xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อดอลลาร์อ่อน… เงินลงทุนควรไหลไปที่ไหน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พูนสิน  เพ่งสมบูรณ์
BBLAM

ภาวะตลาดการเงินโลกตั้งแต่เริ่มต้นปี 2025 มานี้ มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนในหลายประเด็น เริ่มตั้งแต่การใช้นโยบายภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงภาวะสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากมีความสำคัญเชิงพื้นฐานต่อภาวะเศรษฐกิจ และการตัดสินใจเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนค่อนข้างมาก และอาจส่งผลต่อกลยุทธ์การตัดสินใจลงทุนในระยะต่อไป นั่นคือ ปัจจัยด้านการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าแรงขายที่มาจากปัจจัยทางเทคนิคในระยะสั้น

นับตั้งแต่สหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นค่าเงินหลักของโลกในการทำธุรกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศ (ประมาณ 54%) รวมถึงเป็นสัดส่วนหลักในการใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (ประมาณ 58%) และเป็นเงินสกุลหลักของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในการกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศ (ประมาณ 65%) โดยเมื่อใดก็ตามที่ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองโลกเกิดความผันผวนมากขึ้น จะส่งผลให้มีความต้องการซื้อดอลลาร์ ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ภาวะความผันผวนที่เกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดเริ่มมีความสงสัยต่อเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากขึ้น จากการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลัง ที่ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 55% ในช่วงต้นปี 2000 ขึ้นมาเป็น 124% ในปี 2024 ที่ผ่านมา ประกอบกับแนวโน้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยการยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ และประเด็นสุดท้าย คือ การใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก หลังจากการกลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก กระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์หลัก ไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำ โดยถึงแม้ดอลลาร์จะยังเป็นสินทรัพย์หลักที่ถือครองเป็นสัดส่วนกว่า 58% แต่สัดส่วนดังกล่าวก็ถือว่าปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับ 70% ในช่วงปี 2000 และหากพิจารณาผลกระทบต่อตลาดเงินเฉพาะในปีนี้ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ หรือ US Dollar Index (DXY)อยู่ที่ระดับ 98.8 ถือว่าปรับตัวลดลง จากต้นปีมาแล้วกว่า 9%
แนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดังกล่าว ถึงแม้จะยังไม่ได้มีผลต่อบทบาทการเป็นเงินสกุลหลักของโลก โดยดอลลาร์จะยังเป็นเงินสกุลหลักในเงินสำรองระหว่างประเทศและการชำระเงินระหว่างประเทศต่อไป แต่จะส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนในระยะต่อไป ที่อาจต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดสรรสัดส่วนการลงทุนระหว่างตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets, DM) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets, EM)

ตลาดการเงินได้ก้าวผ่านวัฎจักรทางเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้กลายมาเป็นเงินสกุลหลักของโลก โดยที่ผ่านมา การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางเศรษฐกิจหลักๆ ที่เอื้อต่อการลงทุนภายนอกตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ดังนี้
- สภาพคล่องของระบบการเงินในประเทศต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากภาระหนี้ที่แปลงจากค่าเงินในภูมิภาคอื่นที่สามารถแปลงเป็นเงินดอลลาร์ได้มากขึ้น
- อำนาจซื้อของประเทศในภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้น จากค่าเงินในประเทศที่แข็งค่าขึ้น และปัจจัยเชิงบวกดังกล่าวส่งผลให้สามารถดึงดูดเงินทุนไหลเข้าประเทศได้มากขึ้น
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน และทองแดง ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าดังกล่าวซื้อขายโดยอ้างอิงเงินสกุลดอลลาร์ที่มีราคาถูกลง จึงสามารถกระตุ้นความต้องการได้มากขึ้น
- กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคอื่นมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเติบโตและให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ในด้านการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว การที่ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าจะเป็นปัจจัยบวกให้กับการลงทุนในประเทศหลัก ได้แก่ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นต้น โดยถึงแม้ค่าเงินที่แข็งขึ้นของแต่ละประเทศจะทำให้สินค้าส่งออกมีราคาแพงขึ้นและมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง แต่บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศกลุ่มตลาดพัฒนามักจะมีสัดส่วนธุรกิจต่างประเทศที่คิดรายได้ที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าก็จะเพิ่มกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มประเทศเหล่านั้นและช่วยชดเชยผลกระทบของค่าเงินในประเทศที่แข็งขึ้นได้บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการเงินและเทคโนโลยี
ขณะที่ การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ มักได้ประโยชน์ชัดเจนกว่าเมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากประเทศเหล่านี้มักมีหนี้เป็นดอลลาร์ เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อน ภาระหนี้ก็ลดลง เพิ่มความมั่นคงทางการคลัง และอาจทำให้อันดับเครดิตของประเทศดีขึ้น ขณะที่ การไปลงทุนในสกุลท้องถิ่นที่ก็ได้ประโยชน์ จากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น เมื่อแปลงเป็นมูลค่าเงินกลับมา โดยประเทศที่จะได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก จะเป็นกลุ่มประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น บราซิล แอฟริกาใต้ และอินโดนีเซีย ที่มีราคาสินค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่น้อยลงจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ก็ส่งผลให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ สามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีโอกาสด้านการลงทุนมากมายในช่วงดังกล่าว แต่ตลาดเกิดใหม่โดยปกติแล้วยังมีความเสี่ยง เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง เงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยเฉพาะรายประเทศมากกว่า ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยดังกล่าวด้วยเช่นกัน

จากปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนที่กล่าวมา เราสามารถศึกษาความสัมพันธ์ของค่าเงินดอลลาร์ต่อผลตอบแทนจากการลงทุนได้ โดยเมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ที่มีผลต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เทียบกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ตามรูปที่ BBLAM ได้ทำการศึกษามาตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เราจะเห็นความสัมพันธ์ดังที่กล่าวมาค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น โดยในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีวัฎจักรที่ปรับตัวลดลงในช่วงปี 2006 ถึง 2011 จะพบว่า ในช่วงดังกล่าวตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แต่หลังจากช่วงปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ฟื้นตัวจนถึงปัจจุบัน จะเป็นช่วงที่หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ดังนั้น การติดตามและเข้าใจวัฎจักรของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมได้ตามแต่ละสถานการณ์ได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ ถึงแม้แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักให้กับการลงทุนในตลาดอื่นนอกสหรัฐฯ ทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนเท่านั้น นักลงทุนยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญเช่นกัน ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งอาจทำให้ Fed ผ่อนคลายนโยบายการเงินช้ากว่าที่คาดและทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หรือปัจจัยภายในประเทศบางประเทศที่อาจมีปัญหาเชิงโครงสร้างจนชดเชยประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าไป

การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่การขายสินทรัพย์ดอลลาร์สหรัฐฯ ออกทั้งหมด แต่คือ การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นนอกตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ นักลงทุนอาจเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนก็ได้ ดังนั้น แนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์อาจจะไม่ใช่อุปสรรคในการลงทุนต่างประเทศของนักลงทุน แต่จะเป็นการเปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลงของทิศทางการลงทุนทั่วโลก การวิเคราะห์อย่างรอบด้านการบริหารและการกระจายความเสี่ยงยังคงมีความจำเป็นสูง จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยา วโดยที่มีความเสี่ยงจากการลงทุนที่ลดลงได้
กำลังโหลดความคิดเห็น