บลจ.กรุงไทยตั้งเป้าAUMแตะล้านล้าน หลังปีที่ผ่านโตพุ่ง1.3แสนล้าบาทหรือเพิ่มขึ้น16%จากปีก่อนหน้าทำยอดแตะ9.51แสนล้านบาท ระบุเศรษฐกิจโลก-ไทยยังขยายตัวท่ามกลางความผันผวน แนะลงทุนต่อเนื่อง คาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,450 ส่วนขาลงเริ่มจำกัด เป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุนรอบถัดไป
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ(AUM) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านล้านบาท จากเดิมในปี2567 อยู่ที่ 9.51 แสนล้านเพิ่มขึ้น1.3แสนล้านบาทเติบโตขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนเติบโตประมาณ10%
เศรษฐกิจโลก-ไทยยังขยายตัวท่ามกลางความผันผวน
นางชวินดา กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ถึงแม้ยังเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน อาทิ นโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariff) ท่าทีของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ มุมมองของนักลงทุนจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ ของจีน ที่รัฐบาลได้ส่งสัญญาณว่าจะออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจ AI ในจีนก็ทำให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ เป็นต้น
ขณะที่เศรษฐกิจไทยที่มองว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางตรงต่อภาคการส่งออกของไทย และส่งผลทางอ้อมที่อาจเข้ามากระทบภาคการท่องเที่ยวไทยหากเศรษฐกิจของประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวอ่อนแอลงจากสงครามการค้า
หุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,450จุด
สำหรับตลาดหุ้นไทย เรามองว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,450จุด โดยดาวน์ไซด์เริ่มจำกัดอยู่ที่ระดับ1,100จุด โดยตลาดหุ้นไทยหากรับรู้ปัจจัยบวกพร้อมกันทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย และนโยบายภาครัฐที่จะเข้ากระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น อาทิการให้สิทธิ์ทางภาษี การผ่อนปลนเกกณฑ์LTV ของภาคอสังหาฯ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการเพิ่มอำนาจกับก.ล.ต.ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในตลาดหลักทรัพย์
“ความกังวลด้านแรงขายกองทุนLTFที่กรบกำหนดอีกประมาณ1.6แสนล้านเริ่มลดง และเราเห็นสัญญาณชะลอการขายในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่ากองทุนThai esgx ที่กำลังจะเปิดขายในเดือนพฤษภาคมน่าจะมียอดใช้สิทธิ์สับเปลี่ยนเข้าลงทุนได้ถึง 8 หมื่นล้านบาท และจะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เพิ่มเข้ามาได้อีกประมาณ2หมื่นล้านบาท”นางชวินดากล่าว
นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าอาจจะยังต่ำกว่าระดับศักยภาพเล็กน้อย โดยคาดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ที่ 2.8% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 อีกทั้งผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่บางแห่งก็ออกมาต่ำกว่าที่คาด
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทย น่าจะมีจังหวะในการให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในรอบถัดไปทำให้หุ้นหลายตัวมีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก จึงถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ อาจจะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 20% หลังจากที่หดตัวไปที่ประมาณ -6% ในปี
แนะกระจายเสี่ยงลงทุนต่อเนท่องแม้ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เรายังมองว่าระดับปัจจุบันเป็นโอกาสในการลงทุนของนักลงทุนระยะยาว
จากท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนหันมาใช้กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง ลดการกระจุกตัว ประกอบกับความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายของสหรัฐฯ จึงเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ ที่เคยโดดเด่นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไปยังภูมิภาคอื่นๆ โดยในช่วงต้นปี 2025 นี้ เราจึงแนะนำกลยุทธ์ในการลงทุน 4 ด้าน ประกอบด้วย
(1) ลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้มักจะผันผวนไปในทิศทางเดียวกัน การถือเงินสดจึงเป็นทางเลือกในการลดความเสี่ยงของพอร์ต แต่เมื่อผ่านพ้นวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นไป สินทรัพย์หลักสองประเภทนี้จะผันผวนไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน ทำให้พอร์ตที่มีกระจายความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดความผันผวนได้อยู่แล้ว ความจำเป็นการถือเงินสดจึงลดลง
(2) มองหาการป้องกันความเสี่ยง (Seek Hedging) ตลาดการลงทุนอาจมีความผันผวนมากขึ้น ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตจึงมีความจำเป็น โดยการป้องกันความเสี่ยงสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ ทั้งการกระจายความเสี่ยง การลดการกระจุกตัวในการลงทุนการลงทุนบางส่วนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ หรือการถือสินทรัพย์ปลอดภัย
(3) นโยบายใหม่ โอกาสใหม่ (New Policies, New Opportunities) การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในหลายประเทศ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายเกิดขึ้น ซึ่งเปิดให้มีโอกาสลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นตามไปด้วย
(4) มุ่งการเติบโตระยะยาว (Long-term Growth Oriented) กระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกในมิติต่างๆ ทำให้เกิดแรงผลักดันสำหรับการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) นอกจากนี้ มิติสุขภาพ ก็ยังมีความสำคัญในสังคมที่มีความสูงวัยขึ้นต่อเนื่อง
แนะลงทุนหุ้นโลก-จีน
โดยการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เราได้แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-WEQ) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB Low Volatility Equity Portfolio (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่มีความผันผวนต่ำ และมีความเสี่ยงในการปรับตัวลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตในระดับที่ต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว (DM) เป็นหลัก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วย กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (KT-CHINA) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีภูมิลำเนาหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีน และ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ (KT-Healthcare) (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนใน JanusHenderson Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยยังคงมีอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยังคงมีเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเรื่อยๆ เราจึงคาดว่ากลุ่ม Health care จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีขึ้นจากที่เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนที่ดี และกองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และ/หรือมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต นอกจากนี้ กองทุนKT-HiDiv-D ยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจากMorningstar Awards for Investing Excellence ในกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดใหญ่มา 2 ปีติดต่อกัน คือ ปี 2024 และปี 2025