xs
xsm
sm
md
lg

Royalties: สินทรัพย์ทางเลือกที่สร้างรายได้มั่นคงและกระจายความเสี่ยงพอร์ต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ​คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
​ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด


ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและช่วยกระจายความเสี่ยง หนึ่งในสินทรัพย์ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “Royalties”หรือสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้จากสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จริง เช่น เพลง ยาและการรักษาโรคทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่คาร์บอนเครดิต ซึ่งเดิมทีเป็นตลาดที่เข้าถึงได้ยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันมีโครงสร้างกองทุนที่ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์นี้ง่ายขึ้นและเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว

Royalties ทำงานอย่างไร? นักลงทุนจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อแลกสิทธิรับส่วนแบ่งรายได้จากสินทรัพย์โดยไม่ต้องรับภาระต้นทุนการดำเนินงานทำให้ผลตอบแทนผูกกับยอดขายและราคาซึ่งมักเป็นเกราะป้องกันเงินเฟ้อโดยธรรมชาติ ลักษณะนี้ทำให้ Royalties แตกต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจที่ต้องแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงด้านการบริหาร อีกทั้งยังมีโครงสร้างที่ให้กระแสเงินสดตั้งแต่วันแรก ไม่เหมือน Private Equity ที่อาจต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อสร้างมูลค่า กำไร และเงินปันผล รวมถึงรอจังหวะขายออก (Exit) ในขณะที่ Royalties ยังมีโอกาสสร้าง Upside จากการเติบโตของสินทรัพย์แต่มีความเสถียรและคาดการณ์ได้มากกว่า ส่วนเมื่อเทียบกับPrivate Credit แม้จะให้ความมั่นคงจากดอกเบี้ยคงที่และการชำระเงินต้นตามสัญญา แต่ไม่มี Upside ในทางกลับกัน Royalties ให้ผลตอบแทนที่ผูกกับรายได้จริงของสินทรัพย์จึงมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงกว่าในกรณีที่สินทรัพย์ทำผลงานได้ดี ขณะเดียวกันยังสามารถออกแบบโครงสร้างเพื่อลดความเสี่ยงคล้ายตราสารหนี้ทำให้ Royalties อยู่กึ่งกลางระหว่างความมั่นคงของ Private Credit และโอกาสเติบโตแบบ Private Equity

ตลาด Royalties มีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมและธุรกิจที่มั่นคงและเติบโต เช่น ยาและการรักษาโรค ดนตรีพลังงานสะอาด ทรัพยากรธรรมชาติ และสิทธิแบรนด์ ซึ่งหลายธุรกิจมีลักษณะไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจทำให้เป็นแหล่งรายได้ระยะยาวที่คาดการณ์ได้และเหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตัวอย่างเช่น ยาและเวชภัณฑ์ที่มีสิทธิบัตรยาวนานหลายสิบปี หรือเพลงที่สร้างรายได้จากการสตรีมและลิขสิทธิ์สื่อบันเทิงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากผลตอบแทนที่น่าสนใจ Royalties ยังมีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ทำให้ช่วยลดความ    ผันผวนของพอร์ตและเพิ่มความหลากหลายของรายได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็น Inflation Hedge เพราะรายได้ผูกกับยอดขาย ไม่ขึ้นกับต้นทุนการผลิต ปัจจุบันมีโครงสร้างกองทุนแบบ Evergreen (กองทุนเปิดที่ไม่มีวันครบกำหนดอายุ) ที่ช่วยให้ลงทุนง่ายขึ้น พร้อมสภาพคล่องขายคืนได้รายไตรมาสซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้มั่นคงระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะขายออก

ตัวอย่างการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น การซื้อสิทธิรายได้จากยาสเปรย์จมูกสำหรับรักษาภาวะแพ้รุนแรง ซึ่งมีสิทธิบัตรยาวถึงปี 2039 และมีตลาดผู้ใช้ทั่วโลก หรือการลงทุนในแคตตาล็อกเพลงของศิลปินระดับโลกที่สร้างรายได้จากการสตรีมและการใช้ในสื่อบันเทิง รวมถึงสิทธิใต้พื้นดินสำหรับผลิตก๊าซธรรมชาติที่ให้กระแสเงินสดต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี การลงทุนเหล่านี้มีโครงสร้างที่ชัดเจนและมักมีการออกแบบกลไกคุ้มครอง เช่น การปรับอัตรา Royalty หากยอดขายต่ำกว่าคาด หรือการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำในกรณีไถ่ถอนก่อนกำหนด

อีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจคือการจัดพอร์ต Royalties ในระดับนักลงทุนสถาบัน พบว่าการเพิ่ม Royalties เข้าสู่พอร์ตที่มีสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น หุ้น และตราสารหนี้ สามารถช่วยลดความผันผวนโดยรวมและเพิ่มผลตอบแทนที่คาดหวัง เนื่องจาก Royalties มีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์เหล่านั้น และให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในระยะยาว

สำหรับนักลงทุนไทยที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ที่มองหาสินทรัพย์ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดีและช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต การลงทุนใน Royalties ผ่านกองทุน SCBROYALTY ซึ่งลงทุนในกองทุนของPartners Group ผู้นำระดับโลกในสินทรัพย์ประเภทนี้ ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ   อย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้เข้าถึงสินทรัพย์ที่มีโครงสร้างชัดเจนและกระจายหลายอุตสาหกรรมและธุรกิจแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในตลาดนี้โดยตรง
กำลังโหลดความคิดเห็น