xs
xsm
sm
md
lg

MFCชี้หุ้นทั่วโลกฟื้นหลังภาษีทรัมป์ แนะกระจายลงทุนหลากสินทรัพย์ลดผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.เอ็มเอฟซีมองบวกสินทรัพย์เสี่ยงหลังภาษีทรัมป์เริ่มนิ่ง เผยหุ้นสหรัฐฯอัพไซด์จำกัดเหตุเติบโตกระจุกตัวราคาเริ่มแพง ขณะที่หุ้นเอเชียจีนน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ-AI มีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้น หลังฟื้นตัวช้าต้นทุนต่ำกว่าหุ้นสหรัฐฯ ระบุตราสารหนี้ยังน่าสนใจเหตุดอกเบี้ยยังขาลง เฟด-ธปท.จ่อปรับลงอีก2ครั้งภายในปีนี้ พร้อมแนะกระจายการลงทุนหลากสินทรัพย์ลดความผันผวน ชูกอง MGALL-H และ MGALL-UH ทางเลือกนักลงทุนสร้างผลตอบแทนฝ่าทุกความผันผวน

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า หลังจากนโยบายกีดกัดทางของสหรัฐฯเริ่มมีความชัดเจนในหลายประเทศส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และบริษัทยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยการลงทุนในหุ้นสหรัฐช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไม่มาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของหุ้นสหรัฐฯมีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและAI ซึ่งมีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯจะต้องมีการคัดเลือกหุ้นก่อนเข้าลงทุนมากขึ้น และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการลงทุนอยู่ เช่น นโยบายการลดภาษี หรือการปรับกฎเกณฑ์ของกลุ่มธุรกิจการเงินเพื่อเสริมสภาพในการลงทุน เป็นต้น

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ถือว่าเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและAI ของจีน ซึ่งคาดว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้สูงกว่าหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหลังจากโควิดหุ้นจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า และราคาปรับลดลงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งหุ้นAIของจีนมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นุทนการพัฒนาค่อนข้างต่ำและมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น ทำให้การเรียนรู้ของAIผ่านฐานขอมูลจากผู้ใช้มีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบริษัทคาดว่าดัชนีหุ้นไทยภายในปี 2568 มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,300 จุดโดยระหว่างทางอาจมีการปรับฐานทำกำไรเป็นระยะ ซึ่งหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากการกลับเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แต่คาดว่าต่อจากคงต้องจับตาปัจจัยบวกที่จะเข้ามาทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาครัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ตามหุ้นไทยที่แนวรับประมาณ 1,200 จุดน่าจะเป็นจุดที่นักลงทุนสามารถกลับเข้าลงทุนได้อีกครั้งหากมีการปรับฐานลง

ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้บริษัทเชื่อว่า ยังคงมีความน่าสนใจเนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศรวมถึงไทยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯคาดกว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งเช่นกันจากการประชุมในรอบ 2 ครั้งสุดท้ายในปีนี้

นายเชาวน์กร กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มข้างต้นกลยุทธ์การลงทุนที่บริษัทแนะนำในช่วงที่เหลือของปีนี้คือการกระจายการลงทุนหลากสินทรัพย์ หรือหากสามารถรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งควรลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น และการลงทุนทางเลือก 50% และการลงทุนในตราสารหนี้อีกประมาณ 50% ของพอร์ตการลงทุนรวม โดยล่าสุดเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนจากการลงทุน บริษัทได้ทำการเปิดขายกองทุน คือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล สตราทีจิค อัลโลเคชัน Hedged (MGALL-H) ซึ่งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล สตราทีจิค อัลโลเคชัน Unhedged (MGALL-UH) ซึ่งไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างวันที่ 4-15 สิงหาคม 2568

สำหรับกองทุน MGALL-H และ MGALL-UH มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก SPDR® Bridgewater®All Weather® ETF โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งกองทุนหลักบริหารและจัดการโดย SSGA Funds Management กองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก ได้แก่ หุ้นทั่วโลก, พันธบัตร, พันธบัตรที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bonds), ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจัดสรรสินทรัพย์ตาม Model Portfolio ที่จัดทำโดย Bridgewater Associates, LP ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทการลงทุนชั้นนำของโลก Model Portfolio ออกแบบมาเพื่อให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมมีความยืดหยุ่นต่อภาวะตลาด และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ทั้งนี้กองทุนหลักสามารถลงทุนทั้งสถานะซื้อและสถานะขาย (Long and Short) ในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งทางตรงและ/หรือผ่านตราสารอนุพันธ์ โดยไม่ได้จำกัดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเภทสินทรัพย์

กองทุนนี้มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสภาวะตลาด ที่หลากหลาย (Resilient) รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราเงินเฟ้อที่สูง จากกลยุทธ์พอร์ตการลงทุนแบบ All Weather ช่วยกระจายความเสี่ยง และแสวงหาผลตอบแทนในหลากหลายสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์เดียวกับเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่ที่ใช้ลงทุน แต่นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเดือนมีนาคม 2568 มีผลตอบแทนอยู่ที่ 5% ต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น