บลจ.บัวหลวง มั่นใจกองทุนรวมโตต่อเนื่อง จ่อเปิดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นรองรับฐานลูกค้าเงินฝาก ล็อกผลตอบแทนไม่เกิน1ปีช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง แนะจับตาภาษีทรัมป์กระทบการลงทุนผันผวน แต่คาดเศรษฐกิจโลกไม่ถดถอย มองหุ้นไทยประมาณ 1,250 - 1,300 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นปันผลสูง กระแสเงินสดดี
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ Managing Director, Head of Fund Management เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา(2567) โดยเฉพาะจากฐานลูกค้าธนาคาร ซึ่งในปีที่ผ่านมากองทุนรวมมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM )อยู่ที่ 5.9 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ 2.8 ล้านล้านบาท กองทุนหุ้น 1.7 ล้านล้านบาท และกองทุนทางเลือกอื่นๆ อีกประมาณ 8.7แสนล้านบาท ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากกองทุนตราสารหนี้เป็นหลัก และในปีนี้แนวโน้มการลงเติบโตของกองทุนรวมน่าจะมากองทุนตราสารหนี้เช่นเดิม
แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสนับสนุนให้การลงุทนตราสารหนี้ได้รับความนิยมต่อจากปีที่ผ่านมา โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและกองทุนมันนี่มาร์เก็ตเป็นกองทุนที่มีการเติบโตมากขึ้นในปีที่ผ่านมา
"ปีนี้บริษัทยังคงให้น้ำหนัการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะการพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก และบริษัทเตรียมเปิดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปีเพื่อมารองรับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะลูกค้าแบงก์ เพราะผลตอบแทนที่ได้สูงกว่า ซึ่งปัจจุบันกองทุนมันนี่มาร์เก็ตจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 1.7% ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2-2.5%กว่าทำให้น่าจะเห็นการโยกเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนประเภทนี้มากขี้น ซี่งในส่วนของบริษัทเองก็น่าจะเติบโตได้มากกว่าในปีที่ผ่านมาจากกองทุนประเภทนี้และการเปิดกองทุนทุนตราสารหนี้ระยะสั้นกองใหม่"
**คาดศก.โลกไม่ถดถอย-ภาษีทรัมป์ความเสี่ยงลงทุนผันผวน**
ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist กล่าววว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในระดับสูง โดยหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา และยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายดังกล่าว
ปัจจัยเสี่ยงข้างต้นมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดการเงินและเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวม โดยส่งผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความคาดหวังของตลาดต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเคลื่อนไหวของตลาดทุน อัตราแลกเปลี่ยน และกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ
ความคืบหน้าในการเจรจายังไม่อาจตีความได้ว่า “ข้อตกลง” (Deal) ได้บรรลุผลในทางปฏิบัติ ความเสี่ยงจากประเด็นที่ยังไม่ข้อยุติยังคงมีอยู่ และมีศักยภาพที่จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินได้อีกในอนาคต อันส่งผลให้อารมณ์ตลาดเกิดความผันผวนต่อเนื่องในลักษณะ “พลิกกลับไปมา” (Stop-and-go dynamic) ซึ่งคาดว่าจะดำรงอยู่ต่อไปภายใต้สภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่ยังไม่เสถียร
"ประเด็นต่างยังต้องติดตามและคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายการเงินสหรัฐที่แต่เดิมคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งอาจไม่เป็นไปตาามคาดการณ์ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวคงจะไม่สงผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย"
**มองหุ้นไทย1,250-1,300 จุด ดาวน์ไซด์ไม่หลุด1,000**
นายเมธา พีรวุฒิ Senior Vice President, Fund Management Group กล่าวว่าแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบประมาณ 1,250 - 1,300 จุด ที่ระดับP/E 13.8-14 เท่า และEPSที่ 88-90 บนพื้นฐานที่การเจรจาการค้าและภาษีกับสหรัฐฯสามารถปรับลดมาอยู่ในระดับ 10-15% ขณะที่ดาวน์ไซด์ดัชนีที่1,000จุดน่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดในกรณีที่เลวร้ายสุดและได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีที่เกิดขึ้น แต่น่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุนเนื่องจากหุ้นไทยบางตัวราคาปรับตัวลงมาเกินกว่าพื้นฐานและผลประกอบการของบริษัทไปค่อนข้างมากแล้ว
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้มีการถือเงินสด 9-10% โดยการลงทุนในหุ้นไทยจะเน้นลดน้ำหนักในหุ้นที่มีความเสี่ยงตามปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ และเลือกลงทุนในบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลสูง มีความมั่นคงและมีกระแสเงินสดอยู่ในระดับสูง ประกอบด้วย 1. หุ้น Defensive ที่ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีรายได้คงที่และสม่ำเสมอ2. หุ้นผลกำไรดีที่ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีรายได้ที่คาดการณ์ได้ และการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง 3.หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายที่กำหนดเป้าหมายธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหรือการสนับสนุนทางการเงิน 4. หุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยซึ่งจัดสรรหุ้นให้กับบริษัทที่เตรียมพร้อมที่จะรับผลกำไรจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น และ5.หุ้นที่ถูก-ดี และหุ้นไฮเบต้า- รวมหุ้นที่ซื้อขายในราคาที่ไม่แพง และมีโมเมนตัมทางเทคนิคเชิงบวกหรือตัวขับเคลื่อนรายได้ในระยะใกล้