บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดตัวกองทุนน้องใหม่ "MPEQS-UI" โอกาสเข้าถึงพอร์ตการลงทุน "Private Equity" ในหลากหลายอุตสาหกรรมและภูมิภาค เน้นลงทุนในตลาด Secondaries เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน โดยการเข้าถึงบริษัทนอกตลาด ผ่านกองทุนหลัก Franklin Lexington PE Secondaries Fund (FLEX Feeder-I) บริหารโดยผู้จัดการกองทุนระดับโลก เสนอขาย IPO ระหว่าง 14-23 กรกฎาคม 2568 นี้ เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า "ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก การลงทุนใน Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ ในระดับต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับการสร้างผลตอบแทนในภาวะตลาดผันผวน และยังสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรมที่ตลาดบริษัทจดทะเบียนอาจยังไม่ครอบคลุม"
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ MFC กล่าวว่า กองทุน MPEQS-UI เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงพอร์ตการลงทุน Private Equity ที่หลากหลาย โดยเน้นการลงทุนใน ตลาด Secondaries ซึ่งเป็นการเข้าลงทุนต่อจากผู้ลงทุน รายอื่นที่ต้องการขายเงินลงทุนก่อนสิ้นสุดอายุโครงการ ทำให้เข้าถึงพอร์ตที่มีอยู่แล้วและมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่เรียกว่า 'Blind Pool Risk' ที่มักพบในการลงทุน Private Equity รูปแบบอื่นๆ
บลจ.เอ็มเอฟซี จึงนำเสนอ "กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ เซคันดารีส์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" หรือ "MPEQS-UI" กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก Franklin Lexington PE Secondaries Fund (FLEX Feeder-I) ชนิดหน่วยลงทุน Class I ACC ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV กองทุนหลักนี้บริหารโดย Franklin Templeton และ Lexington Partners ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่มีประสบการณ์ยาวนาน และมีขนาดกองทุนติดอันดับ Top 3 ของกลุ่ม PE Secondaries
จุดเด่นกองทุน MPEQS-UI ใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาดรอง (Secondaries) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจาก J-curve Effect (การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดตั้งแต่ระยะต้นของการทำธุรกิจซึ่งรายได้ และผลตอบแทนมักจะยังติดลบ) โดยกองทุนจะเข้าซื้อสินทรัพย์จากกองทุน Private Equity ที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว และอยู่ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Stage) ต่างจากการลงทุนแบบ Primary ที่ต้องรอผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ นอกจากนี้การลงทุนใน Private Equity Secondaries ยังช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลงทุนในหลากหลายบริษัท อุตสาหกรรม, ภูมิภาค และปีที่ลงทุนที่ต่างกัน (Vintage Year) ทำให้พอร์ตการลงทุนมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อภาวะตลาดที่ผันผวนได้ดีกว่า
นายธนโชติ กล่าวต่อไปว่า "กองทุนหลักมุ่งเน้นการลงทุนใน Private Assets หลากหลายประเภท อาทิ การเข้าควบคุมบริหารกิจการเพื่อปรับปรุงและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Buyout), การลงทุนในบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโตเพื่อขยายธุรกิจ (Growth), และการลงทุนในบริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง (Venture) รวมถึง Primary Funds และ Co-investments โดย มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจาก J-Curve ซึ่งมักเกิดขึ้นกับการลงทุนในระยะแรกของ Private Equity และเพิ่มโอกาสการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้เร็วขึ้น
เปิดขายเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่
ทั้งนี้ กองทุน "MPEQS-UI" เสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UI) เท่านั้น เนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อน (ความเสี่ยงระดับ 8+) เปิดขาย IPO ระหว่างวันที่ 14-23 กรกฎาคม 2568 นี้ โดยแบ่ง เป็นหน่วยลงทุน 2 ชนิด ได้แก่ MPEQS-UI-G ชนิดทั่วไป เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนรายเดือน (วันแรกของแต่ละเดือน) กำหนดเงินลงทุนซื้อครั้งแรกขั้นตํ่า 500,000 บาท และซื้อครั้งถัดไปขั้นตํ่า 10,000 บาท ส่วน MPEQS-UI-S ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกเพียงครั้งเดียว เงินลงทุนขั้นตํ่า 500,000 บาท ส่วนวันขายคืนหน่วยลงทุนกำหนดเป็นรายไตรมาส ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนมีความแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป แม้ว่าจะเคยมีประสบการณ์ในการลงทุนในกองทุนอื่นมาก่อน ผู้สั่งซื้อหรือผู้ถือหน่วยลงทุนควรทำความเข้าใจถึงลักษณะ ความเสี่ยงและเงื่อนไขกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก