xs
xsm
sm
md
lg

อเบอร์ดีนลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐ-ชี้หุ้นไทยสิ้นปีมีโอกาส1,300

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 
อเบอร์ดีนปรับพอร์ตหุ้นโลก ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ รับความไม่แน่นอนภาษีทรัมป์ เศรษฐกิจชะลอ เงินเฟ้อสูง ระบุแนวโน้มการทำกำไรของหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าลดลงเหตุราคาแพง ลุยปรับเพิ่มน้ำหนักกระจายลงทุนยุโรป ตลาดเกิดใหม่จีน อินเดีย พร้อมมองเศรษฐกิจไทยชะลอตัว รับผลกระทบกำแพงภาษี ส่วนตลาดหุ้นสิ้นปีมีโอกาสแตะ1,300จุด หากเจรจาภาษีคืบโดนแค่ 10% แต่ถ้าเจอของหนักดัชนีระดับ1,000จุดเอาอยู่ แต่ภาครัฐต้องมีมาตรการรองรับที่เหมาะสม ชูกองThai ESGXออล ซีซันส์ เพิ่มโอกาสสร้างยิลด์ตามสภาวะตลาด จังหวะดีเข้าลงทุนพร้อมรับสิทธิ์เวฟภาษ๊ 
มร.แบลร์ คูเปอร์ Investment Director,Developed Market Equities อเบอร์ดี เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีทรัมป์กดดันการลงทุนในตลาดหุ้น และยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะมีความชัดเจนสุดท้ายอย่างไรในอีก 3 เดือนข้างหน้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนคือการปรับภาษีเพิ่มขึ้นจากระดับเดิมประมาณ 2% แต่จะมากขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเจรจาของแต่ละประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนให้น้ำหนักและความสำคัญกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระดับสูงแต่กระจุกตัวอยู่แค่ในกลุ่มของหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งคาดว่าความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะกระทบให้ความสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลง

“สิ่งที่เราเห็นคือความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษี ประกอบกับมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้จากประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวลดลงในขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความคาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯจะลดลง ซึ่งถ้าดูราคาหุ้น7นางฟ้าที่มีน้ำมากในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯแล้วราคาจะถือว่าแพง เพราะระดับราคาในปัจจุบันของดัชนีS&P 500 ที่P/Eประมาณ 25 เท่า ซึ่งเมื่อทำการทดสอบย้อนหลังไปแล้วจะพบว่าผลตอบแทนในอีก 10 ปีข้างหน้าของหุ้นในกลุ่มนี้แถบจะเป็นศูนย์หรือทำได้เท่าผลตอบแทนในอดีตมันเป็นไปได้ยากมากขึ้น”

ทั้งนี้แนวทางการลงทุนของหุ้นทั่วโลกที่บริษัทดูแลอยู่จะมีการปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายการลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯจะลดน้ำหนักลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนี MSCI World ประมาณ 15% และเพิ่มการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ยุโรป จีน อินเดีย ซึ่งน่าจะมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามในส่วนของการลงทุนในสหรัฐฯอาจมีการปรับเปลี่ยนธีมการลงทุนในหุ้นรายตัว ซึ่งอาจไม่ใช่หุ้นในกลุ่มเดิมที่ราคาสูงเกินไป แต่จะต้องเป็นหุ้นคุณภาพที่สามารถเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนหากเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยไม่มีการปรับลดลง โดยอาจเป็นหุ้นกลุ่มกลาง-เล็กที่มีความน่าสนใจมากกว่า


พิษภาษีทรัมป์กระทบศก.ไทยชะลอตัว
นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายตราสารทุน (Head of Equities - Thailand) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แบงก์ชาติประมาณการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ที่ 1.5-2% ซึ่งชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากมาตรการภาษีทรัมป์ ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาดการณ์  โดยในแง่ของจีดีพีถ้าดูเสาหลักของประเทศทั้ง3ด้านจะถูกกระทบพร้อมกันทั้งในส่วนของ การส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยตัวเลขการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่น่าจะเห็นความชัดเจนเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตามหากแนวโน้มการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี และการปรับเพิ่มขึ้นภาษีไม่กระทบกับกลุ่มที่มีการส่งออกหลักไปสหรัฐฯ หรือถูกเก็บภาษีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มภูมิภาคเดียวกันก็อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ขณะการลงทุนภาคเอกชนยังคงต้องติดตามซึ่งตัวเลขส่งเสริมการลงทุนเบื้องต้นยังไม่ได้ลดลงแต่ในแง่การลงทุนใหม่อาจมีการชะลอการตัดสินใจออกไป แต่ในระยะสั้นยังไม่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน

“การท่องเที่ยวเจอผลกระทบด้านภาพลักษณ์และเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้มีการปรับประมาณการณ์นักท่องเที่ยวลงเหลือ 35.5 ล้านคนใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนน่าจะปรับตัวลดลงจากเดิม6.7ล้านคนเหลือแค่ 4-5 ล้านคน แต่ในแง่รายได้จากการท่องเที่ยวอาจไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและอสิราเอล”


หุ้นไทยไทยสิ้นปีมีโอกาสแตะ1,300จุด
นางสาวดรุณรัตน์ กล่าวอีกว่า อเบอร์ดีนมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยภายใต้ความเสี่ยงนโยบายภาษีทรัมป์และปัจจัยลบอื่นๆ แบ่งออกเป็น 3 กรณีคือ 1.ในกรณีผลการเจรจากับสหรัฐฯและมีการเรียกเก็บภาษีอยู่ที่ 10%  จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีมีโอกาสแตะที่ระดับ 1,300 จุดที่ระดับP/E 15เท่า และEPS ที่ 85 บาท

2.หากการเจรจาส่งผลให้การเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯต่ำกว่า 10% ประกอบนโยบายการเงิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมามีผลลัพธ์ชัดเจน น่าจะส่งผลให้หุ้นไทยกลับมาซื้อขายที่ระดับP/E กลับมาซื้อขายที่ 16-17เท่าได้และ ส่งผลให้ดัชนีมีโอกาสแตะที่ระดับ 1,400จุด ส่วนกรณีเจรจาไม่เป็นผลและไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ระดับ 36% ดัชนีมีโอกาสลงมาอยู่ที่ระดับ 900-1,000 จุด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาครัฐคงหามาตรการออกมาช่วยพยุงตลาดแน่นอนหากเจอกรณีดังกล่าวและหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้เหนือระดับ1,000จุดได้

สำหรับธีมการลงทุนในหุ้นไทยขณะนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในการคัดเลือกการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง มีฐานเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการจ่ายเงินปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ  โดยหุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจประกอบด้วย หุ้นกลุ่มธนาคาร  กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด  กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล-ธุรกิจสุขภาพ  ส่วนหุ้นขนาดขนาดเล็ก เน้นหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ กับกลุ่มเฮลแคร์ แต่ในส่วนของกลุ่มไฟแนนซ์อาจจะต้องดูความสามารถในการติดตามหนี้เพราะถือเป็นความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นกัน


กองThai ESGXออล ซีซันส์ เพิ่มโอกาสสร้างยิลด์ตามสภาวะตลาด
บริษัทแนะนำการลงทุนใน กองทุนThai ESGXซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กัน โดย
 
กองทุนแนะนำได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ออล ซีซันส์ ไทยเพื่อความยั่งยื่น แบบพิเศษ (ABALL-TESGX) โดยกองทุนนี้ได้ผสานมุมมองของนักวิเคราะห์ระดับโลกและผู้เชี่ยวในประเทศ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอย่างแม่นยำ และปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ตลาด ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงตลาดขาขึ้นกองทุนจะมีการเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นมากกว่า 85% (85-100%) เน้นลงทุนหุ้น Growth และหุ้นคุณภาพ ให้น้ำหนักหุ้นเล็กมากกว่าหุ้นใหญ่ 0-15% ส่วนช่วงตลาดเริ่มมีการชะลอตัว จะเปิดเกมรับ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้เต็มแมกซ์ (15-25%) เลือกลงทุนหุ้น Value และหุ้นปันผล ให้น้ำหนักหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นเล็ก โดยเป็นหุ้นไทย 75-85%

ขณะที่ตลาดเข้าสู่ ภาวะถดถอย จะมีการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ (25-35%) เลือกลงทุนหุ้น Value และหุ้นปันผล ให้น้ำหนักหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นเล็ก (หุ้นไทย65-75%) ขณะที่ตลาดเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวกองทุนจะตอบสนองโอกาสลงทุน ด้วยการลดสัดส่วนตราสารหนี้ลง  และเพิ่มการลงทุนในหุ้นได้ถึง 85% โดยเน้นหุ้นที่มีการเติบโตเกาะกระแส ตลาดฟื้นตัว
กำลังโหลดความคิดเห็น