บลจ.กรุงไทย ปลื้มAUM แตะระดับ “1 ล้านล้านบาท” ชู 3 กลยุทธ์ลงทุนต่างประเทศ – หุ้นไทยคุณภาพ – ตราสารหนี้ตอบรับดอกเบี้ยขาลง พร้อมแนะนักลงทุน “กระจายพอร์ตลดความเสี่ยง” รับเศรษฐกิจโลกยังผันผวน แม้ตลาดทุนฟื้นตัวแรงในไตรมาส 3
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่าล่าสุดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)ของบริษัทเติบโตแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทตามเป้าหมายภายในปี2568 เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมาจากการขยายตัวของกองทุนตราสารหนี้ และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของNAVในกองทุนรวมต่างประเทศจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นความสำเร็จทั้งจากเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานของกองทุนที่ปรับตัวดีขึ้นควบคู่กัน
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกในปี 2568 พบว่าเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกปั่นป่วนรุนแรงในช่วงต้นปี 2568 จากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าโดยสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายลง หลังมีการบรรลุข้อตกลงและการประกาศอัตราภาษีที่ชัดเจนและไม่ได้สูงเหมือนครั้งแรกที่ประกาศ อีกทั้ง เศรษฐกิจต่างๆ ได้แรงส่งจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า (Front loading) ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด จึงเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุนฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องโดยมีหลายดัชนีทำสถิติสูงสุดใหม่
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกในไตรมาส 3 ยังคงทะยานขึ้นต่อ ซึ่งโดยปกติแล้วสินทรัพย์เสี่ยงจะให้ผลตอบแทนไม่ดีนักในไตรมาส 3 แต่ในปีนี้ ดัชนี MSCI ACWI ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.2% QTD (ที่มา: Bloomberg, ข้อมูล ณ วันที่ 19 ก.ย. 2568) ท่ามกลางความหวังว่าFed จะลดดอกเบี้ยมากขึ้น และผลกระทบจากการขึ้นภาษียังไม่ชัดเจน โดยเรามองว่าเศรษฐกิจยังคงอาจจะชะลอลงในช่วงถัดไปจากหลาย ๆ ปัจจัย อาทิ การเร่งส่งออกล่วงหน้าแทนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่จะชะลอลง การที่ Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยมากขึ้น รวมถึงยุโรปที่คาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่สูงขึ้นก็ดูลดลงไป อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวนี้ก็จะไม่มีความรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง
อีกทั้ง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามซึ่งอาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะถัดไป ทั้งเรื่องการตัดสินของศาลสูงสุดในเรื่องอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการจัดเก็บ Tariff, การส่งผ่านภาษี (Tariff Pass-Through) ไปยังผู้บริโภค, ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สมดุลบนความเสี่ยงจากที่เห็นการลดลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานแรงงาน, การตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ และปัญหาการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมไปถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และด้วยนโยบายที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ นี้ เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยมองว่าความโดดเด่นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงมีอยู่ แต่อาจกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการเติบโตที่ชัดเจน
โดยการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงแนะนำ 3กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม ออล เอเชีย แปซิฟิก อิควิตี้ ฟันด์ (KT-AASIA) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds - Pacific Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักมีนโยบายการบริหารจัดการเชิงรุกแบบ High-conviction ซึ่งจะลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่จำกัดเพียงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ประกอบกับกลยุทธ์การลงทุนแบบ All-cap ที่ผสมผสานหุ้นขนาดใหญ่ผู้นำตลาด เข้ากับหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยังไม่ได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง จึงช่วยสร้างโอกาสการเติบโตที่หลากหลายและมีศักยภาพในการค้นหาหุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-WTAI) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนใน Allianz Global Artificial Intelligence (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ปัจจุบันพอร์ตกองทุนหลักประกอบด้วยหุ้นผู้นำเทคโนโลยี เช่น NVIDIA, Microsoft, Broadcom, Meta และ TSMC ที่เป็นศูนย์กลางของเมกะเทรนด์ AI ในปัจจุบัน (ที่มา: Factsheet ของกองทุนรวมหลัก ณ 31 ก.ค. 2568 ผู้จัดการกองทุนหลักอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่ลงทุนตามดุลยพินิจ) โดยลักษณะที่ทำให้กองทุนนี้โดดเด่น คือการไม่จำกัดการลงทุนเฉพาะ Cloud, Data Center หรือ Semiconductor เท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างไปยังอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ AI มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการนำ AI มาปรับปรุงกระบวนการ วิเคราะห์ข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานสำหรับนักลงทุนระยะยาว กองทุนนี้จึงไม่ใช่เพียง “Pure tech play” แต่เป็นวิธีการลงทุนที่จับธีม AI ในเชิงโครงสร้างได้อย่างครอบคลุมและสมดุลมากกว่า
และ กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ AB AMERICAN Growth Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในสหรัฐฯ ปัจจุบันพอร์ตกองทุนหลักลงทุนในหุ้น NVIDIA, Microsoft, Amazon และ Meta (ที่มา: Factsheet ของกองทุนรวมหลัก ณ 31 ก.ค. 2568 ผู้จัดการกองทุนหลักอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่ลงทุนตามดุลยพินิจ) โดยกองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนแบบbottom-up เชิง high-conviction จึงสามารถสร้างสมดุลระหว่างการกระจายการลงทุนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และสร้างโอกาสจากหุ้นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้
สำหรับตลาดหุ้นไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568ดัชนี SET ปรับลดลงโดยมาจากปัจจัยภายนอกเรื่องความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐฯ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ไม่เป็นไปตามคาดและภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัว รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ เริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ค. ท่ามกลางความคาดหวังต่อการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่พร้อมกับความพยายามฟื้นความเชื่อมั่นด้วยทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นแรงส่งที่สำคัญสำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มการลงทุนที่มีโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน มีความผันผวนระดับต่ำ มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง รวมทั้งได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ จึงแนะนำ 2 กองทุน ได้แก่
กองทุนเปิดกรุงไทย สมาร์ท อิควิตี้ ฟันด์ (KTEF) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจสูงและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) ตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) หลักทรัพย์ของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Unlisted Securities) และตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) นอกจากนี้ ด้วยนโยบายของกองทุนได้เปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนทำการวิเคราะห์ คัดเลือก และปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความสอดคล้องกับภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการบริหารกองทุนจึงมีความคล่องตัว เหมาะสมกับภาวะตลาด มีการปรับตัว Sideway Up ในสภาวะปัจจุบัน
และกองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv)(ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และ/หรือมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต นอกจากนี้ กองทุน KT-HiDiv-D และ KT-HiDiv RMF ยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจาก Morningstar Awards for Investing Excellence ในกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดใหญ่มา 2 ปีติดต่อกัน คือ ปี 2567 และปี 2568
สำหรับตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ มองว่า หาก Fed ส่งสัญญาณที่ Dovish มากขึ้นหลังการประชุมก็จะส่งผลดีต่อสินทรัพย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าของตลาดที่แพงมาก และการปรับขึ้นของหุ้นรายตัวกระจายในวงกว้างแต่อาจจะกว้างเกินไป รวมถึงกระแสเงินทุนเริ่มมีการไหลออกจากสหรัฐฯ และไหลออกจากหุ้น Growth สู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังเห็นโอกาสจากปัจจัยบวกที่ Fed จะกลับมาผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ยอีกครั้ง จึงแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ บอนด์ ฟันด์ (KT-BOND) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนใน PIMCO Funds : Global Investors Series PLC - Global Bond Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน ด้วยการกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้
ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลงได้อีกในปีนี้และปีหน้า โดยคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไปสิ้นสุดที่ 1% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้รับรู้การลดดอกเบี้ยของ กนง. ไปมากพอสมควรแล้ว จึงทำให้ตลาดอาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรและเกิดความผันผวนขึ้นได้บ้างในระยะสั้น แต่สำหรับมุมมองระยะกลาง ตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจโดยเฉพาะหากกระแสคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ กนง. เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจอีก และสามารถถือครองได้จนช่วงสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงนี้จึงแนะนำ 2 กองทุน ได้แก่
กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้นพลัส (KTSTPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก และ/หรือตราสารทางการเงินซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โดยเฉลี่ยอายุตราสารไม่เกิน 1 ปี เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นเพื่อรอจังหวะลงทุนในสินทรัพย์อื่น และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTFIXPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายจัดการอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งภายใต้สถานการณ์ความผันผวนในปัจจุบัน โดย บลจ.กรุงไทย แนะนำ กลุ่มกองทุน KTMUNG, KTMEE, KTSRI และ KTSUK(ความเสี่ยงระดับ 5) ซึ่งเน้นการลงทุนโดยการจัดสรรเงินลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก โดยลงทุนแบบ Fund of Funds ภายใต้บริษัทจัดการกองทุน และจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกินร้อยละ 79 ของ NAV มีทั้งหมด 4 กองแบ่งตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ (ไม่ใช่ระดับความเสี่ยงตามผลประเมิน Suitability Test)