักการอนุเคราะห์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงเป็นคติสอนใจว่า รัฐ และราษฎรไม่อาจทอดทิ้งกันได้ แม้แต่คนมั่งมี และผู้ยากไร้ ปัญญาชน และคนด้อยความรู้ ผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ ล้วนแต่อยู่ในหลักสัจธรรมที่ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องอนุเคราะห์พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทั้งสิ้น สังคมจึงจะอยู่ได้อย่างผาสุข และสันติ

2. หลักชัยพัฒนาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงปลุกปลอบใจ ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และราษฎรมิให้ย่อท้อ แต่ให้ฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อบรรลุถึงชัยชนะแห่งการพัฒนาให้จงได้ ดังนั้น จากผืนดินที่เคยแห้งแล้ง จึงกลายเป็นความชุ่มชื้น จากเขาหัวล้านที่โล่งเตียน ก็เริ่มมีความเขียวขจี บางครั้งปลูกป่าได้โดยไม่ต้องลงมือปลูก จากภูมิประเทศที่น้ำเคยท่วมในหน้าน้ำหลาก และแล้งขอดในหน้าน้ำแล้ง กลายเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ มีการจัดระบบชลประทาน เกิดโครงการแก้มลิง โครงการไตธรรมชาติ เห็นได้ตั้งแต่บึงมักกะสันจนถึงบึงพระรามเก้า แม่น้ำงัดจนถึงแม่น้ำน้อย ป่าสักจนถึงท่าด่าน ปากน้ำชุมพรจนถึงลุ่มน้ำปากพนัง จากดินพรุที่ยวบยาบด้วยน้ำในใต้ดินและดินเปรี้ยวจากกรดกำมะถัน กลายเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร่ามในบัดนี้ จากปรากฏการณ์พังทลายของดินจนสูญเสียสารอาหารหน้าดิน กลายเป็นแนวดินที่แข็งแรง เพราะมีหญ้าแฝกปลูกยึดไว้จากหนองน้ำที่เน่าเสียส่งกลิ่นเหม็น ปลาตายลอยเป็นแพ กลายเป็นแอ่งน้ำใสด้วยเครื่องกลเติมอากาศแก่ผิวน้ำแบบหมุนช้า ที่เรียกว่า "กังหันชัยพัฒนา" และจากพระบรมราโชวาทกลายเป็นคำสอนที่ง่ายๆ สนุกและกินใจ ว่าด้วยความเพียรอันบริสุทธ์ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" และว่าด้วยความซื่อสัตย์ กตัญญู ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "ทองแดง" เหล่านี้ คือบทเรียนแห่งความเพียรพยายาม การต่อสู้และเอาชนะอย่างสันติด้วยสติและด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์โดยไม่ท้อถอย

3. หลักเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อ 30 ปีที่แล้วได้มีพระราชดำรัสเตือน ณ มหาสมาคมแห่งนี้ ในปี 2517 ว่า ขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด ขอย้ำ พอควร พออยู่ พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้ ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวร อีก 23 ปีต่อมา หลังจากนั้น ก็เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนมีพระราชดำรัสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2541 ว่า วันนั้นได้พูดว่าเราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง บัดนี้ แนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็นเรื่องที่พูดถึงทั่วไปอย่างจริงจัง เพราะสอนให้คนเรารู้จักพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมความสามัคคีของชุมชน รู้จักการขาดทุนเพื่อจะมีกำไรต่อไม่ ไม่ฟุ้งเฟ้อ นับว่าเป็นคติที่ใช้ได้อย่างดีในสังคมปัจจุบัน จนกระทั่งผู้นำต่างประเทศและนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ก็ยังนำไปตริตรองด้วยความพิศวงในพระอัจฉริยภาพ ดังที่เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐมนตรีของหลายประเทศที่กำลังพัฒนา ได้นัดกันมาชุมนุมขอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเมื่อข้าพพุทธเจ้าได้พบผู้นำรัฐบาลเหล่านั้นในการประชุมเอเปกที่ชิลี และอาเซียนที่เวียงจันทน์ หรือที่ใดๆ ทุกคนต่างพูดถึงแนวทางนี้ด้วยความชื่นชมว่าเป็นวิถีทางแบบตะวันออกที่น่าพิศวงยิ่งนักในโลกปัจจุบัน

4. หลักรู้รักสามัคคี ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงย้ำเตือนตลอดมาว่า ความจำเริญรุ่งเรื่องใดๆ ในทางวัตถุ ไม่สำคัญเท่ากับที่ราษฎรมีความสามัคคี ปรองดอง ดังนั้นในหลายโอกาส จึงรับสั่งถึงความรู้รักสามัคคี ความมีไมตรีจิตต่อกัน การรู้จักเข้าถึง เข้าใจและพัฒนา อันเป็นกุศโลบายในการแก้ปัญหาของบ้านเมืองในยามวิกฤตได้อย่างดีเลิศ ตั้งแต่ปัญหาปากท้องจนถึงปัญหาการเมือง และตั้งแต่ปัญหาการวิวาทเล็กน้อยจนถึงปัญหาการก่อความไม่สงบในระดับชาติ

ด้วยตัวอย่างเพียงหลัก 4 ประการดังที่ได้ขอพระราชทานพรรณนามานี้ รัฐบาลเชื่อว่า เป็นดุจเสาเหลักหรือจตุสดมภ์ค้ำจุนประเทศไทยให้อยู่รอดได้อย่างดี หากชาวไทยทุกรูปทุกนามปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจ ร่วมใจและด้วยความสุจริตไม่บิดเบือน ซึ่งรัฐบาลถือว่าหลักเหล่านี้เป็นรากแก้วแห่งการพัฒนาและจะขอพระราชทานน้อมนำไปเผยแพร่และปฏิบัติจนถึงระดับรากหญ้า คือราษฎรทั่วไปในประเทศ คำกล่าวของกวีข้างต้นที่ว่า "สุขเพราะผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์" นั้น แท้จริงแล้วในรัชกาลนี้ควรดัดแปลงเป็นว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสุขเพราะไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์ต่างหาก ดังที่ได้รับสั่งแก่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์และผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเมื่อปลายเดือน พ.ย.นี้ ว่า ถ้าทุกคนช่วยกันประชาชนก็จะมีความสุข ถ้าประชาชนมีความสุข ประเทศชาติก็พลอยมีความสุข

ซึ่งคำที่ทรงละไว้แต่อยู่ในใจข้าพพุทธเจ้าก็คือ ถ้าประเทศชาติมีความสุขก็จะทรงมีความสุขด้วยนั่นเอง นับเป็นบุญนักหนาที่ปวงข้าพพุทธเจ้าได้เกิดมา หรือมีชีวิตอยู่ในรัชกาลแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงขอถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะปฏิบัติบำเพ็ญตามรอยพระยุคลบาท สนองคุณของแผ่นดินตามกำลังและหน้าที่ของแต่ละคน ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ด้วยความปรองดอง ด้วยความจงรักภักดี ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ และด้วยความเชื่อมั่นโดยไม่ลังเลสงสัย ว่าหลักอันได้พระราชทานไว้แล้วนั้นเป็นหลักแห่งการดำรงชีพและดำรงชาติอย่างแท้จริง

ในปีนี้ นับเป็นวาระที่น่ายินดีที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 4 ผู้ทรงเป็นพระบรมราชปิตามหัยยิกา เป็นบุคคลสำคัญของโลก เพราะทรงเป็นปราชญ์ในทางศิลปะวิทยาหลายแขนง โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เมื่อพิจารณาถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้เป็นพระบรมราชปนัดดาแล้ว นับว่าทรงพระปรีชาสามารถหลายด้าน เจริญรอยพระยุคลบาท เหมาะแก่กาลสมัยดุจกัน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อจากวิทยาศาสตร์ไปอีกชั้นหนึ่ง จนมีพระเกียรติคุณไพศาล นำความไพบูลย์สง่างามมาสู่อาณาประชาราษฎร์เฉกเช่นเดียวกัน
อีกประการหนึ่ง

ในปีนี้เป็นวาระแห่งความปลื้มปีติ ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ชนชาวไทย ที่เมื่อ 50 ปีเศษก่อนโน้น ได้ทรงเลือกขัตติยะราชินี ราชนารีพระองค์นี้ เป็นสมเด็จพระบรมราชินีคู่พระราชหฤทัย ดั่งที่บัดนี้ชาวไทยได้ประจักษ์ชัดว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยความเรียบร้อย บริบูรณ์ สมกับความไว้วางพระราชหฤทัย เห็นได้จากงานสร้างป่าที่เสริมโครงการน้ำของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท งานรังสรรค์และจรรโลงศิลปาชีพที่เสริมรายได้แก่เกษตรกรนอกฤดูกาลเกษตร จนถึงการเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเยี่ยมราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณ อันเป็นที่มาแห่งพระราชดำรัสสำคัญเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ในวโรกาสนี้ ในนามของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระรัตนตรัยเป็นประธาน อีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพนับถือของชนทั้งปวง ได้โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเกษมสำราญ ทรงเจริญพระชนมสุข ด้วยจตุรพิธพรชัย สถิตย์เป็นประธานแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ปกเกล้าปกกระหม่อมข้าพระพุทธเจ้าชาวไทยทั้งปวง ตราบกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”





หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และขอบใจนายกฯ ที่ได้กล่าวคำอวยพร ทั้งได้สรุปการกระทำในระยะ 50 กว่าปี ซึ่งขอขอบใจ ที่ไม่ต้องเล่าให้ท่านฟังมาทำอะไร ว่าท่านได้สรุปอย่างดี อีกอย่างที่ท่านไม่ได้พูด ที่ฟังวงดนตรีดุริยางค์กองทัพเรือ ได้บรรเลงสรรเสริญบารมี ท่านไม่ได้พูดถึง ความจริงดนตรีของกองทัพเรือ ได้ฟันฝ่าอุปสรรคมามาก จำได้ว่า เมื่อ 50 ปี 40 กว่าปี ได้มีการแสดงดนตรีทุกวันพุธ ที่พระที่นั่งอัมพร และมีพวกดนตรีต่างๆ ได้เล่น ลองไปฟังทนไม่ไหว เพราะมีอะไรที่ขัดหูอยู่เรื่อย ก็เลยลุกไปบอกกับผู้ที่อำนวยเพลงว่า ได้เทียบเสียงหรือเปล่า

ท่านผู้อำนวยเพลงบอกว่า เทียบเสียงแล้ว จึงขอให้เทียบอีก เขาก็เทียบได้ เทียบได้ดี ฟังไม่ขัดหู พอให้เล่นอีก เล่นไปเล่นมา เอะ ขัดหูอีก ก็เลยลุกไปเดินในวงให้เขาเล่นไป เล่นไปไปเจอซอยักษ์ ซอยักษ์นั่น มันเพี้ยน แล้วไม่ทราบทำไมเพี้ยนได้ เลยคิดว่า มันเพี้ยนเพราะเล่นบันไดเสียงไทย มิได้เล่นบันไดเสียงสากล ก็เลยพยายามให้เขาเทียบเสียงให้ดีที่สุด ก็ดีขึ้น เพราะว่า การเทียบเสียงนั้นมันยาก ยากที่ต้องเทียบหูด้วย ต้องเทียบหูแบบไทย เพราะผู้ที่เล่นดนตรีในวงของทุกๆวงในเวลานั้น มีเวลาว่างก็ต้องไปเล่น โดยมากเป็นวงเล็กๆ เขาเล่นรำวง ซึ่งลำวง ฆ้องวงต้องเทียบเสียงแบบบันไดเสียงไทย เขาก็เคยชิน พอมาเล่นเพลงสากลด้วยบันไดเสียงไทย เลยขัดหู ถ้าเล่นด้วยบันไดเสียงไทยล้วนก็ยังไม่เป็นไร แต่บางคนก็เล่นบันไดเสียงสากล บางคนก็แบบไทย อันนี้ เลยบอกว่า พยายามเวลามาเล่นเพลงสากลขอให้ลืมรำวง เขาก็ทำได้ดีขึ้นทุกที เล่นรำวง และก็ไปเล่นเพลงสากล ก็ลดลงไป มาทีหลังในวงที่เราเล่น พวกเพื่อนๆเล่น เขาก็เล่นรำวงเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า ถ้าเล่นรำวงขอให้เล่นรำวงที่ถูกต้อง ที่เป็นบันไดเสียงไทย ไม่สำเร็จ เขาเล่นรำวง ด้วยบันไดเสียงสากล แล้วว่ารำวงก็เพี้ยนผิด มาถึงเมื่อเดือนที่แล้ว มีนักดนตรีมาจากอเมริกา เป็นดนตรีที่เขาเรียกว่า แบบนิวออร์ลีน เป็นต้นกำเนิดของเพลงแจ๊สเข้ามา และเล่นกับเรา เล่นไป เราก็ต้องเล่นสำเนียงรำวงหน่อย เราถามเขารู้ไหมว่าเล่นรำวง เขาบอกเขารู้

เราก็เล่นกับเขา เล่นๆ ไปเราก็ต้องเล่นมีเพลง มีการเล่นเป็นสำเนียงรำวงหน่อย เราถามเขารู้ไหมว่าเล่นรำวง เขาบอกเขารู้ เขาบอกว่าหูเขาดี เขารู้ว่าเป็นเพลงรำวง เขาไม่รู้จักรำวง แต่เขาบอกว่า เมื่อเขาไปญี่ปุ่น เขาก็ไปเล่นเพลงแจ๊สแบบญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นเขามีนักเล่นดนตรีที่เก่งสำหรับแจ๊ส แต่ว่าเราก็อดไม่ได้ที่จะฟังเขา เขาเล่นสักเดี๋ยว ค่อนข้างจะญี่ปุ่น ก็เลยบอกว่า นี่ล่ะไทย คนไทย เล่นเพลงแจ๊ส ก็เป็นเพลงแบบไทย แบบบันไดเสียงไทย เขาก็สนใจ ตอนนี้เขากลับไป กลับบ้านแล้ว เข้าใจว่าเขาจะไปศึกษาแจ๊สแบบรำวง แจ๊สแบบไทย คราวหน้าเขามาเขาบอกเขาจะเล่น เล่นเพลงแจ๊สแบบนิวออร์ลีนบางกอก ถ้าเขาเล่นอย่างนั้นแล้วเราก็ภูมิใจได้ว่า ทำไมเขาฟังเพลงไทยเป็น เขาเก่ง พวกนี้หูเขาดี เขาเล่นด้วยหู เขาไม่ได้เล่นด้วยตา เขาไม่ได้อ่านโน้ต เขาเล่นด้วยหู เวลาเราไปเล่นกับเขาเราก็ต้องเล่นด้วยหู ไม่ได้เล่นด้วยตา ก็ดูเขาสนุกดี นี่เรามาพูดถึงเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวข้องกับศิลปะ ซึ่งแจ๊สนี่ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง บางคนเขาไม่เห็นว่าแจ๊ส โดยเฉพาะแจ๊สแบบนิวออร์ลีน ไม่เป็นศิลปะ แต่เราก็เรียกได้ว่าเป็นศิลปะ เพราะว่าดนตรีนี่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ชาติบ้านเมืองใดมีดนตรี มีสำเนียงดนตรี เพลงดนตรี เครื่องดนตรีที่เป็นของตนเอง นั่นล่ะน่าชื่นใจ

อย่างของไทยเรา เรามีเครื่องดนตรีของเรา ซึ่งคล้ายกับของจีนบ้าง คล้ายของอินเดียบ้าง คล้ายของฝรั่งบ้าง แต่ว่าเป็นเพลงและเป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ๆ ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมือง อย่างเดียวกับเราพูดภาษาไทย เป็นภาษาไทย ไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ใช่เป็นภาษาต่างประเทศ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้ภาษาต่างประเทศมาก ไม่ใช่แซม มานำหน้ามากมาย จนกระทั่งบางทีฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ว่าถ้าใช้ภาษาต่างประเทศมา ก็ควรจะแปลให้ด้วย ถ้าเราพูดภาษาไทยแบบใช้คำภาษาฝรั่งก็ต้องให้แปล เราโง่ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ แต่นานๆ ไปก็เข้าใจ

เดี๋ยวนี้การปกครองก็ใช้แต่คำต่างประเทศ ท่านก็เป็น ท่านเป็นซีอีโอ ถ้าความจำเวลานี้อายุมากขึ้นความจำมันลดลงไป ซีอีโอมาจากอะไรเลยไม่รู้ ว่าท่านจะปกครองยังไง แต่เดี๋ยวนี้ชักเคยชินว่าท่านปกครองแบบซีอีโอ แต่ว่าวันนั้นที่ซีอีโอมา ท่านรองนายกฯ มา ท่านมาบอกว่า ถามว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นอะไร ท่านก็บอกว่าเป็นซีอีโอ โอ้เราก็ต้องเข้าใจสิ เราเป็นซีอีโอ ก็เลยเข้าใจว่าเราเป็นนายใหญ่อีกคนหนึ่ง ก็ต้องคัดค้าน คัดค้านว่าไม่ใช่ เราไม่ใช่เป็นนายใหญ่ รัฐธรรมนูญยังบอกว่าพระมหากษัตริย์ไม่เป็นนายใหญ่ เป็นมหา ใหญ่โต กษัตริย์ นักรบใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้เป็น เป็นจอมทัพ เป็นมหากษัตริย์ เป็นซีอีโอ ซีอีโอของกองทัพ เราก็เข้าใจไปเลยเถิดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ซึ่งก็ขอโทษด้วย ต้องล้อท่านรองนายกฯ ว่า ท่านก็เป็นซีอีโอใหญ่ ใหญ่ที่สุด ก็เลยท่านรับผิดชอบหมด

ลงท้ายฟังไปฟังมา ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอมา บอกว่า การทำงานทำการเป็นยังไง ซีอีโอนี่ เขาบอกสบายมาก ถ้ามีอะไรก็ให้ปลัดจังหวัด ปลัดจังหวัดเป็นผู้สั่งการ ท่านนายกฯ ว่าอย่างนั้น ก็เลยปลงเหมือนกันว่าซีอีโอนี่ดีเหมือนกัน ถ้าเราเป็นซีอีโอเราก็โยนให้ท่านรองนายกฯ ท่านรองนายกฯ ทำอะไร คนก็ว่าท่านรองนายกฯ ซึ่งอย่างนี้อะไรๆ ก็ว่าท่านรองนายกฯ แต่เวลาฟังข่าว ท่านรองนายกฯ ทำไอ้โน่นไอ้นี่ แล้วทีหลังก็ รองนายกฯ ไหน เมื่อเขาพูดตำแหน่งก่อน แล้วเสร็จแล้วถึง อ๋อ ท่านรองนายกฯ พล.อ.ชวลิต ตอนแรกก็รู้กันแล้วท่านรองนายกฯ รองนายกฯ ทางข้างหลังตกใจ ตกใจแล้วก็สั่นสะท้านว่านี่จะไปว่าใคร แท้จริงเราก็พูดถึงรองนายกฯ ชวลิต ถ้าเป็นรองนายกฯ อื่นๆ ก็สบายใจ แต่เดี๋ยวนี้รองนายกฯ มันมีมาก เมื่อมีมากก็ ลงท้ายรับผิดชอบ แจกจ่ายกัน ฟังข่าวก็บอกว่า รองนายกฯ นั้นๆ ทำ

เดี๋ยวนี้ก็ฟังข่าว ฟังวิทยุ มีรายการอันเดียวที่จะต้องฟัง คือนายกฯ พูดกับประชาชน คุยกับประชาชน คุยๆๆๆ เขาบอกว่าคุย 1 ชั่วโมง เราก็ได้ยิน โอ้ นายกฯ มาแล้วเราต้องฟัง ฟังไปฟังมาเราหลับ หลับไปหลับมาเลยต้องมาคอยตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง ได้อีกชั่วโมง ทีนี้ฟังไปฟังมา วันนี้ได้ความรู้ เพราะว่าท่านบอกว่า ท่านไม่อ่านหนังสือมากนัก หนังสือดีต้องอ่านหนังสือ เพื่อที่จะให้มีความรู้ แล้วท่านบอกว่า ถึงจะดีต้องไปพบกับคน คุยกับคน ได้ความรู้ ก็จริง เราฟังเวลาท่านนายกฯ มา ก็ฟังนายกฯ ก็ได้ความรู้เยอะ วันนี้ก็ได้ความรู้ว่า ท่านฟัง คนที่มา ได้ความรู้ในการปฏิบัติงาน เพราะฉะนั้นเวลาท่านนายกฯ มาก็ดีใจ ท่านพูดมาก ท่านก็พูด เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราก็ได้ความรู้ ที่เห็นด้วยก็ว่า ถ้าเราฟังคนที่มีความรู้ เราก็ได้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ที่จะมาสอนคนโน้นคนนี้ได้ แต่ได้ความรู้ที่จะปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้แล้วก็ดี เราก็สามารถที่จะปฏิบัติงาน ถ้าฟังจากคนที่เก่ง ก็ฟัง ท่านก็พูดอะไรต่างๆ พูดไปเรื่อย เราก็ได้ความรู้ ไม่ต้องอ่านหนังสือ ถ้าฟังคนที่มีความรู้แล้วก็มาย่อย ท่านก็บอกว่า ฟังคนที่มีความรู้ทำให้สามารถปฏิบัติงาน สามารถทำอะไรต่ออะไรได้

ซึ่งก็เห็นเป็นความจริง ถ้าเราฟังคนแล้วก็ฟังจริงๆ แต่ต้องพิจารณา อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าฟัง ฟังโน่นคนโน้นคนนี้คนไหนที่มาจากอเมริกาใต้ พูดใหญ่ว่าต้องปฏิบัติอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่เห็นด้วยสักอัน เราก็ต้องคิดว่าทำไมเราเกิดไม่เห็นด้วย บางทีคนที่มีชื่อเสียงมาพูด เราฟังไม่เข้าเรื่อง ไม่ได้มีประโยชน์แต่ประโยชน์มีว่าท่านเก่งที่ทำให้คนเชื่อ ถ้าคนมาพูดแล้วเราฟังแล้วก็เชื่อตามไปหมด ไม่ดีเพราะว่าไม่ได้พิจารณา ต้องพิจารณาว่าที่ท่านพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าพูดถูกต้องปฏิบัติได้ เราก็ดี เราก็ได้ประโยชน์ ส่วนรวมก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าเราเอาความรู้ที่ท่านพูดไปปฏิบัติต่อ

ดังนั้น ที่ฟังมานายกฯ พูดกับประชาชน ก็ฟังท่านว่าท่านพูดหลายอย่างที่ท่านพูด แล้วพูดถึงว่าเด็กๆ ต้องฟัง เด็กๆ ต้องเรียน ถ้าเรียนประเทศชาติจะดี เดี๋ยวนี้เขาว่าเด็กๆ ไม่เรียน เด็กๆ แม้แต่ถึงขั้นมหาวิทยาลัย ใช้คำว่าไม่ได้ความ เมื่อไม่ได้ความ อนาคตของชาติอยู่ไหน คือเด็กไม่ฟัง หรือฟัง ฟังแต่ฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจแทนที่จะปฏิบัติสร้างสรรค์ต่อไปก็ไปเข้าดิสโก้เธค ไปฟังเพลง ไปฟังเพลงที่ ความจริงก็ไม่ใช่เพลงอะไรดี ที่เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้หูเสีย หูเสียไม่ใช่ว่าคนที่ฟังหูสูงหูต่ำ แต่หูไม่ได้ยิน หูตึง คนที่ไปฟังเพลงในดิสโก้เธคหูตึงทั้งนั้น

ถ้าใครเป็นหมอที่นี่ หมอหู ไปตรวจก็ขอยืนยันว่าเด็กสมัยนี้ ถ้าไปตรวจหู หูเสียมากกว่าเด็กสมัยก่อน แม้จะเด็กสมัยท่านนายกฯ ก็หูตึงกว่าเด็กสมัยพระเจ้าอยู่หัวฯ นี่เรา 76 ปี 364 วัน ก็เกือบจะ 77 แล้ว 77 เล่นกับนักดนตรีนิวออร์ลีน นักดนตรีนิวออร์ลีนนั้น คนที่แก่ที่สุดก็ 66 แล้วก็หูตึง ฟังไม่ค่อยได้ ต้องเข้าไปใกล้ เข้าไปคุยกับเขา เราจะบอกว่า ยูน่ะอายุ 66 ไออายุ 77 นะ เขาก็โอ้ๆๆ ฟังรู้เรื่อง เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะว่าหูตึง อย่างนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็หูตึง ยิ้มหมายความว่าได้ยินที่พูด เพราะว่าคนที่หูตึง เวลานินทาท่าน ได้ยิน แต่นี่เป็นยังไงไม่ทราบ คนที่เป็นผู้ใหญ่ เวลาพูดอะไร เรื่องอะไรไม่ได้ยิน แต่เวลานินทา ท่านได้ยิน ได้ยินนู่น องคมนตรีข้างหลังหูตึงๆ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ารับสั่งว่าอะไร ยิ้ม รู้เหรอว่าพูดอะไร ก็แปลก

แต่นักดนตรีเขาหูตึง เขา 66 ปี ยังเด็กกว่าเรา ฝรั่งหูดีกว่า แต่ว่าข้อสำคัญคนที่เด็กๆ อายุ 15 -16 ปี ไปให้แพทย์ ไม่ต้องเรียกเงิน 30 บาท ไปหาคนอายุ 15-16 ปี ให้มาตรวจหู หูตึงทั้งนั้น เราไปเมื่อไม่กี่เดือน ได้ตรวจ ตรวจตา ตรวจหู ตรวจอะไรต่างๆ เขาบอกดีมาก ตรวจหัวใจบอกดีมาก เขาดีมากทั้งนั้น แพทย์มาจากเมืองนอก มาตรวจ ก็บอกดีมาก ก็เลยสบายใจว่า เราสุขภาพดี แต่แท้จริงเราก็หูชักตึงเหมือนกัน แต่ไม่ตึงเท่าเด็ก เพราะถึงอยากให้มีโครงการ นู่นถ้าจะมี กระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงสุขภาพเด็ก ก็น่าจะลองไปตรวจว่า หูของเด็ก เราอายุ 40 ก็เด็ก ลองดูคนอายุ 40 แต่ที่เป็นห่วงที่สุด อายุต่ำกว่า 20 ซึ่งไม่ควรจะตึง ตึงมาก ถ้าหากว่า นายกฯอยากให้เรียกว่าเด็ก ถ้าอายุ 20 แล้วเขาบอก เขาไม่เด็กแล้ว เขาผู้ใหญ่แล้ว ถ้า 15 ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเป็นเด็ก ให้เขาตรวจ เป็นห่วงถ้าคนเราหูตึงตั้งแต่อายุ 15 ต่อไปจะเป็นยังไง และหูไม่มีการก้าวหน้าขึ้นมา

นอกจากใส่เครื่อง ใส่เครื่องแล้วน่ารำคาญแล้วลงท้ายก็ไม่ใส่เครื่อง แต่ถ้าใส่เครื่อง ก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินสำหรับ 30 บาท ไม่ได้ เครื่องมันเกิน 30 บาท ถ้าทุกคนที่นั่งอยู่ใส่หูกันหลายคน มันแพง งั้นก็ถ้าไม่อยากให้งบประมาณแผ่นดินเสียไป ต้องเสียทุกคน 30 บาท เนี้ยะ 22,000 เศษๆ 30 บาท คูณ 30 บาท เท่าไร 600,000 บาท ก็ไม่เป็นไร ท่านมีงบพิเศษของท่าน แต่ว่า 600,000 ต้องเป็นกระเป๋าราษฎร แต่ว่ากระเป๋าท่านนายกฯ เท่าไร เครื่องเนี้ยะราคาเป็นร้อย เป็นพัน งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขเป็นเท่าไร เหมือนกับว่า เหมือนงบประมาณจะหามาจากไหน แต่ท่านบอกว่า ดีมาก เดี๋ยวนี้ รายได้ประเทศขึ้นมากกว่าเก่า ถ้าใช้เฉพาะสำหรับปัญหาเรื่องเด็กหูตึง มันก็ต้องเสียของฝ่ายรัฐบาล เสียเป็นพันล้าน

จะหามาจากไหน แต่ท่านบอกว่าดีมาก เดี๋ยวนี้รายได้ของประเทศพุ่งไปตั้งอีกเท่าแล้ว ถ้าใช้เฉพาะสำหรับปัญหาเรื่องเด็ก เด็กหูตึง มันก็เป็นท้ายว่าต้องเสียเป็นของฝ่ายรัฐบาล ต้องเสียเป็นพันล้านในที่สุด แต่เมื่ออันนี่ช่าง ถ้าเขาได้รับการเยียวยา มันก็ไม่ได้เป็นการเยียวยา ได้ความปลอดภัยของหูว่าฟังได้ ทีหลังเมื่อได้เครื่องแล้วต้องใส่ พลังงานต้องใช้พลังงาน แพงนะแบตเตอรี่ ต้องใช้อยู่ตลอด อันนี้เป็นความเสียหาย จะต้องมีค่าใช้จ่ายมาก แต่ค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดก็คือ คนที่หูตึงจะเรียนรู้หรือปฏิบัติงานยาก ยากที่สุด เพราะว่าคนที่หูตึงแม้จะได้เครื่อง มันไม่เหมือนคนที่หูไม่ตึงแล้วไม่ต้องใช้เครื่อง ประสิทธิภาพของคนที่หูดีเหนือประสิทธิภาพของคนที่หูตึงแม้จะมีเครื่องช่วยให้ฟังได้ อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าจะแก้ไขหรือน่าจะระมัดระวังให้คนไทย

อนาคตมีหูที่ดีขึ้น มีหูที่ฟังได้ดี ไม่ใช่ว่าเป็นผู้เฒ่าถึงจะฟังไม่ได้ แต่ว่าเด็กๆ น่ะฟังไม่ได้ แต่ถ้าระมัดระวังเดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าจะยากในการที่รณรงค์ให้เด็กหูดีขึ้น ยาก เพราะว่าเคยชิน เดี๋ยวนี้วิธีแก้ไขของรัฐบาลก็คือห้ามไม่ให้เข้าดิสโก้เธค ไม่ให้ไปฟังเพลง ไม่ให้สูบบุหรี่ ไอ้ไม่สูบบุหรี่นี่จะทำให้หูดี หรือหูไม่เสีย คนที่สูบบุหรี่มากๆ หูเสียมาก มีเหตุผลทำไมคนที่สูบบุหรี่หูเสีย เพราะว่าบุหรี่นี่ทำให้เส้นเลือดมันตีบ เมื่อเส้นเลือดตีบ หูก็เสีย เพราะว่าหู ตา เสียได้ง่าย เพราะว่าทำไม เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูไปเลี้ยงตา เลี้ยงอวัยวะที่อ่อนไหวนั้น เส้นเลือดมันเล็ก ถ้าโดนบุหรี่ บุหรี่นี่ทำให้เส้นเลือดตีบ ตีบเลือดก็ไปไม่ได้ดี เลือดไปที่อวัยวะเหล่านั้นยาก ถ้าไปไม่ดีก็ทำให้อวัยวะเหล่านั้นด้อยสมรรถภาพ นั้นยากที่จะแก้ไขไม่ให้คนหูตึง ต้องพยายามแก้ไข เดี๋ยวนี้ก็ร้องโวยวายว่าห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันนี้บุหรี่ก็สูบกันน้อยลง เพราะว่าคนชักรู้ว่าสูบบุหรี่ไม่มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เด็กๆ มีการสูบบุหรี่มากขึ้น มากกว่าก่อนอีก แต่ก่อนนี้เด็กๆ ยังไม่สูบ และโดยเฉพาะผู้หญิงสูบบุหรี่มาก แต่ก่อนนี้ก็กลัวว่าสูบบุหรี่จะทำให้ผิวเสีย ผิวเสียก็เพราะว่าเส้นเลือดมันไม่ดี อะไรก็ทำให้ผิวไม่ดี แต่สมัยใหม่นี่ เขาไม่กลัวแล้ว เพราะว่าผิวเสียก็ช่าง ก็ทาหน้า ทาหน้าก็เจ๊งเลย ต้องหาทางแก้ไขจะห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอาง ถ้าห้ามไม่ใช้เครื่องสำอาง ก็ประหยัดดีนะ ประหยัดกว่าแป้ง สมัยก่อนเขาปะแป้งก็สวยแล้ว ที่จริงก็สวยถ้าปะแป้งนิดเดียวไม่ต้องทาสีแดง แต่สมัยใหม่นี้เขาต้องทาสีแดง สีเขียวด้วย และปั้นจมูก ปั้นแก้ม ต้องทาสีต่างๆ ถึงเรียกว่า พวกนี้มาแต่งหน้าให้ เป็นพวกศิลปิน แต่ก็ดีทำให้พวกศิลปินนี้มีอาชีพ

ยังไงเรียกแขวะไปเรื่อยๆ ท่านอยากแขวะ มันแขวะเป็นทอดๆ ไปเรื่อย อย่างนี้ท่านหัวเราะ ผู้หญิงกลับบ้านโดนเล่นงาน ทำไมหัวเราะ แต่ยังไงก็ตาม เราพูดอย่างนี้ เราต้องสนุกสนานหน่อย เดี๋ยวนี้ค่อนข้างเครียด เราก็ต้องยกตัวอย่าง ท่านนายกฯ นายกฯดูทีวี หาเสียง เสียงแหบ ต่อหน้านายกฯ แต่ออกทีวี อย่างวันนี้คงตบแต่งดี เพราะมีทีวี ทีวีเขาคงมาบอก ต้องแต่งนิดนึง นี่แหละพูดเฉพาะท่านนายกฯ เพราะเป็นนายกฯ เป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องยกตัวอย่างผู้ใหญ่ จะยกประธานองคมนตรี ประธานศาลฎีกา ศาลปกครอง ศาลมีมากเหลือเกิน นี่เป็นประธาน ผู้ใหญ่ทั้งนั้น มีผู้ใหญ่มาก ข้างนอกไม่มีโอกาสเข้ามา มีแต่ผู้ใหญ่ ยังไงก็แขวะผู้ใหญ่เป็นแถว ก็รวมอยู่ที่นายกฯ เราก็แขวะคนเดียว ไม่งั้นเหนื่อย หากแขวะทุกคน อย่างไรก็ตาม พูดเป็นอารัมภบทเท่านั้นเองว่า ไม่ต้องแขวะใคร แขวะนายกฯคนเดียวก็แขวะทุกท่านหมดเลย มีแต่ว่า จำไม่ได้ว่าจะพูดเรื่องอะไร จำไม่ได้แล้ว คงไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ท่านเข้าใจว่า คนเราต้องพูด ต้องแขวะ เพราะถ้าไม่แขวะ จะไม่ได้อะไรเลย

ถ้ามาบอกท่านเก่ง ท่านดี ไม่ได้ผล ต้องใช้กันลืม ลืมว่า ท่านทำอะไร ถ้าท่านลืมว่าทำอะไร อันตราย เดี๋ยวท่านเกิดมี ไบรท์ ไอเดีย ว่าทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้ ก็เลยเสียหาย เมื่อเช้าที่ฟังท่านพูดถึงเด็กต้องเรียนรู้ก็มีอัน เด็กเรียนรู้ได้ ไม่เท่ากัน บางคนถ้าเราให้เด็กเรียนรู้ อายุ 8 ขวบเขาเก่งเท่าเด็ก 30 และเก่งจริงๆ เราสู้ไม่ไหว แต่ว่า ถ้าตรงข้าม นึกว่าเด็ก เขาฟัง เขาเรียน บางคนเรียนไม่ไหว เรียนไม่ได้ หรือเรียนบางวิชาได้ บางวิชาเรียนไม่ได้ นั่นก็ต้องแบ่งแยกออกไป เป็นพวกที่เรียน จะเรียกว่าเรียนเก่ง เรียนได้ หรือไม่ได้ เมื่อตอนเมื่อวันจันทร์ได้พบพวกราชประชานุเคราะห์ และพวกสื่อสารทางดาวเทียม นั่นรัฐมนตรีศึกษา ก็มานั่ง เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ในที่นั้น ก็ต้องแขวะท่าน ว่า ศึกษามีอะไรแปลกๆ

ท่านว่า ศึกษานี่มีอะไรแปลกๆ ไม่ได้บอกว่ามีอะไรแปลก เพราะว่าเดี๋ยวโกรธ แต่ว่าก็มีอะไรกันแปลกๆ ก็มาฟ้องกับท่านนายกฯ ฟ้องหรือเปล่า ไม่ได้ฟ้อง เพราะว่าท่านทำหน้าชอบกล คือลำบากที่ว่า คนที่เป็นรัฐมนตรีบางทีมีความ มีความคิดแปลกๆ นั่นเอง แล้วก็ที่เรียกเมื่อตะกี้ว่าไบรท์ไอเดีย มีไบรท์ไอเดีย ทำไอ้โน่นไอ้นี่ เพราะว่าท่านผู้ใหญ่ที่ต้องระวัง ท่านมีไบรท์ไอเดีย ต้องแปลไบรท์ไอเดีย ความคิดที่สว่างไสว

เรารู้ถึงคำว่าไบรท์ไอเดียเพราะว่า ในการ์ตูน เราดูการ์ตูน เวลาคนไหนมีไบรท์ไอเดีย เกิดมีไฟขึ้นมาบนหัว แต่ว่าท่านนายกฯ มีไบรท์ไอเดีย ต้องมีดาวเทียมบนหัว ท่านนายกฯ ไม่มีไฟ ไม่มีหลอดไฟ แต่ก่อนนี้เรามีหลอดไฟ สมัยนี้ต้องมีดาวเทียมอยู่บนหัว ท่านนายกฯ มีไบรท์ไอเดียด้วย แต่ตอนนี้ท่านรัฐมนตรีศึกษา ท่านก็มีไบรท์ไอเดีย แล้วก็ท่านไม่ใช่หลอดไฟ ท่านเป็นดาวเทียมเหมือนกัน เพราะว่าท่านชอบการศึกษาผ่านทางดาวเทียม ก็เลยทำให้นึกถึงว่า ไปแขวะท่าน ท่านก็หัวร่อ เพราะว่าผ่านดาวเทียมลงไป ก็เข้าใจว่าแขวะ แต่ก็แขวะผ่าน นึกว่าเข้า ขึ้นบนดาวเทียมแล้วก็เข้าดาวเทียมของนายกฯ ลงมา ก็รู้ เข้าใจ นี่แหล่ะ ถ้าคนที่มีไบรท์ไอเดีย หมายความว่าเป็นคนที่สว่างไสวในสมอง ก็เก่ง ก็ดี แต่บางคนดาวเทียมมันพัง

อย่างเรา อย่างเราอยู่ที่หัวหิน ทำไปทำมา ดูทีวี เราดูทีวี เราดูการ์ตูน แล้วการ์ตูนก็ฉับๆๆๆ ดาวเทียม ดาวเทียมมันเสีย มันก็เลยแย่ ดาวเทียมของเราที่เข้าเครื่อง ที่นี่ดูดาวเทียม ที่สวนจิตรฯ นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวฉับๆๆๆๆ แต่ว่า ต่อไปไม่ควรจะมีเสีย นี่ถ้าเราดูโทรทัศน์ โทรทัศน์ต้องอาศัยดาวเทียม กำลังดี เรื่องกำลังสนุก มาฉับๆๆๆๆ เลยไม่รู้ว่าอะไร นี่แหล่ะ ถ้าแต่ก่อนนี้ไปเป็นโทรทัศน์แบบเก่า มันก็มา บางทีก็มีซู่ๆๆๆ นิดหน่อย แต่ก็ยังรู้เรื่อง เวลาดาวเทียมมันฉับๆๆๆ มันไม่รู้เรื่อง ถ้าหากว่าก้าวหน้ามาก บางทีทำให้ไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นต้องระวัง เด็กบางคนดาวเทียมดี เด็กบางคนดาวเทียมไม่ดี แต่ว่าส่วนมากดาวเทียมไม่ดี ก็ต้องพยายามที่จะช่วยคนที่ดาวเทียมไม่ดีให้เขาได้มีความรู้พอควรกับสมองเขา คนที่มีสมองดีก็เข็นให้เขาได้ดีขึ้น

สำหรับเรื่องอย่างนี้ สมเด็จกรมหลวงนราธิวาสฯ ท่านสนพระทัยมาก เรื่องสมองของเด็ก แล้วก็ท่านอยากที่จะให้เด็กได้มีโอกาสเรียน เรียนรู้ให้ดี เต็มที่ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องสนับสนุนให้เขาได้เด็กๆ ได้ไปแข่งขัน แต่ก่อนนี้เมืองไทยนี่ พวกที่เรียนเลข เมื่อ 50 ปี นับว่าเรียนเก่งมาก ต่อมาค่อยๆ ด้อยลง แต่เดี๋ยวนี้เด็กก็ดีขึ้นแล้ว คือถ้าเราเอาใจใส่เด็ก เพื่อให้ได้ความรู้ที่สูง แล้วก็ให้เขาสามารถที่จะเรียนสูงขึ้นไปต่อไป ถึงขั้นมหาวิทยาลัย ถึงขั้นปริญญาโท ปริญญาเอก ให้ได้เรียนได้ แล้วก็มีโอกาสมาปฏิบัติ แต่โดยมากคนที่เรียนได้ มีตอนหนึ่งได้เป็นปริญญาเอก กลับมาใจไม่สบาย ไม่มีที่ทำงาน เดี๋ยวนี้ก็มีที่ทำงาน แต่บางทีก็ไม่เหมาะสมกับงาน กับความรู้ที่มี อันนี้ที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะนายกฯ ทักษิณนี่มีความตั้งใจที่จะให้มีการงานที่เด็กที่มีความรู้ดี มีความสามารถดี ได้ทำงานได้ เพื่อที่จะให้มาช่วยส่วนรวม อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่พูดว่าเมืองไทยนี่ต้องมีคนที่สามารถคิด มี เขาเรียกว่าวิสัยทัศน์ เดี๋ยวนี้คำว่าวิสัยทัศน์เขาแปลเป็นคนละอย่าง แต่วิสัยทัศน์นี่เรียกว่า เมื่อ 2-3 ปี ทราบว่าคนมีวิสัยทัศน์ มีวีชั่น ภาษาฝรั่งเขาเรียกมีวีชั่น วีชั่นก็มีสายตา เหมือนสายตาที่เห็นอะไร มีวีชั่น แต่ว่าทางโบราณอีก ก่อนสัก 20 ปี มีวีชั่นก็หมายความว่าคนที่เห็นอะไรแปลกๆ คือบ๊องๆ เห็นอะไรที่ขึ้นมา แล้วก็เวลาเห็นอะไรแล้วก็หัวเราะกั่กๆๆๆ

ภาษาฝรั่งเขาว่ามีวิชั่น วิชั่นต้องมีสายตาที่เห็นอะไรมีวิชั่น แต่ว่าถ้าโบราณอีกก่อน 20 ปี มีวิชั่นก็หมายความว่าคนที่เห็นอะไรแปลกๆ คือ บ้องๆ เห็นอะไรแล้วก็หัวเราะก๊ากๆๆๆ เขาว่าเป็นมาที่หลังวิชั่น เขาว่ามีวิสัยทัศน์ วิทัศน์ที่เป็นวิสัย ที่เป็นไปได้ รู้ว่าอะไรเป็นไปได้ วิสัยทัศน์ในความหมายนี้ควรจะใช้อย่างมีวิสัยทัศน์ คือมีวิชั่นก้าวหน้า มีความรู้ก้าวหน้า ผู้ใหญ่ต้องมีวิสัยทัศน์ ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์อย่ามาเป็นผู้ใหญ่ดีกว่า เพราะว่าเละไปหมด

ถ้าหากว่ามีวิสัยทัศน์ ดูอะไรรู้หมด ดูอะไรเป็นความจริงไปหมด ขึ้นว่าเป็น เป็นที่ใช้ได้ จำได้ว่าที่สะพานพระปิ่นเกล้า บอกว่าอยู่ตรงนี้ต้องตัดถนนให้มันคล่องแคล่ว มิเช่นนั้นถ้าไม่ตัดถนนให้มันคล่องแคล่ว รถที่มาจากถนนราชดำเนินขึ้นสะพานก็ไม่ได้ ถนนราชดำเนินมี 6 เลน แต่ว่าสะพานมี 3 เลนเอง แล้วก็เป็นคอขวด ถ้าอยากทำต้องทำให้มันแล่นสะดวก จำได้ว่าวันนั้นท่านบัญญัติ มาพูดถึงว่าต้องเข้ากรรมการจราจรอะไรนั่น บอกว่าไม่ทัน จราจรเขาก็บอกว่าต้องทำอุโมงค์มุดลงไป เจาะอุโมงค์เนี่ยไปเจอะน้ำ เจอคลอง ก็ต้องใช้เงินเป็นกี่ร้อยล้าน ร้อยล้านเวลานั้นรู้สึกมาก ทำไม่ได้ต้องกินเวลากี่เดือนก็ไม่รู้กว่าจะสร้างได้ เราบอกไม่ต้องไปตรงเลย ทำให้มันไปโดยดี เลี้ยวให้นิ่ม

ลงท้ายความจริงหลอกท่านรองนายกฯ ตอนนั้น หลอกท่านว่าที่จริงรถที่จะมาสร้างมันอยู่ข้างหลักกำแพง พอเสร็จแล้วท่านบอกว่าตกลงจะไปเข้ากรรมการอะไร จราจร ก็สั่งเลย 2 เดือนเสร็จ แล้วก็รู้สึกว่าคนก็พอใจ ขอโทษด้วยมาพาดพิงแต่ว่าเมื่อต้องทำอะไรที่ไม่ง่าย แล้วจนทุกวันนี้มันแล่นไปดี ถ้าตรงนั้นเป็นคอขวด ที่อื่นก็เป็นคอขวดหมดแล้ว แต่คอขวดอันนี้แล่น 3 ช่อง ไปใช้สะพานพระราม 8 อีก 2 ช่อง เป็น 5 ช่อง ก็เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยแน่น อย่างที่นายกฯ บอกว่า แก้ไขจราจร สะพานพระปิ่นเกล้า 3 ช่อง สะพานพระราม 8 อีก 2 ช่อง เป็น 5 ช่อง ออกทางโน้น ไปขึ้นลอยฟ้า 2 ช่อง ข้างล่าง 3 ช่อง ก็ 5 ต้องคำนวณง่ายๆ อาจจะคำนวณง่ายๆ อย่างนี้มันง่ายเกินไป เลยไม่สนุก แต่เรียกเพราะว่าเอาสนุกเท่านั้น

คำนวณง่าย 2+3 เป็น 5 อันนี้เด็กๆ ก็คำนวณได้ 2+3 เป็น 5 ก็แล่นมาออก 5 ที่ถนนราชดำเนิน 6 แล้วก็ถนนราชดำเนินก็ต้องมีที่กว้าง ใหญ่โตหน่อย ก็มีคนมาถามว่านี่แล่นได้แล้วมาถึงสะพานผ่านฟ้า ก็ขยาย 2 ช่อง แล้วก็ต่อไปก็สะพานมฆวาน ก็ขยาย 2 ช่อง แล้วก็มีคนว่าแล้วต่อไป ก็ต่อไปก็ได้ไปถนนศรีอยุธยา ถนนศรีอยุธยาก็ขยาย ที่เป็นคลองก็เบี้ยวหน่อย แล้วต่อไปเข้า อันนี่พาดพิงแต่ท่านไม่อยู่ ไปพาดพิงท่านนายกฯ ชวน ก็ไปแล่นบ้านนายกฯ ทะลุไป ท่านก็ไม่เดือดร้อนอะไร ข้ามไปอย่างที่พูด ไปถึงมักกะสัน ผ่านมักกะสันทะลุไปทางด่วน ก็ไปทางด่วนเลย จากธนบุรี มาทราบว่า ไปถึงทางด่วนไปดอนเมืองได้ ทะลุ ต้องดูอะไรทะลุ ต้องใช้ตาว่า ทะลุไป นี่มันนานปีแล้ว เท่าไร ตอนนั้นไม่กล้าเล่าให้ฟัง เพราะถ้าเล่าให้ฟังเดี๋ยวโกรธ ทำอะไรก็ต้องคิดว่า ทำได้ เมื่อทำได้แล้วก็ต้องแขวะท่านนายกฯ ตอนนี้ เข้ามาทำการจราจรง่าย ให้ท่านทำ ตอนนั้นเป็นรองนายกฯ รองนายกฯ ฟัดกับท่านคุณสมัคร คุณสมัครท่านเป็นรัฐมนตรีคมนาคม รองนายกฯ เหมือน กัน รองกับรอง รองนายกฯ สมัครบอกไม่เป็นไร มาจากข้างนอก มุดใต้แม่น้ำ แล้วจะโผล่ที่ไหนไม่ทราบ โผล่มา ท่านรองนายกฯ ทักษิณ รออยู่ข้างบน ไม่พบกันเลย ข้างบนข้างล่างไม่พบกัน ก็เลยเป็นโครงการ

ท่านสมัครมุดลงไป หลับหูหลับตามุดไปออกทางนู้น สนามกีฬา ทางตะวันออก ไปเจออะไร ข้ามแม่น้ำไป แล้วไปไหน แต่ ของเราข้ามแม่น้ำ ก็ขึ้นลอยฟ้า ก็เลยทำให้ปรองดอง รองนายกฯ กับรองนายกฯ นี่ก็เล่าให้ฟังแปลกๆ เราก็ต้องอวด และโม้ว่า ทำให้รองนายกฯทั้งสอง ทำไปทำมานับว่าดีพอสมควร จราจรเรียบร้อยแล้ว แต่ที่สำคัญเรื่องที่ฟัง เห็นว่า เด็กๆจะต้องสามารถเรียนรู้ เรียนให้ทำงาน เพื่อช่วยบ้านเมือง ถ้าเด็กไม่มีความรู้ ช่วยบ้านเมืองไม่ได้ บ้านเมืองไปไม่รอด เพราะเด็กมัวแต่ไปเสพยาเสพติด สูบบุหรี่ ไม่ดี เสพยาไม่ต้องบอกหรอกว่าเสียหายยังไง แต่บุหรี่นี่หูเสีย ตาเสีย สมองเสีย เส้นเลือดเสีย หัวใจ เมื่อ 10 กว่าปีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล มาเจาะหัวใจ 3 ครั้ง

ถึงเดี๋ยวนี้ หัวใจสบายมาก เมื่อเลือดเดินดี ก็แข็งแรง แต่ว่ามันมีอื่นๆ ที่มาจากวิธีเจาะหัวใจนี่ ไปเจาะหัวใจนี่สบายมาก จนกระทั่งทำให้มีความคิด ความรู้เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ แล้วก็ได้ไปช่วยเพื่อนที่เป็นโรคแบบเดียว เป็นอย่างนี้ ไปหาหมอเจาะหัวใจ ไปเจาะหัวใจทันที เขาก็ไป เพื่อนเขาเป็นกีต้าร์ เล่นกีต้าร์หงอย เพราะว่าหัวใจมันตัน ก็ไป เขาก็ไปทำ ไม่กี่วันกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสเล่นกีต้าร์เลย สบายมาก คือที่ไปเจาะหัวใจ ได้ความรู้ว่าเจาะหัวใจนี่มันมีประโยชน์ เราก็ให้ไปเลย ก็มีหมอที่ดีก็ช่วย เมื่อช่วยแล้วกลับมาเขาต้องไปทำ 2 ครั้ง หมอหลวง ก็บอกให้คุณนั่นน่ะ ที่พระเจ้าอยู่หัวให้ไปน่ะ ดี เคราะห์ดี ไม่อย่างนั้นตาย จริง

แต่ก็ต้องขอให้หยุดสูบบุหรี่ เขาสูบบุหรี่มาก พี่ชายเขาก็สูบ ตายแล้ว พ่อก็สูบ ตายแล้ว ก็เหลืออยู่คนเดียว เขายังไม่ตาย แล้วก็ปลอดโปร่ง ไปเข้าเรียน เรียนขั้นความรู้สูง ตอนแรกเขาไม่มีความรู้ ได้เรียนได้ แล้วก็บุหรี่นี่ไปทำให้หัวใจเขาเสีย ไม่ใช่ใจเสียนะ หัวใจเสีย แล้วก็ไปทำครั้งแรก เรียนได้ ตอนนี้ก็กำลังเรียน เกือบจบแล้ว อายุมาก ก็ไม่ใช่เด็กๆ เขาก็ได้มีชีวิตที่ดี ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังว่า คนที่สูบบุหรี่ สมองก็ทึบ ทำไปทำมาก็ทึบขึ้นทุกที เพราะว่า ทึบเพราะว่าเส้นเลือดในสมองมันตีบ มันเล็ก คิดอะไรไม่ออก ตอนแรกนึกว่าคิดออก แต่ทีหลังมันก็คิดไม่ออก ทีแรกนึกว่าคนเราสูบบุหรี่ทำให้กระฉับกระเฉง ตรงข้าม ไม่กระฉับกระเฉง ทำให้รู้สึกว่าทึบ สมองมันทึบ สมองมันตัน ก็เลยเห็นว่าเลิกสูบบุหรี่ดีกว่า เห็นมีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ แล้วก็ห้ามขายบุหรี่แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ที่จริง เด็ก อายุ 50 ก็ควรจะห้าม คนไหนที่อายุ 80 อยากสูบบุหรี่ก็สูบ

แต่ว่า อย่างตอนนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนี ท่าน 80 แล้ว ท่านสูบบุหรี่ สมเด็จกรมหลวงฯ ท่านก็สูบบุหรี่ แล้วภายหลังท่านเลิก แต่สมเด็จพระบรมราชนนีท่านบอกท่านไม่เลิก แก่แล้ว แก่แล้วจะไปเลิกได้ยังไง ก็ แม้จะเลิก 2 ปี มันก็ทำให้ดีขึ้น แต่ก็แก่แล้ว แต่ในที่สุดท่านต้องเลิก เพราะว่าไม่สบาย ท่านก็อายุ ทำไปทำมาท่านอายุ 95 เราก็เลยนึกว่า เราเลิกบุหรี่นี่ดี

อายุ มีคนบอกอยากจะให้อายุ 120 ...120 นี่ ถ้าจะ.. แต่มีคนเขามาบอกว่า คนเราอายุที่ได้ถึง 128 คนที่มาบอกนี่ 128 คงไม่นึกถึง 128 เพราะว่า 128 นั่นต้องให้ร่างกายมันดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้า 120 ก็ยอม เอา แค่ 120 แต่ว่า 120 นี่ก็ไม่เลว ถ้าได้ 120 ก็อีก 40 กว่าปี 40 กว่าปี ท่านทั้งหลายนี่ ง่อกแง่กๆ แต่ว่าถ้าทำให้ร่างกายดี อาจจะได้ ระมัดระวังให้ดี เพราะว่าบางคนเดี๋ยวนี้อายุ 70 ไม่ถึง 120 เรา 120 นะ เขาก็เท่าไร...เรา 120 เขา 110 ก็...เขาก็ทำงาน คงจะทำงานได้ ดูเหมือนผู้พิพากษา โทษ 70 นะ...70 นี่ยังทำงานต่อได้อีก 40 ปี ก็นับว่า..แต่ท่านอาจจะง่อกแง่กๆ แต่ว่า ผู้พิพากษาอายุ 70 ถ้าไม่ง่อกแง่ก ก็ทำงานได้ ให้ถึง 120 เลย แต่ก็สงสัย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ใกล้ๆ 70 ก็ชักจะงอแง ...ยิ้มอย่างงอแงนะ...ก็ ยังไง 70 ก็ไม่เลว แต่ 80 ก็น่าจะได้ เดี๋ยวนี้ สมัยนี้ คนอายุ 70 ก็ดูกระฉับกระเฉง 77 หย่อน 1 วัน ก็นับว่า ไม่ถึงวันก็ 77 แล้ว เราเกิด 8 โมงเช้า ที่อเมริกา ยังไม่ทราบ 8 โมงเช้า ที่นี่เท่าไร สองทุ่ม...สองทุ่มวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่สองทุ่ม...พรุ่งนี้สองทุ่ม ก็หมายความว่าอีก 24 ชั่วโมงกว่าๆ เรา 77 ก็ระหว่างนี้ก็คงยังแข็งแรงดี

นี่มาพูดพื้นๆ เลอะๆ เทอะๆ อย่างนี้ ก็ยิ่งอายุยืน ไม่ทราบท่านจะอายุยืนไหม บางคนอาจจะตรอมใจ แต่ว่า อย่างท่านผู้เฒ่าต่างๆ ต้องให้อายุยืน ส่วนเด็ก เด็กก็ เขาไม่เชื่อนายกฯ สูบบุหรี่ เล่น เอาคาราโอเกะ อะไรๆ ไม่เชื่อ ก็เรียนอะไรไม่ได้ นายกฯ ต้องไปเจรจาให้เด็กๆ อายุ 10 ขวบ ถึง 20 ขวบ เรียกให้เขาตั้งอกตั้งใจเรียน แล้วก็ต่อไปอีก 80 ปีข้างหน้า 70 ปี เขาก็จะได้ทำงานได้ดี และถ้าเด็กได้ทำงาน 70 ปี เมืองไทยจะไปขนาดไหน ไปถึงดวงดาวได้ ทำให้เมืองไทยมีชื่อเสียงได้ ถ้าเราไม่ระวังเดี๋ยวนี้ ต่อไป 80 ปี พวกเด็กสมัยนี้ ที่ไม่ระวัง ไม่ถึง 80 ปี

สูบบุหรี่นี่ถอนอายุมากๆ แต่เดี๋ยวนี้ได้ยินว่า บุหรี่ชักดีขึ้น แต่เด็กไม่ดีขึ้น นี่ก็พูดอย่างนี้เด็กๆ โกรธ ยังไงเมื่อเด็กๆ อยากสูบบุหรี่ ก็สูบนิดหน่อยให้ได้ชื่อว่า สูบ เราเองก็เริ่มสูบตอนเด็กๆ บุหรี่จริงไม่มี สูบไม้แห้งๆ เด็กๆ เล่นสูบ ต่อมาอายุ 18 ได้สูบบุหรี่ เพราะทำไม ตอนนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านบอกว่า เด็กๆห้ามสูบบุหรี่ เด็กๆ หมายความว่า ลูกท่านต้องอายุ 18 ก่อน แต่ตอนนั้นอายุ 18 หลังสงครามพอดี พวกทหารฝรั่งเขามีกระป๋องสำหรับทหาร มีอาหารยังชีพ แล้วมีบุหรี่ มีบุหรี่กี่มวนล่ะ 6 ม้วน ในนั้น คนก็ให้เราก็ลอง ตอนนั้นอายุ 18 นานๆ ไปก็เลยชินแต่ก็บุหรี่อย่างนั้นก็หมดไป เพราะหลังหมดสงคราม แต่ต่อมามีเกี่ยวข้องกับเรื่องบุหรี่นี่ มีพี่เขยน้องเขยเขาสูบบุหรี่ ก็เลยสูบบุหรี่บ้าง ตั้งแต่นั้นสูบบุหรี่มาจนที่หลังมีอาการหัวใจ หมอก็บอกเลิกสูบบุหรี่ก็ไม่เชื่อหมอ ก็ยังมีอาการหัวใจต่อ

จนกระทั่งหลังมีบุหรี่อยู่ในห้อง ไม่ไหว วางเอาไว้บนโต๊ะ ในซองบุหรี่มี 10 มวน วางเอาไว้ ไม่แตะอีกเลย เขาบอกว่าให้เลิก เราก็เลิกทีละมวน ทำไปทำมาเราก็เอาหนังสือราชการวางทับ บุหรี่ก็อยู่ใต้หนังสือราชการ ไม่รู้ เดี๋ยวนี้เขาคงเอาไปทิ้งหมดแล้ว แต่ว่าอยู่ตั้งนาน อยู่ใต้ตั้งหนังสือเนี่ย เข้าใจว่าประมาณปีหนึ่งไม่ได้แตะ เพราะว่าถ้าไปแตะต้องไปขุดหนังสือราชการ หมายความว่าคงลึก หนังสือราชการนะ ไม่ใช่ทำราชการนะ หนังสือราชการมา ก็ทำๆ แล้วก็ตั้งต่อแล้วก็ตั้งอยู่สูง เดี๋ยวนี้หนังสือราชการด่วนที่สุด ขึ้นมาถึงสูงเท่านี้ ทีหลังก็ขุดๆๆๆๆ แต่ยังมีด่วนมาก ด่วนที่สุดได้ทำ 3 ธ.ค. ทำเสร็จแล้ววันนี้ ช้าไป 1 วันเท่านั้นเอง แต่ด่วนมากเดือน พ.ย. 2 อาทิตย์ ต้องไปขุด เดี๋ยวกลับไปต้องไปขุด กลับออกไปต้องไปหัวหิน นี่เดี๋ยวถ้าจะพอแล้ว เพราะไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้นอน ถ้าไม่นอนเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ไหว เป็นอย่างนี้เสมอ

ถึงวันเกิดนี่ วันเกิดก็มีการพบปะอย่างนี้แล้วก็จะต้องไปนอน เดี๋ยวไม่ได้นอน ขึ้นไปหาสมาคมจะร่วงลงไปทุกคน เพราะว่ามันสูง ขานี่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็เลยต้องเตรียมตัว แต่อย่างไรก็ตาม ได้มาพูดค่อนข้างจะยาว อ้อพอดีเวลา เหลือ 2 นาที เหลือ 2 นาที ให้ดนตรีลุกขึ้นได้ ก็ขอให้ท่านมาที่นี่ได้มีความแจ่มใส วันนี้รู้สึกว่าท่านจะแจ่มใสดี ต้องแจ่มใส เพราะว่าถ้าไม่แจ่มใส ทำงานไม่ได้ ต้องให้ท่านทำงานได้ดีๆ แล้วก็คิดถึงงานที่มี ที่จะต้องทำ ทำให้ดีๆ ไม่ทำให้เละ ถ้าทำให้เละ ประเทศชาติก็เละ ก็ขอให้มีความสุข ความสำเร็จทุกประการ
กำลังโหลดความคิดเห็น