โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายอีกครั้งภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยทั้งคณะและเกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นชั่วคราว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และก็เป็นครั้งแรกที่เราได้รัฐบาลเสียงข้างน้อยและมีการกำหนดระยะเวลาที่จะยุบสภาเข้ามาบริหารประเทศ
จากผลโหวตในวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภายใต้ข้อตกลงที่จะดำเนินการยุบสภาใน 4 เดือน แม้ว่านายกฯจะพยายามดึงคนนอกที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมาดูแลกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน หรือกระทรวงการต่างประเทศ ก็ตาม แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อมาคือ รัฐบาลที่มีอายุสั้นเพียงเท่านี้และมีเสียงข้างน้อยในสภา จะสามารถผลักดันนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่เผชิญกับสภาวะซบเซาได้อย่างไร ทั้งนี้ แม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ที่ประกาศออกมาอยู่ที่ 2.8% จะแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปียังคงมีความท้าทายอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขส่งออกที่คาดว่าจะลดลงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมซึ่งออกมา -0.7% แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อที่อ่อนแอ จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 7 เดือนแรกของปีที่ 19.3 ล้านคนซึ่งลดลงกว่า 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ที่อาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอผลการเลือกตั้งใหม่ในช่วง 4 เดือนข้างหน้า จึงเป็นโจทย์ยากสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่ามาตรการที่จะออกมานั้น จะเน้นในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น การลดภาระค่าใช้จ่าย การกระตุ้นการบริโภค มากกว่าที่จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งตลาดหุ้นเองก็ตอบสนองในทิศทางบวก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอาหาร อย่างไรก็ตาม ในภาพระยะยาวยังคงเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก โดยเฉพาะหลังเกิดการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เพราะจากการเลือกตั้งครั้งก่อนใช้เวลากว่า 3 เดือนจึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นั่นจะทำให้เศรษฐกิจของไทยขาดความต่อเนื่องของนโยบายจากภาครัฐ แม้ร่างงบประมาณปี 2569 จะผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว แต่นโยบายหลักที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ยังคงต้องอาศัยรัฐบาลเป็นผู้ขับเคลื่อน
กล่าวโดยสรุปคือ เศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล อาจฟื้นตัวได้ในระยะสั้น หนุนโดยนโยบายที่เน้นในเรื่องการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่ในระยะยาวยังคงเผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลในชุดถัดไป ซึ่งอาจส่งผลให้ขาดความต่อเนื่องทางด้านนโยบายจากภาครัฐ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังในการลงทุน เน้นการกระจายการลงทุนในหุ้นที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นในระยะสั้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด