xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำปาฐกถาพิเศษ "ขุมทองเมืองพะเยา"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายการก่อนจะถึงวันจันทร์ สเปเชียล พบกับปาฐกถาพิเศษ ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในหัวข้อ “ขุมทองเมืองพะเยา” เสนอให้เมืองพะเยาเป็น “โอเอซิส” ของล้านนา เป็นเมืองที่พักอาศัยและท่องเที่ยว อยู่กลางระหว่างหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่-เชียงราย ซึ่งกำลังจะเติบโตเป็นเมืองการค้าในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ พร้อมห่วงวิกฤตกว๊านพะเยาถูกทุกฝ่ายแย่งกันพัฒนา แต่ละเลยปัญหาพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ชี้ทางออกมุ่งพัฒนาเกษตรอินทรีย์ทั้งจังหวัด

สโรชา – สวัสดีค่ะคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการก่อนจะถึงวันจันทร์ค่ะ กลับมาพบกันเช่นเคยทุกคืนวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆอย่างนี้แหละค่ะ กับคุณสำราญ รอดเพชร คุณคำนูณ สิทธิสมาน และดิฉันสโรชา พรอุดมศักดิ์ แต่วันนี้พิเศษซักนิดนึงค่ะ เพราะว่าเราจะพาคุณผู้ชม ไปชมปาฐกถาพิเศษของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลนะคะ ในงาน Dinner Talk หัวข้อ “ขุมทองเมืองพะเยา” ค่ะ ที่หอประชุมโรงเรียนพะเยาพิทยาคม จังหวัดพะเยา คุณสนธิได้พูดในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจของจังหวัดพะเยา จะพูดอย่างไรบ้าง ไปติดตามชมกันเลยค่ะ

VTR
พิธีกร – ท่านผู้มีเกียรติครับ ก่อนที่ท่านจะได้พบกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุลนั้น ผมขออนุญาตนำเรียนประวัติโดยสังเขป ท่านสนธิ ลิ้มทองกุล พื้นฐานการศึกษาจบทางด้านประวัติศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา ปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ได้ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากสหรัฐอเมริกา ด้านอักษรศาสตร์ ออสเตรเลีย บริหารธุรกิจ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เศรษฐศาสตร์

ท่านสนธิ ลิ้มทองกุลท่านเป็นนักบริหารสื่อสารมวลชน ที่ได้รับการยอมรับว่ามีวิสัยทัศน์เยี่ยม เป็นเจ้าของผู้ก่อตั้งสื่อในกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ โดยเฉพาะที่สังคมได้สัมผัสข้อคิด ความเห็นที่เฉียบคมทุก 3 ทุ่มของทุกๆวันศุกร์ คือรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ท่านผู้มีเกียรติครับ เวลาที่ทุกท่านรอคอย ณ บัดนี้ได้มาถึงแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขอเสียงปรบมือต้อนรับท่านด้วยครับ

สนธิ – ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ท่านประธานหอการค้า แล้วก็ที่ปรึกษา ท่านสุภาพสตรี ท่านสุภาพบุรุษ และก็พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา วันนี้เป็นวันที่ผมเพิ่งจะได้พูดครั้งแรกในชีวิต ในหอประชุมโรงเรียนมัธยม ที่เปิดโล่งกว้างแล้วก็มีการเลี้ยงโต๊ะจีนอีกต่างหาก ที่พูดอันนี้ให้ฟังเนี่ย อยากจะพูดจากใจจริงว่า ผมมีความสุขมาก เพราะชีวิตที่พูดอยู่ในโรงแรมชั้นหนึ่งที่มีห้องแอร์ มีเครื่องเสียงที่ทันสมัย แล้วก็มีพิธีการที่มากมาย เมื่อมาเปรียบเทียบกับตรงนี้แล้ว มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ผมจะบอกให้พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยานั้น มันตรงกับความรู้สึกที่ผมมีอยู่ในที่นี้ เหมือนกับผมเดินออกไปข้างนอก นั่งอยู่ตรงนั้นมีน้องชื่อป้อม อ้วนๆวิ่งเข้ามากอดแล้วก็บอกว่า “ลุงมาทำไมที่นี่?” ผมก็บอก “ลุงจะมาพูด” “ลุงจะมาพูดให้ใครฟัง?” แล้วบอกว่า “พูดให้คนพะเยา” เขาบอกว่า “เขาจะฟังหรือ?” เอ่อ พะเยาเป็นเมืองเล็กที่ยิ่งใหญ่ แต่คนพะเยาชอบทำตัวให้เล็ก คนพะเยาเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งๆที่พะเยานั้นเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงมากๆ ถ้าผมบอกว่าพะเยามีศักยภาพสูงกว่าเชียงใหม่ ท่านผู้มีเกียรติคงจะหัวเราะเยาะผม แต่ผมกล้าพูดได้ว่า เมืองพะเยาเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงกว่าเชียงใหม่ ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ที่ผมพูดเช่นนั้นเพราะว่า เชียงใหม่นั้น ต้นทุนทางสังคมเท่ากับศูนย์ไปแล้ว หมดไปแล้ว เชียงใหม่ไม่มีต้นทุนทางสังคมเหลืออยู่เลย แต่พะเยายังมีต้นทุนทางสังคมที่เต็มที่อยู่ เป็นเพียงแต่ว่า ใกล้เกลือกินด่าง อยู่กับมันทุกวันแล้วมองไม่เห็น กว๊านพะเยา

สมัยหนึ่งผมเคยไปเรียนตอนที่ผมจบโรงเรียนมัธยมที่ประเทศไทย แล้วผมไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา ผมจำได้ว่า ผมไปใช้ชีวิต 1 ปีที่ไต้หวัน ผมมีเพื่อนรุ่นพี่คนนึงอยู่พะเยา ที่บ้านทำโรงสี แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน วันนี้เขาคงอายุไล่เลี่ยกับผม หรือว่าคง 60 แล้ว เขาชื่อภาษาจีนที่เขาเรียกกันว่า เต้ง ซึ่งผมไม่ได้เจอเขามาเป็นเวลาหลาย 10 ปีแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน ผมจำได้ว่าเขาชวนผมมาเที่ยวกว๊านพะเยา แล้วก็ไม่อยากจะพูดให้พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยาเสียใจ ว่าในชีวิตเกิดมา เพิ่งจะเคยมาเห็นกว๊านพะเยาได้ครั้งเดียวเมื่อสมัยเด็กๆ

เมื่อกี๊นี้นั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ก็ได้คุยกับท่านวิชาญ เขาก็มีการพนันกันตามประสาคนแก่แล้ว ว่าผมนี่เป็นคนจังหวัดไหน หลายคนบอกว่าผมเป็นคนเชียงราย ผมบอกผมไม่ใช่ ผมเป็นคนสุโขทัยครับ เพราฉะนั้นแล้วโดยพื้นที่ภูมิศาสตร์แล้ว เราก็อยู่ห่างไกลกันไม่มากเท่าไหร่ ทุกวันนี้กว๊านพะเยาเป็นสัญลักษณ์ของเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมสำคัญทั้งหมดอยู่รอบๆกว๊านพะเยา ไม่เพียงเท่านั้น โครงการของรัฐหรือพวกเราเองพยายามใช้กว๊านพะเยานี้เป็นแม่เหล็ก ที่จะดูดอะไรต่ออะไรเข้ามาในเมืองพะเยาเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งประเด็นนี้ผมจะพูดให้ฟังในตอนท้าย แต่ว่าในเมื่อกว๊านพะเยานั้นเป็นปัญหา หรือว่าเป็นหัวใจของการพัฒนาของพ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา ในแทบทุกด้าน แต่มันก็น่าแปลก แทบจะไม่มีใครพูดถึงปัญหาพื้นฐานของกว๊านพะเยา ความเชื่อที่ว่าปลาในกว๊านกินไม่ได้เพราะอะไร? มีการศึกษาวิจัยหรือยัง? มีการแก้ปัญหากันหรือยัง? แหล่งน้ำเสียจากภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีและน้ำเสียในเมืองที่ยังเข้าไปอยู่ในกว๊านพะเยา มีการพูดถึงหรือการพยายามจะแก้ไขอย่างจริงจังหรือเปล่า?

ข่าวคราวที่ผ่านมาที่ผมได้ยิน ผมได้ยินแต่เรื่องของการต่อยอดทำโครงการที่หยิบฉวยง่าย เช่นการทำถนนรอบกว๊าน การปรับภูมิทัศน์ การปล่อยโครงการพันธุ์ปลา โครงการอนุรักษ์พันธุ์ปลา เราเชิญชวนคนมาเที่ยวกว๊าน ให้ใช้คนเนี่ยมาดูความสวยงามของผิวน้ำ แต่เราปิดตาอีกข้างนึงของเรา ไม่พยายามรับรู้ว่า ใต้ผิวน้ำนั้นมีพิษสะสมหรือเปล่า ขนาดที่คนพะเยาส่วนนึงยังไม่กล้ากินปลาที่จับจากกว๊าน พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยาครับ นี่มันอะไรกัน? แล้วเราจะพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคตกันได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นในตัวกว๊าน ถ้าเราไม่แก้ไขมัน เวลาท่านไปเที่ยวเชียงของ ที่นั่นเขาจะเชิญชวนให้ชิมอาหารปลาแม่น้ำโขง แต่มาพะเยาเราบอกผู้มาเยือนได้เลยว่า กว๊านพะเยาสวยมาก มาดูทิวทัศน์แต่ว่าไม่มีปลาให้กินเพราะมันเหม็น มันน่ากลัวอันตราย ปลาอาจจะไปกินไร หรือตะไคร่ หรือสาหร่ายที่มีพิษมา มันเป็นตรรกที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงของเป้าหมายของเมืองเพื่อการท่องเที่ยวและเมืองที่น่าอยู่ เรามีโครงการอยู่เยอะ แต่เราไม่เคยมีโครงการที่จะแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของกว๊านพะเยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพของน้ำ หรือว่าคุณภาพที่อยู่ใต้น้ำนั้น เราจะต่อยอดความสำเร็จบนฐานของความอ่อนแอและความเสื่อมโทรมอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะอันนี้เป็นความพัฒนาที่ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน

ท่านผู้มีเกียรติคงไม่รู้ว่า คนทั่วประเทศไทยเนี่ยเขายังเข้าใจว่ากว๊านพะเยาคือบึงน้ำกว้างใหญ่ สวยงามท่ามกลางการโอบล้อมของเทือกเขา มีแม้กระทั่งการแต่งเพลงกว๊านพะเยาบรรยายเอาไว้อย่างสวยงาม ใครฟังก็อยากลองมาดูมาเห็นในครั้งหนึ่งของชีวิต ผมคงไม่ต้องเอาเนื้อหาที่คุณชาลี อินทรวิจิตรแต่งเรื่องกว๊านพะเยากันนะครับ เพราะว่าท่านผู้มีเกียรติคงจะรู้ เอาล่ะเราสัมผัสกันถึง ขุมทองของพะเยาที่พวกท่านมีอยู่ ที่ราบพะเยา เชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวดีที่สุดในภาคเหนือก็ว่าได้ เผลอๆอาจจะในประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ พะเยาแท้ที่จริงแล้วเป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ เป็นอู่น้ำอู่ข้าวมายาวนาน พื้นที่ๆสำคัญอย่างเช่น ทุ่งดอกคำใต้ ทุ่งลอ และทุ่งเทิง เป็นพื้นที่ๆผลผลิตทางข้าวที่สำคัญของจังหวัด

ผมมีตัวเลข GPP ของปี 2544 ของสภาพัฒน์ พะเยามีอัตราการเจริญเติบโตของจังหวัดเป็นอันดับ 3 จากท้ายตาราง ผลผลิตมูลค่ารวมปีละประมาณ 15,000 ล้านบาท ชนะเพียงแค่แพร่กับน่าน เทียบรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 30,686 บาทจากสภาพัฒน์ สูงกว่าแพร่และน่าน แต่เป็นที่ 3 อันดับจากอันดับท้ายอยู่ดี เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นที่มีรายได้สูง อย่างเช่น ลำพูน ซึ่งมีปีละ 67,000 บาท และเชียงใหม่เกือบๆ 70,000 บาทต่อปี ถ้าเราจะบอกว่าคนพะเยานั้นมีรายได้น้อยกว่าที่เขารวยเป็นระดับต้นของภาคอยู่เท่าตัว และถ้าบังเอิญมีคนย้อนถามว่า ถ้าพะเยาอุดมสมบูรณ์จริง ทำไมประชากรยังยากจนติดอันดับท้ายๆของภาคเหนือล่ะ จะตอบคำตอบนี้เราต้องดูเงื่อนไข ปัจจัยหลายประการ

อันดับแรก เราต้องดูก่อนว่าช่วงก่อนปี 2539 – 2540 เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องราคาข้าวเปลือกและข้าวสารมาตลอด เพิ่งจะมีไม่นานมานี้เอง ประมาณปี 2539 ข้าวเพิ่งจะเป็นสินค้าเกษตรทำรายได้สูงอย่างสม่ำเสมอ ชาวนาพะเยาเมื่อ 15 ปีก่อน กับชาวนาพะเยาในวันนี้ วันที่ชาวนาพะเยาขายข้าวหอมมะลิได้เกวียนละ 7,000-8,000 บาท ท่านผู้มีเกียรติครับ มันเป็นหนังคนละม้วนกันเลย วิธีดูความยากจนหรือไม่ยากจนอีกวิธีนึง ซึ่งไม่เหมือนตัวเลขของสภาพัฒนา ที่เน้นผลผลิตมวลรวม มีการทำ GPP ของจังหวัดขึ้นมาวัด เชียงใหม่มีตัวเลขการเจริญเติบโตสูงมากจริง แต่ไม่เคยมีใครมานั่งคำนวณว่า เชียงใหม่ใช้ต้นทุนทรัพยากรของตนเองหมดไปเท่าไหร่ ใช้ต้นทุนวัฒนธรรมสิ้นเปลืองมากขนาดไหน มีต้นทุนสังคมเช่น ปัญหายาเสพติด วัยรุ่นมั่วสุม เธค ผับ คลับ บาร์อยู่หน้าวัด ภายใต้ตัวเลขการเจริญเติบโตที่สวยงามเหนือกว่าจังหวัดอื่น เชียงใหม่ได้ใช้ต้นทุนของตัวเอง จนไม่มีเหลือบนหน้าตัก

ท่านผู้มีเกียรติ พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา คนพะเยาอยากจะรวยเหมือนคนเชียงใหม่ แต่จนในทางสังคมหรือเปล่า? อยากจะให้รายได้ต่อหัว 60,000 บาท แต่มีโสเภณีเต็มบ้านเต็มเมือง มียาเสพติด มีวัยรุ่นซึ่งมั่วสุม อยากจะรวยแบบนั้น รวยแต่ทรัพย์แต่ไม่มีจิตวิญญาณเหลืออยู่หรือเปล่า นั่นคือคำถามที่ถาม นิตยสารระดับโลก เนชันแนลเจอกราฟฟิก เดือนมีนาคม เมื่อประมาณซัก 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้ เขาเพิ่งจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สุดในโลก 115 แห่ง เขาให้เชียงใหม่กับภูเก็ตอยู่ที่ไหน

ท่านผู้มีเกียรติทราบไหม อยู่ในหัวข้อกำลังเลวร้ายลงไป นี่คือเชียงใหม่และภูเก็ต ที่น่าเจ็บใจที่สุด แหล่งท่องเที่ยวของไทยทั้งคู่ ทั้งเชียงใหม่และภูเก็ตอยู่ท้ายตาราง แพ้แหล่งท่องเที่ยวเอเชียอื่นๆทั้งหมดเลย ไม่เพียงเท่านั้น ครม. สัญจรก็เพิ่งจะช็อคกับตัวเลขอัตราฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ต่ำกว่า 10 ไมครอน ซึ่งฝุ่นขนาดเล็กนี้สามารถที่จะผ่านการกรองของขนจมูก ลงไปถึงปอดได้เลย ปรากฏว่าเชียงใหม่มีปัญหาฝุ่นที่ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ติดกันถึง 3 เดือน ภาพลักษณ์ที่ติดลบที่ถูกประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกแบบนี้ หรือว่าปัญหาที่คนในเมืองอยู่ด้วยความไม่สงบ ไม่สบายกาย สบายใจ อันที่จริงควรเอามาเป็นตัวคำนวณ ตัวเลขความเจริญเติบโตด้วยสิ ทำไมจะคำนวณเฉพาะเม็ดเงินล่ะ คำนวณสุขภาพ คำนวณสิ่งแวดล้อม คำนวณมลภาวะ คำนวณทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งถ้าเรามีวิธีคิดเรื่องการเจริญเติบโตเสียใหม่ ให้เอาความสุขสบาย ความอยู่เย็นเป็นสุข อัตราการป่วยไข้ สถิติอาชญากรรมมารวมด้วย ผมเชื่อแน่ว่า เชียงใหม่ไม่ได้อยู่หัวขบวนทางภาคเหนือหรอก

เมื่อตะกี๊เราพูดถึงปัญหาว่าเมืองพะเยาเป็นอู่น้ำอู่ข้าว แล้วทำไมคนยังจนอยู่ พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา คนพะเยาไม่ได้จน ชัยภูมิดีมาก มีที่ราบกว้างใหญ่ มีน้ำอุดมสมบูรณ์ พะเยาเป็นฐานการผลิตของภาคการเกษตรที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยอยู่แล้ว แต่เราไปติดลงหลุมซึ่งคนตกมานานแล้วนับเป็นปีๆ นับเป็นทศวรรษ ความคิดที่มองว่าเกษตรกรต้องยากจน เพราะเราไปมองปัญหาราคาข้าวเปลือก ปัญหาพืชผลในยุคก่อน ยุคที่พ่อค้าคนกลางมากำหนดหรือกดขี่ ท่านผู้มีเกียรติครับ ประเทศไทยในทศวรรษหน้า เชื่อผมนะครับ จะต้องเป็นครัวโลก นี่เป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศแน่นอน ปัญหาคือพวกเรานี่ต้องมาตีโจทย์ให้แตก ว่าเราจะใช้ฐานที่สมบูรณ์ของพะเยานี้ ที่มีอยู่แล้วเราจะใช้มันยังไง ท่านให้หัวข้อเพื่อให้ผมมาชี้ว่า ขุมทองของพะเยานั้นคืออะไร อันที่จริงแล้ว มีคนอยู่ 2 คนที่เห็นขุมทองนี้ก่อนแล้วลงมือขุดไปแล้วนานพอสมควร

รายแรกคือบริษัทเชียงใหม่ชัยวิวัฒน์ ของตระกูลโตวิวัฒน์ เขาเคยเป็นประธานหอการค้าเชียงใหม่ เขามีอาชีพส่งออกข้าว แล้วไปเจอช่องทางตลาดใหม่ นั่นคือสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาด EU ตลาดยุโรป อินทรีย์ที่ผมพูดถึงมันมาจากศัพท์คำว่า ออร์แกนิก อธิบายแบบง่ายๆคือ อาหารที่ทำจากออร์แกนิกฟาร์ม จะไม่ใช้สารเคมีใดๆเลย แม้กระทั่งปุ๋ยเคมีในดินก็ไม่ใช้ ผักออร์แกนิกจะแตกต่างกว่าผักปลอดสารพิษที่วางขายอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ต ตรงที่ผักปลอดสารพิษนั้นยังมีสารเคมีใช้บ้าง แต่ต้องปลอดภัย คืออยากฉีดๆได้ถ้าจำเป็น แต่ต้องให้พ้นระยะอันตรายก่อน กลุ่มชัยวิวัฒน์เขาเข้ามาสนับสนุนให้ชาวพะเยาที่อ.จุน ปลูกข้าวออร์แกนิกมาเกือบ 10 แล้ว ผลผลิตทั้งหมดเขาส่งไปตลาด EU ซึ่งราคาขายข้าวของกลุ่มนี้แพงกว่าข้าวธรรมดาถึง 20 และ 30% ตลาดEU ก็ซื้อหมด มีเท่าไหร่ก็ขายไม่พอ

ท่านผู้มีเกียรติ ท่านต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกก่อน ในตลาดทางตะวันตกของคนมีเงิน เขากำลังตื่นตัวเรื่องอาหารปลอดสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงกับประกาศเจตนารมณ์ว่า จะให้สังคมของเขาเป็นสังคมแห่งความปลอดภัยด้านอาหาร สินค้าหมวดอินทรีย์ ออร์แกนิกฟาร์มนี้ก็เลยเจริญขึ้นปีละ 20% ท่านผู้มีเกียรติที่ค้าขายอยู่ ถ้ามียอดขายเพิ่มขึ้น 20% นี่เรื่องใหญ่แล้วนะ แสดงว่าความต้องการสินค้าอย่างนี้ในโลกมีมหาศาล ในด้านการค้าทั้ง EU และอเมริกา ต่างตั้งองค์กรมาตรฐานขึ้นมาแล้ว เรียกว่าองค์กรสินค้าออร์แกนิกของตนเองขึ้นมา เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ถ้าจะสั่งอันนี้เข้าไปก็ต้องมีมาตรฐานรับรอง แม้ว่าในภาพรวมสินค้าออร์แกนิกจะยังเป็นตลาดเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย แต่แนวโน้มของโลก สินค้าอาหารปลอดมลพิษ หรือกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ แนวโน้มจะเป็นตลาดหลักของโลกไม่เกิน 10- 15 ปีนี้ต้องเป็นตลาดหลักแล้ว ผลผลิตข้าวอินทรีย์ของพะเยาก็ได้เข้าไปยึดหัวหาดในตลาดอนาคตเอาไว้แล้ว สำหรับผู้ที่ทำ เห็นขุมทองรายแรกในการส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU

รายที่สองเป็นคนญี่ปุ่น คิดว่าคนพะเยาหลายคนคงจะรู้จัก มิสเตอร์ มิซาบุโร ทานิกุจิกันดีอยู่แล้ว ผมขอสรุปสั้นๆว่า คุณทานิกุจิ คุณตาอายุ 81 ปี มาอยู่พะเยาได้ 12-13 ปีแล้ว ตอนแรกเขามา เขามาซื้อที่ดิน 150 ไร่ที่อ.จุน ชาวบ้านมองแล้วไม่เข้าใจ อาจจะเห็นคนบ้านเราไม่ศรัทธาในวิถีเกษตรกรรมมากเท่าส่งลูกไปเรียนในเมือง เพื่อเข้าไปเป็นเจ้าคนนายคน คุณตาทานิกุจิ จบมาทางด้านเกษตรศาสตร์ในญี่ปุ่น ก่อนจะมาปักหลักในไทย เคยรับราชการในกรมส่งเสริมการเกษตรที่ญี่ปุ่น ไปเรียนทางด้านปศุสัตว์ที่ประเทศเดนมาร์ก แล้วเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เขามีความศรัทธาในวิธีทางการเกษตรกรรมมาก ในระหว่างนั้นเดินทางไปเป็นวิทยากร ดูงานไปในประเทศอาเซียนแล้วมาเจอประเทศไทย เขาชอบมาก เขาชอบพะเยามาก เขาเอาดินเอาน้ำไปพิสูจน์ ความฝันเขาคือการสร้างฟาร์มเล็กๆที่เป็นส่วนผสมระหว่างเกษตรวิถีตะวันตกและตะวันออก เขาเรียกฟาร์มของเขาว่า ฟาร์มในอุดมคติ ต้นแบบแหล่งอาหารในศตวรรษที่ 21 ในที่สุดคุณตาก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์ หิ้วกระเป๋ามาตั้งหลักแหล่งที่ อ.จุน เมื่อ 13 ปีก่อน ฟาร์มที่นี่เป็นเกษตรแบบผสมผสาน และปลอดสารพิษโดยสิ้นเชิง และได้มีกิจการร่วมกับชุมชนในพื้นที่ มีที่ฝึกอบรมด้านการเกษตร มีการให้ทุนการศึกษาเด็กในพื้นที่ การเข้าไปช่วยเหลือชุมชนชาวเขาละแวกใกล้เคียง

คนไทยพวกเราไม่ค่อยรู้จักคุณตาทานิกุจิดีเท่าคนญี่ปุ่น สื่อมวลชนญี่ปุ่น โทรทัศน์ NHK หนังสือพิมพ์อาซาชินบุน ติดตามเข้ามาทำเรื่องราวบ่อยๆ ขณะที่ ผลผลิตของที่นี่ซึ่งเป็นเกษตรอินทรีย์ 100% มีคนเข้ามาติดต่อซื้อถึงที่ บางส่วนก็ส่งออกในราคาที่สูง เมื่อเทียบกับผลผลิตชาวบ้านทั่วไป พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา

อันนี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ เพื่อจะหยิบเอาชื่อของฟาร์มของเขา FC 21 ฟาร์มในศตวรรษที่ 21 มาเพื่อบอกว่า คุณตาชาวญี่ปุ่นที่หลงใหลเมืองไทยตอนนี้ เห็นแนวโน้มวิถีทางการเกษตรในอนาคต แล้วเขามาเห็นที่พะเยา เพราะในศตวรรษที่ 21 การเกษตรตามกระแสหลักของโลก กำลังจะถูกทำให้เป็นฟาร์ม ของพืชเชิงเดี่ยวที่ใช้สารเคมี เน้นผลผลิตต่อพื้นที่ไปจนกระทั่งถึงเทคโนโลยีชีวภาพ แต่ว่าจะเน้นไปยังไงก็ตาม ฟาร์มของคุณตาทานิกุจิขนาดเล็กๆแค่ 150 ไร่ก็อยู่รอดได้อย่างสบาย ด้วยวิธีแห่งชีวภาพ มิหนำซ้ำราคาขายก็ยังดีกว่า เพราะมีตลาดๆนึงที่กำลังโตอย่างมหาศาล ปฏิเสธพืชเชิงเดี่ยว หรือพืชตัดต่อพันธุวิศวกรรม หรือที่เขาเรียกว่า GMO แนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ แม้ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา หันมาเลือกอาหารทางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น เชื่อผม เพราะผมเห็นมากับตา ผมผ่านมาแล้ว คนรุ่นใหม่ทางตะวันตก ต้องการอาหารทางธรรมชาติ ก็เลยเกิดตลาดอาหารมาขึ้นเป็นยา ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีมูลค่าสูงถึงปีละ 27,000 ล้านดอลล่าร์ ครึ่งนึงของกองทุนสำรองที่เรามีอยู่ แล้วพืชพันธุ์ที่เขาต้องการอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ต้องไม่ลืมว่าความนิยมของชาวโลกที่มีต่ออาหารไทยนั้นเหนือชาติอื่น เพราะว่าไม่ใช่เพียงแต่เอร็ดอร่อยเท่านั้น ยังมีคุณค่าทางสมุนไพร ทางอาหารอย่างเต็มเพียบ

ทั้งหมดนี้มาจากภูมิปัญญาของพ่อแม่ ปู่ย่าตายายเรา และผมถามว่า พะเยาจะเอายังไงดีกับเกษตรธรรมชาติ หรือเกษตรอินทรีย์ ผมตอบว่า นี่คือขุมทองอันมหาศาลที่รอการขุด เพราะว่าท่านมีฐานที่ดินและฐานน้ำดีอยู่แล้ว ที่สำคัญเมืองพะเยายังไม่ได้ถูกทำลาย หรือที่เขาเรียกว่าพัฒนามากเหมือนจังหวัดอื่น หากมีการเดินไปทางแนวนี้อย่างจริงจังแล้ว โอกาสจะสูง ผมไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะคิดในเรื่องนี้หรือเปล่า ลองพิจารณายุทธศาสตร์ดู ยุทธศาสตร์จังหวัดหรือยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลให้มานั้น ละเลยกับเรื่องนี้ จริงอยู่สำนักงานเกษตรจังหวัดจะต้องมีแผนงานว่าด้วยเกษตรปลอดสารพิษและเกษตรอินทรีย์อยู่ เพราะเป็นนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตร แต่ก็เป็นไปตามระบบราชการ คือมีแผนงานให้มีการจัดฝึกอบรม 2-3 ครั้ง มีผู้ร่วมเท่าไหร่เพื่อใช้งบประมาณให้หมดไป มีเพียงแค่นี้ ลองหลับตาวาดภาพว่า หากจังหวัดพะเยาสามารถประกาศ ว่าจังหวัดพะเยาเป็นเขตจังหวัดปลอดสารเคมี หรือพะเยาเป็นเขตจังหวัดเกษตรอินทรีย์ครอบคลุมพื้นที่ภายใน 5-7 ปี จะเกิดอะไรขึ้น

ประการแรกสุด ผลผลิตที่นี่อาจจะติดตราพะเยาแบรนด์ สามารถขายได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องง้อตลาด ที่สำคัญสามารถจะส่งออกไปตลาดต่างประเทศได้ง่าย เพราะในอนาคตตลาดเกษตรอินทรีย์ยังคงจะต้องเป็นที่ต้องการมากกว่าปัจจุบันอีกหลาย 10 เท่า และที่สำคัญที่สุด คือฐานของผู้เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร คือคนพะเยาส่วนใหญ่ใน 7 อำเภอ ประการที่ 2 เกี่ยวโยงกับปัญหากว๊านพะเยา ที่มีสารเคมีทางด้านการเกษตรส่วนหนึ่งที่ไหลไปสะสม ก็คือว่าถ้าเราเป็นเกษตรอินทรีย์ สารเคมีจากการเกษตรที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ไหลลงไปในกว๊านพะเยา ทำลายภาวะธรรมชาติของกว๊านพะเยา

ประการที่ 3 ท่าน อยากได้นักท่องเที่ยวมาพะเยามากขึ้นใช่ไหม ไม่ต้องห่วงเลย เพราะถ้าท่านสามารถประกาศให้พะเยาเป็นจังหวัดเกษตรอินทรีย์ได้ เชื่อผมเถอะ แต่ละวันจะมีรถจากพื้นที่ต่างๆมาขอชม มาศึกษาดูงาน อาจจะรวมไปถึงคนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าอาหาร นั่นคือมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริการทั้งหมด ประการที่ 4 ฐานการผลิตนี้จะเป็นหัวขบวนหรือเป็นฐานตั้งต้นของกิจกรรมเกี่ยวข้องอื่นๆ ผมไม่อยากเรียกว่าเป็นการลงทุน เพราะเดี๋ยวจะมองไปเชื่อมกับการอุตสาหกรรม แต่อาจจะมีการลงทุนในภาครัฐด้านอื่นๆเช่น ศูนย์การฝึกอบรมทางด้านการเกษตร ระบบเพื่อการขนส่ง และอีกอื่นๆ

ทีนี้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริงบ้าง ภาพที่ฝันไว้อาจจะยากพอสมควรครับ เพราะหากวันนี้ไม่มีฉันทามติของคนพะเยาทุกภาคทุกส่วนแล้ว ยากที่จะเป็นจริงไปได้ ประเทศของเราเป็นประเทศเสรี ไม่เหมือนประเทศจีนที่ขีดเส้นกำหนดได้เลยว่า มณฑลนี้ให้ทำอย่างนั้น มณฑลนั้นให้ทำอย่างนี้ คนที่ทำงานด้านนี้บอกผมว่า ถ้าพะเยาตัดสินใจเดินไปสู่เกษตรอินทรีย์ ปีแรกของผลผลิตจะลดฮวบลงมา 50%เลย เพราะขาดปุ๋ยเคมีที่เคยใส่ กว่าดินและน้ำจะปรับความสมดุลของมันต้องใช้เวลา 2-3 ปี เรารอได้ไหม เรามีมาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าวเราต้องมี แต่ทั้งหมดเชื่อผม หากมีความมุ่งมั่นจริง ลำบาก 2-3 ปี แต่สบายไปอีก 100 ปี เรามองเห็นผลประโยชน์ภายหน้าที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืนไปถึงรุ่นลูกหลาน ก็น่าที่คนพะเยาจะเอาเรื่องนี้ไปคิดให้ดีๆ คิดถึงระยะยาว มันเป็นผลดีต่อการค้าไปทั้งหมด มันเป็นผลดีต่อการค้าทั้งเมืองในภาคบริการ ตราบใดสินค้าเกษตรขายได้สู่ตลาดโลกในราคาที่สูงกว่าชาวบ้านเขา 20-30% แล้วความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์มีเพิ่มขึ้นทุกปีๆ แล้วพะเยามียี่ห้อของพะเยา คือ สินค้าเกษตรจากพะเยาเป็นสินค้าเกษตรเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทย เป็นแห่งเดียวในเอเชีย แต่ต้องเร่งคิดเร่งทำ เพราอะไรรู้ไหมครับ?

พะเยาในอนาคตขุมทอง ใน 5-7 ปีข้างหน้า พะเยากำลังจะเผชิญความท้าทายอีกหลายประการ พะเยาเป็นเมืองเล็กๆอยู่ท่ามกลางจังหวัดใหญ่ๆ เช่นเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง ถ้าจะถามว่าพะเยาแท้ที่จริง พะเยาแท้ที่จริงคือป้ายรถเมล์ เป็นเมืองผ่าน แทบจะไม่มีกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญ และยอมรับกันซักทีว่า ถ้าแม้พะเยาจะร่ำรวยด้วยโอกาส ด้วยทำเลที่ตั้ง ด้วยฐานทรัพยากรดินและน้ำ แต่ก็มีปัจจัยบางประการทำให้ประชากรที่นี่ ไม่สามารถที่จะใช้ต้นทุนเหล่านี้ เพ่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้มากเพียงพอ เมืองที่มีสุขภาพดี มีการกินดีอยู่ดี ไม่น่าจะมีคนอพยพออกไป

ตัวชี้ชัดว่าพะเยาเป็นเมืองที่สุขภาพไม่ดี กินอยู่ไม่ดี คือการอพยพออกของผู้คน แรงงานผู้ชาย ผู้หญิงทีออกไปจากเมืองพะเยาเพื่อออกไปทำงานหาเงินภายนอก เป็นตัวชี้วัดว่าที่ผ่านมาเรายังไม่สามารถที่จะจัดการกับโอกาส และฐานต้นทุนดังกล่าวได้ดี นี่คือต้นทุนของจังหวัดพะเยา ระหว่างปี 2536 –2539 สถิติการส่งรายได้กลับมาพะเยาด้วยธนาณัติ ปีละกว่า 500 ล้านบาท เข้าใจดีว่ามาจากแรงงานผู้หญิงเป็นหลัก เป็นอดีตไปแล้วครับ

ท่านผู้มีเกียรติ เอามาเป็นบทเรียนเพื่อปัจจุบันดีกว่า อย่างน้อยที่สุดภาคการเกษตร คือข้าวเป็นความหวังสำคัญ ที่จะทำให้ชาวนาพะเยาที่ยังอยู่ในวันนี้ มีโอกาสดีขึ้น นับจากปัจจุบันไปอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในภาคเหนือตอนบนหลายประการ 1. ล้านนาตะวันตกจะสูญเสียเสน่ห์ของเมืองธรรมชาติ และจะไม่เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเช่นปัจจุบันไม่เกิน 5 ปีนี้ ล้านนาตะวันตกที่ผมพูดถึงนี้ หมายถึงเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน บางจังหวัด 5 ปีสูญเสียแน่อย่างเช่นเชียงใหม่ บางจังหวัดอาจจะ 10 ปีอย่างเช่นเชียงรายหรือแม่ฮ่องสอน 5 ปีที่ผ่านมายกตัวอย่าง สื่อทั้งเมืองไทยและต่างชาติพูดถึงเมืองปาย ที่แม่ฮ่องสอน ว่าเป็นเมืองในหุบเขาที่มีเสน่ห์ ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเที่ยวเมืองปาย จนตอนนี้เมืองปายกำลังจะหมดเสน่ห์ เป็นเองตายไปแล้ว สื่อตะวันตกเริ่มเขียนถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แทนที่จะเขียนชมเหมือน 5 ปีที่แล้ว 5 ปีที่แล้วเขียนชมเอาชมเอา แต่วันนี้มาเขียนว่า ปายเปลี่ยนไป หากแม่ฮ่องสอนซึ่งเป็นฐานที่มั่นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติหมดเสน่ห์ไป ล้านนาตะวันตกไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว

เชียงใหม่ทุกวันนี้เริ่มมีการพูดถึงการลงทุนเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหมื่นล้าน แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำด้วยมือ เอามือคนไปทำแหล่งท่องเที่ยว แนวโน้มคือนักท่องเที่ยวที่อยากมาสัมผัสธรรมชาติ มีที่ๆบริสุทธิ์กว่าก็จะเดินทางมาที่ล้านนาตะวันออก ก็คือน่าน แพร่ และพะเยา อันนี้แน่นอนเลย อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าจะนั่งเฉยๆแล้วจะได้รับอานิสงค์อันนี้ เพราะการเชื่อมโยงการคมนาคมในอนาคต ยังมีคู่แข่งที่มีเสน่ห์กว่าจังหวัดทั้ง 3 ยังมีอีกหลายแห่งในภูมิภาค เช่น สิบสองปันนา หลวงพระบาง หรือแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆในลาว

ถ้าท่านเคยไปหลวงพระบาง คงรู้สึกว่าหลวงพระบางก็คือเชียงใหม่เมื่อ 80 ปีที่แล้วนั่นเอง วันนี้หลวงพระบางกลายเป็นมนต์เสน่ห์ของนักท่องเที่ยว ไม่ใช่เฉพาะในเอเชียแต่ทั่วโลก เรื่องการท่องเที่ยวของพะเยาเป็นประเด็นที่คนพะเยาต้องถกเถียงให้มาก ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อย่าคิดแค่เพียงปีหน้ากับปีโน้น คิดยาวไปนิดนึง อย่าคิดแต่ว่าการลงทุนสร้างกิจกรรมเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แล้วพะเยาจะเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวได้

ผมเพิ่งทราบมาว่าท่านนายกฯทักษิณ เพิ่งจะมาพะเยาเมื่อเดือนก่อน ท่านมายืนเมียงมองดูกว๊านพะเยาแล้วท่านก็บอกว่า เอาล่ะ เปิดไฟเขียวให้ลอกกว๊านพะเยาอีกครั้งนึง และเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีผู้หวังดีเสนอโครงการต่อเนื่องจากการขุดลอก ซึ่งคาดว่าจะมีเศษทรายเศษดินกว่าล้านกว่าคิว ว่าไม่ต้องไปขนไปทิ้งที่ไหนหรอก เอามากองไว้กลางกว๊านนั่นแหละ แล้วมาใช้พื้นที่ตรงนั้นทำสนามกอล์ฟ แล้วทำศูนย์โอทอป ผมไม่อยากจะเข้าไปขัดขวางเรื่องนี้หรอก ผมอยากให้ท่านไปคิดกันเอง เพียงแต่ขอให้เถียงกันให้มาก มองให้รอบคอบว่า ในอนาคตพะเยาจะขายอะไร และวัตถุประสงค์ของการขุดลอกกว๊านนี่ ต้องการให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำ เอาเศษดินทรายที่เข้าไปทับถมออกไปไม่ใช่หรือ หากเราเอาเศษวัสดุดังกล่าวมากองรวมกัน ก็เท่ากับว่า ปริมาตรก่อนขุดกับหลังขุดมันเท่ากันไม่ใช่เหรอ ที่ผมอยากจะให้มีการถกเถียงกันมากๆ ก็เช่น พะเยาเคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อปี 2524 ตอนที่ขุดลอกแล้วทำให้เกิดผลกระทบ มีสาหร่ายพิษ มีปลาเหม็นคาวจนเกิดกระแสไม่กินปลากันขึ้นมา การเปลี่ยนแปลง

ข้อที่ 2 คือการเชื่อมโยงกับจีน ผ่านสะพานแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จ.เชียงราย ถนนสายดังกล่าวจะผ่านไปจนถึงสิบสองปันนา แล้วจะเสร็จในในอีก 3 ปีข้างหน้า ประเทศจีนเขาหวังว่าเส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นทางหลักในการเชื่อมคุนหมิงกับกรุงเทพฯ ผลจากการที่มีเส้นทางสายนี้ จะทำให้ภาคตะวันตกของเชียงราย ลงมาถึง อ.เทิง มีความคึกคักขึ้น สำหรับพะเยาที่ใกล้กับเชียงของจะเป็นทางผ่านของสินค้าที่จะส่งไปล้านนาตะวันออก รวมทั้งลำปาง เพราะสินค้าส่วนใหญ่จะส่งผ่านถนนมอเตอร์เวย์เชียงใหม่สายใหม่

ธุรกิจที่มีโอกาสก็คือ ก็คือธุรกิจการบริการริมทาง แต่นั่นไม่ใช่โอกาสที่แท้จริง เพราะหากทำให้พะเยาเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน เมืองสงบ บริสุทธิ์ อยู่ท่ามกลางกิจกรรมเศรษฐกิจที่คึกคัก วุ่นวายของเชียงรายและเชียงใหม่ เมื่อนั้นโอกาสที่ดีกว่าจะตามมาเอง ให้พะเยาเป็นที่พักกายที่พักใจ ด้วยสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ด้วยศีลธรรมอันดีงาม เพียบพร้อมไปด้วยจริยธรรม อย่าให้รถบรรทุกสินค้า หรือรถคอนเทนเนอร์ มาเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเมือง แต่ทำอย่างไรที่จะให้แยกออกมาแล้วเราใช้ประโยชน์จากมันได้ด้วย เช่นเป็นแหล่งที่พักที่สมบูรณ์ พร้อมระหว่างทาง

การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 3 ทางรถไฟเด่นชัย - เชียงราย ทางรถไฟนี้จะเริ่มก่อสร้าง เมื่อมีการเชื่อมโยงการค้ากับจีนเต็มรูปแบบ ซึ่งส่วนนึงจะผ่านพะเยา และทราบว่าได้มีการเวนคืนที่ดินกันแล้ว เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ทางรถไฟนั้นเหมือนไฮเวย์ เส้นใหญ่ๆที่นำความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเข้าสู่ชุมชน แต่พอมา พ.ศ.นี้แล้ว ทางรถไฟถูกลดบทบาทลงมาก ปัจจัยรถไฟที่จะเข้ามาเมืองพะเยามีเรื่องเดียว คือจะทำหน้าที่การท่องเที่ยว เพราะสามารถจะนำนักท่องเที่ยวจากภาคกลางมาสู่ล้านนาตะวันออกได้โดยตรงแต่มีเงื่อนไขว่า พะเยาจะต้องสร้างตัวเองให้เป็นจุดหมายปลายทางในอนาคตได้หรือไม่

การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 4 แนวโน้มของผู้ที่มีอาชีพอิสระ หรือที่เราเรียกว่า เถ้าแก่ คนประเภทนี้จะมีมากขึ้นเป็นลำดับ ประกอบด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยี ช่วยให้คนทำงานที่ไหนก็ได้ แหล่งพักอาศัยที่ดีมีคุณภาพ มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีความปลอดภัย มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี มีเพียงพอ แหล่งอย่างนี้จะดึงดูดผู้ประกอบอาชีพอิสระให้มาสู่ เช่นอาชีพเขียนซอร์ฟแวร์ ศิลปิน หรืองานครีเอทีฟ เพราะกรุงเทพฯหรือเชียงใหม่ในอนาคตข้างหน้า ไม่มีเหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนที่ต้องใช้สมองในการทำงาน

ถามว่าพะเยาเตรียมรองรับสำหรับการเป็นเมืองสำหรับการพักอยู่อาศัยได้หรือเปล่า หรือว่าคุณจะหากิจกรรมอะไรก็ได้มายัดใส่เมืองให้เต็มๆ เช่นถมกว๊านพะเยาเพื่อทำสนามกอล์ฟอะไรทำนองนี้เป็นต้น พ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา ข้อที่ 4 ที่ผมพูดนั้น เป็นอนาคตที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่กระดูสันหลังทางคมนาคมถูกวางจนครบเครือข่ายทั่วประเทศ หมายความว่าระบบอินเตอร์เน็ตเข้าสู่ทุกเมือง เมื่อนั้นการทำงานโดยไม่ต้องไปที่ทำงานนั้นย่อมเป็นความจริงที่เกิดขึ้นมา

ทุกวันนี้ องค์กรของผมมีผู้สื่อข่าวที่ทำเว็บไซด์ภาษาอังกฤษ คนของผมตั้งสำนักงานอยู่ที่หัวหิน แต่ว่าเครื่องเซิร์ปเวอร์ผมอยู่ที่กรุงเทพ เรามีผู้สื่อข่าวตามอยู่ทั่วไป ตามประเทศต่างๆ เขาเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วส่งข่าวมาที่กรุงเทพ หัวหินก็ส่งเข้ามาที่กรุงเทพ แล้วเรามี บก.ที่จัดรูปเล่มหน้าแล้วขึ้นอินเตอร์เน็ตไป ลักษณะแบบนี้จะเป็นลักษณะที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยก็จะมีคนที่จะหาสถานที่ที่สงบ ต้นทุนถูก พนักงานฝรั่งผมขอย้ายไปหัวหิน เพราะเขาบอกว่าทำงานได้เหมือนกัน เนื่องจากว่าเราใช้อินเตอร์เน็ตสปีดสูง แต่เขาบอกว่าค่าใช้จ่ายที่หัวหินถูกกว่าอพาร์ทเม้นท์ที่กรุงเทพฯ แล้วเขาบอกว่าสุขภาพจิตเขาดี ลักษณะแบบนี้กำลังเกิดขึ้น แล้วผมคิดว่าพะเยาเหมาะมาก มีทั้งธรรมชาติ มีทั้งความสงบ มีทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ ผู้คนน่ารัก

ท่านผู้มีเกียรติครับ เราได้ใช้เวลาคิดฝันมองไปข้างหน้าด้วยอารมณ์อิ่มเอม เพราะผมนำฝันหวานมาเล่าให้ฟังมานาน ขออนุญาตกลับมาสู่ความจริงอันโหดร้ายซักนิดนึง ตำนานดอกคำใต้ เป็นเรื่องที่คนพะเยาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า ตอนนี้ลูกหลานหญิงสาวชาวพะเยายังต้องล่องกรุงเทพฯ ล่องใต้ไปไกลถึงญี่ปุ่นอยู่อีกเป็นจำนวนมาก หรือแม่กระทั่งทุกวันนี้ที่ริมกว๊านพะเยาเองก็ตาม

ผมเองไม่ได้เจอกับตัวแต่มีคนเล่าว่า มักจะมีผู้หญิงสาวมาเสนอด้วยการส่งซิก หรือใช้คำพูดที่รู้กัน เช่น พี่ๆซื้อบัตรเติมเงินหรือเปล่า อย่างที่เรียนนะครับ ผมไม่ได้เจอด้วยตัวเอง มีคนมาเล่าอีกทอดนึง หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย ที่พูดถึงเรื่องนี้เพราอะไร เพราะว่าที่ผ่านมาเราพยายามหาทางแก้หลายอย่าง การสร้างศูนย์อัญมณีเพื่อเป็นที่ฝึกอาชีพขึ้นที่พะเยา แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าพะเยาไม่ใช่แหล่งวัตถุดิบ และแหล่งศูนย์การค้าของอัญมณี เราจึงได้เป็นผู้ฝึกฝนคนงาน เพื่อส่งออกให้บริษัทเจียระไนพลอย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังสร้างอาชีพให้คนพะเยาได้จำนวนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นไปได้ หากจะมีการช่วยเหลือคนพะเยาจำนวนหนึ่งไม่ให้พลัดถิ่น มีอาชีพที่ดีก็น่าจะสร้างขึ้นมาจากฐานทรัพยากร และความชำนาญของที่นี่ อย่างเช่น พะเยาเป็นแหล่งพระพุทธรูปหินทรายแหล่งเดียวของล้านนา เรามีวัตถุดิบที่ดอยต้วนอยู่แล้ว หากจะคิดส่งเสริมงานศิลปะ หัตถอุตสาหกรรมในระดับหมู่บ้านหรือชุมชน ก็น่าจะหยิบเอาของเหล่านี้มา เพราะว่างานหัตถกรรมลักษณะนี้ สามารถจะเพิ่มคุณภาพไปสู่อุตสาหกรรมตกแต่งบ้าน หรือที่เรียกว่างานมัณฑณศิสป์ได้ อย่างเช่นดินเผาด่านเกวียน สามารถขายได้ชุดละเป็นแสนบาท

สำหรับงานแกะสลักหินทรายที่พะเยานั้น นอกจากจะมีวัตถุดิบ เรายังมีสิ่งที่เราเรียกว่า Story เรื่องราวที่เชื่อมโยงมาแต่อดีตซึ่งเป็นเสน่ห์ของสินค้าในกลุ่มนี้ เพราะพะเยามีประวัติศาสตร์เชื่อมโยงเข้าหาสินค้าได้ ไม่เหมือนจังหวัดอื่นไม่มีประวัติศาสตร์ พะเยายังเป็นเมืองแห่งการศึกษา เพราะเรามีวิทยาเขตมหาวิทยาลัยนเรศวรมาตั้งที่นี่ พะเยาก็เลยกลายเป็นมหาวิทยาลัยไปอีกแห่งหนึ่ง เมืองมหาวิทยาลัยซึ่งมีประชากรมาอยู่ 5-6 พันคน เป็นโอกาสและเป็นแหล่งเม็ดเงินใหม่ซึ่งถูกโยนเข้ามาในจังหวัด เพียงแต่ว่า เราจะแก้ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการหอพักของพะเยา กับผู้บริการมหาวิทยาลัยที่ต้องการที่จะสร้างหอพักภายใน แล้วกีดกันไม่ให้ผู้ปะกอบการพะเยาที่สร้างหอพักนั้น ได้มีสิทธิมีส่วนในผลประโยชน์ตรงนี้อย่างไร

พะเยาต้องคิดถึงชุมชนที่พะเยาจะเกิดขึ้นใน 10 ปีข้างหน้า โดยเอาเงื่อนไขต่างๆที่ผมเล่าให้ฟัง มาเป็นองค์ประกอบในความคิดตรงนี้ เพราะทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับอนาคตของความเป็นพะเยา ที่เราคิดฝันในเบื้องหน้าทั้งสิ้น ถ้าเราไม่แกปัญหากว๊านพะเยา หรือปล่อยให้เสื่อมโทรมไปตามสภาพ เราก็ไม่มีโอกาสสร้างเมืองแห่งการพักอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์ เท่าๆกับไม่สามารถจะเป็นเมืองท่องเที่ยวในอนาคตได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้แรงคนพะเยาทั้งหมด ช่วยกันคิดช่วยกันผลักดัน เพราะประเด็นเรื่องเกษตรปลอดพิษที่ว่านี้ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในระดับที่เรียกว่าการปฏิวัติกันเลย

ก่อนจะจบผมขอฝากข้อคิด ของคนที่เห็นมามากแล้ว คนที่เห็นความพินาศของเมือง คนที่เห็นความเสื่อมโทรมของการหวังแต่ได้ในระยะสั้น คนที่เห็นการหวังการเจริญเติบโตของตัวเลขเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคม ไม่คำนึงถึงสายใยของครอบครัว ไม่คำนึงถึงจิตวิญญาณที่มนุษย์ควรจะมี เมืองที่มีสุขภาพ เมืองที่น่าอยู่อาศัย จะต้องเป็นเมืองที่เจ้าของบ้านมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส พออยู่พอกิน ไม่มีใครอยากมาอยู่ในเมืองที่สภาพแวดล้อมไม่ดี เจ้าของเมืองหน้าตาเหี่ยวแห้ง แล้วเป็นเมืองที่ประชากรพลัดถิ่นหนีออกไปนอกเมืองตลอดเวลา เพรานั้นแล้วการพัฒนาใดๆที่คิดสร้างทำขึ้นมา จะพัฒนาอะไรก็ตาม จะต้องคิดถึงประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นหลัก อย่าทอดทิ้ง ประชากรส่วนดังกล่าวไว้เบื้องหลังการพัฒนา ผมหวังลึกๆว่ามาพะเยารอบหน้าคงได้กินปลาจากกว๊าน แล้วเป็นลาที่ชาวเมืองพะเยากินได้อย่างสนิทใจ เฉพาะปลาเพียงอย่างเดียวมันก็สามารถเป็นดัชนีชี้ชัดได้ ว่าพะเยาในอนาคตจะเป็นขุมทองมหาศาลหรือเป็นแค่เมืองทางผ่านเล็กๆ เป็นป้ายรถเมล์ที่รถเมล์วิ่งมาจอด และหวังว่ามาคราวหน้า ชาวพะเยาจะร้องเพลงโอ้ธารสวรรค์ กว๊านพะเยาได้อย่างเต็มเสียง ขอบคุณมากครับ

สโรชา – ฟังกันเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับการปาฐกถาพิเศษของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หวังว่าคุณผู้ชมจะได้สาระความรู้ และคุณประโยชน์ไม่มากก็น้อย คุณผู้ชมสามารถที่จะติชมรายการมาได้ที่ E-mail Beforemonday@11newsone.com ค่ะ เวลาวันนี้หมดลงแล้ว กลับมาพบกันใหม่ในวันอาทิตย์หน้าค่ะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ
กำลังโหลดความคิดเห็น