โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
ประเทศไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันด้านอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายการคลังยังไม่ชัดเจน และปัจจัยภายนอกที่ถูกกำหนดโดยนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดทุนสามารถอธิบายได้ในเชิงเปรียบเทียบเหมือนเรือขนาดใหญ่ที่ต้องแล่นผ่านพื้นที่น้ำตื้นและทวนกระแสน้ำเชี่ยว โดยมีกระแสลมเข้ามาช่วยบ้าง
ความเสี่ยงหลักคือหนี้ครัวเรือนสูงของไทยอยู่ที่ 87.9% ของ GDP (ไตรมาส 1/2568) ซึ่งสูงกว่าระดับวิกฤติที่งานวิจัยชี้ว่าเริ่มกดดันการบริโภค การเติบโตเศรษฐกิจต่ำกว่า 2% อาจทำให้ผู้กู้กลุ่มเปราะบางผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเหลือ 1.50% ความเสี่ยงนี้สามารถกระทบตั้งแต่สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ส่งผลต่อการตั้งสำรองของธนาคารและทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนหดตัวต่อเนื่อง ความเสี่ยงรองที่ต้องติดตาม ภาษีสหรัฐฯ ต่อสินค้านำเข้าจากไทย หากมาตรการภาษีมีผลจริง GDP ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจชะลอลงเหลือราว 1.0% จากที่เติบโตมากกว่า 3.0% ในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างความผันผวนต่อค่าเงินบาท และการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาต่ำ ที่มีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 459% เมื่อเทียบกับปีก่อน สร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งในด้านราคาและกำลังการลงทุนของ SME ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำและปัจจัยทางกฎหมายอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า และก่อให้เกิดความผันผวนระยะสั้นในตลาดหุ้นไทย และเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศ ความแปรปรวนของสภาพอากาศ (La Niña/El Niño) อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร กระทบผู้ประกอบการอาหารและประกันภัย รวมถึงสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่คาดหวังจะช่วยการเติบโตของเศรษฐกิจ ก็มีแนวโน้มจะไม่เติบโต
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความน่ากังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีข่าวดีที่ กนง.เริ่มดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น โดยเริ่มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งล่าสุด หลังจากที่มีมติคงระดับอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในการประชุมเดือนมิถุนายน และทำให้นักลงทุนคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ต่อเนื่องในระยะ 1 ปีข้างหน้า ซึ่งหากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินสามารถส่งผ่านสู่ภาคเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นส่วนช่วยพยุงการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจได้
กล่าวโดยสรุปเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันต้องเผชิญทั้งน้ำตื้น (การเติบโตต่ำ) และกระแสน้ำเชี่ยว (ความเสี่ยงภายนอกและภายใน) แม้จะเริ่มมีกระแสลม (นโยบายการเงิน) เข้ามาช่วยบ้าง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงต้องอาศัยความระมัดระวังเช่นเดียวกับการนำเรือขนาดใหญ่ฝ่าทางน้ำที่ท้าทาย นักลงทุนจึงควรจับตาความเคลื่อนไหวของปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่มีโครงสร้างพื้นฐานแข็งแรงและทนทานต่อความผันผวน