โดย ชยุต เลาหคุณากร
บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2567 ถึงต้นปี 2568 ตั้งแต่โลกได้รับรู้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 นักลงทุนต่างก็ดีใจคิดว่าจะส่งผลดีกับตลาดหุ้น จนกระทั่งเจอเซอร์ไพรส์การขึ้นภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบสนองในเชิงลบอย่างหนักทันที (ไม่นับเหตุการณ์ Selloff ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จากการมาของ DeepSeek) เพียงแค่ข้ามคืนมูลค่าของตลาดหุ้นทั่วโลกหายไปกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเช่นนี้ นักลงทุนมักมองหาที่หลบภัยจากคลื่นมรสุมและหุ้นกลุ่ม Defensive กลายเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัย ซึ่งบริษัทในกลุ่ม Defensive มักเป็นธุรกิจที่มีพื้นฐาน ค่อนข้างแข็งแกร่ง มีความมั่นคงและมีผลประกอบการที่สม่ำเสมอไม่ผันผวนตามวงจรของเศรษฐกิจและมักจะเป็นผู้ให้บริการหรือสินค้าพื้นฐาน ซึ่งยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจแบบใด
หุ้นกลุ่ม Defensive เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรของเศรษฐกิจน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้แก่ 1. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Staple) เป็นกลุ่มที่ผลิตสินค้าที่มีความจำเป็นต่อ การดำรงชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องแต่งกาย หรือของใช้ในครัวเรือน 2. กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) เป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานกับครัวเรือน เช่น ไฟฟ้า, น้ำประปา หรือก๊าซ และ 3. กลุ่มธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ (Healthcare) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การรักษาหรือบริการทางการแพทย์ต่าง ๆ รวมถึงการผลิตและวิจัยยา ซึ่งความต้องการบริโภคสินค้าหรือบริการของทั้ง 3 กลุ่ม มักจะไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถลดการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นเหล่านั้นลงได้
ความต้องการการบริโภคสินค้าและบริการของบริษัทในกลุ่ม Defensive ทำให้บริษัทเหล่านี้มักมีรายได้และกำไร ที่สม่ำเสมอ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม Defensive จึงมักมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดโดยภาพรวม ในช่วงที่ตลาดหุ้นเข้า สู่ภาวะตลาดขาลง ความผันผวนตลาดสูงขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาลงทุนในกลุ่ม Defensive และราคาของกลุ่มก็มักจะรักษามูลค่าได้ดีกว่า หรือให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด ตัวอย่างเช่น ในปี 2022 (เงินเฟ้อสูง) ดัชนี MSCI ACWI มีผลตอบแทนติดลบถึง -17.95% ในขณะที่ ดัชนี MSCI ACWI Defensive Sector ผลตอบแทนติดลบเพียง -0.09%
นอกเหนือจากการรักษามูลค่าได้ดีกว่าตลาดในช่วงตลาดขาลงแล้ว หลายบริษัทในกลุ่ม Defensive ยังมีประวัติ ในการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสม่ำเสมอให้กับนักลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการในช่วงที่ตลาดตกต่ำ การผสมผสานระหว่างความผันผวนต่ำและเงินปันผลที่มั่นคง ทำให้หุ้นกลุ่ม Defensive เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง เช่น ผู้เกษียณอายุ หรือผู้ที่ใกล้เกษียณ
แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่ม Defensive ไม่ได้ปลอดภัยจากความเสี่ยงของตลาดโดยสิ้นเชิง แม้จะมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในช่วงตลาดขาลง แต่ก็ยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะติดลบได้หากตลาดเกิดวิกฤตอย่างรุนแรงจนทำให้นักลงทุนตื่นตะหนกและเทขายหุ้น ซึ่งหุ้นกลุ่ม Defensive ก็อาจปรับลงได้เช่นกันแต่โดยทั่วไปจะลดลงน้อยกว่าตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง กลุ่ม Defensive ก็มักให้ผลตอบแทนน้อยกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) เมื่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาและมีความต้องการลงทุนหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในหุ้นเติบโตในภาคเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือย
ดังนั้นกล่าวโดยสรุปหุ้นกลุ่ม Defensive มีบทบาทสำคัญในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงเวลา ที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือเป็นตลาดขาลง ความมั่นคงสม่ำเสมอของรายได้และกำไร ประกอบกับเงินปันผลที่แน่นอน ทำให้หุ้นกลุ่ม Defensive เป็นที่หลบภัยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาเงินทุนและลดความเสี่ยง แม้หุ้นกลุ่มนี้อาจไม่ได้สร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในช่วงตลาดขาขึ้น แต่ความสามารถในการต้านทานพายุเศรษฐกิจ ทำให้หุ้น Defensiveเป็นองค์ประกอบที่มีคุณค่าในกลยุทธ์การลงทุนที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม