xs
xsm
sm
md
lg

BKIกำไรนิวไฮ3,060ล้าน ตั้งเป้าเบี้ยปีนี้แตะ3.42หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรุงเทพประกันภัย ตั้งปีนี้โต 8% เบี้ยรวมแตะ 34,200 ล้านบาท เชื่อการลงทุนภาครัฐ-คนไทยตระหนักความคุ้มครองสุขภาพช่วยหนุน พร้อมโชว์ปี67กำไรนิวไฮเกือบ 3,060 ล้านบาทกวาดเบี้ยรวม 31,736.1 ล้านบาท หนุนกำไรBKIHเตรียมปันผล 17 บาทต่อหุ้น

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด(มหาชน) หรือ BKI ยังเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักให้แก่ BKIH โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 34,200 ล้านบาท เติบโต 8% แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยรถยนต์ 14,700 ล้านบาท และ เบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์ หรือ Non-Motor 19,500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี และ นวัตกรรมดิจิทัล ยกระดับผลิตภัณฑ์ และ บริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ทั้งในด้านความสะดวก รวดเร็ว และ ความพึงพอใจสูงสุดในทุกการบริการ

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2568 สมาคมประกันวินาศภัยไทยคาดว่า จะขยายตัว 1.5-2.5% ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 2.91-2.95 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนผนวกกับภาระหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย จากผลกระทบด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะเดียวกันความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ส่งผลต่อเนื่องมายังยอดจำหน่ายสินทรัพย์ เช่น บ้าน และรถยนต์ ยังเป็นปัจจัยที่ชะลอการเติบโตของเบี้ยประกันอัคคีภัย และ ประกันภัยรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างต่ำแต่เรามั่นใจว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยการเติบโตมาจากการเร่งขยายโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จากเงินลงทุนภาครัฐ และการประกันภัยสุขภาพที่เติบโตจากการตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั้งจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่นำไปสู่โรคประจำฤดูกาล ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 รวมถึงปัจจัยค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation)“ดร.อภิสิทธิ์

**ปี67กำไรนิวไฮเกือบ3,060ล้านบาท**
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี2567ว่า บริษัทบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 31,736.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,871.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.6 ส่วนกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,799.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5

ทั้งนี้กรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน)ส่งผลให้มีรายได้รวม 23,422.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 21,481.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และ มีรายได้จากการลงทุน 1,940.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.0%

ทั้งนี้จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 3,657.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,046.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1%

"กำไรปี 67 ที่ 3,059.8 ล้านบาท ถือว่าเป็น New High หรือ ทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งหลักๆ ยังมาจากธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะ BKI แม้ว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมปี 67 จะพลาดเป้าที่วางไว้ว่า จะเติบโต 7% แต่ทำได้ 6% ซึ่งเกิดจากยอดขายรถยนต์ที่ต่ำกว่าเป้า ตลอดจนภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วม และ เศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง หนี้ครัวเรือนที่สูงมากกว่า 90% ของจีดีพี"ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับการจัดสรรเงินปันผลในปี 2567 บริษัทฯ จัดสรรเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วอัตราหุ้นละ 11.25 บาท และ ในงวดสุดท้ายของปี 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเสนอให้จ่ายเงินปันผล หุ้นละ 5.75 บาท รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 17 บาท โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.84%

สำหรับเงินลงทุนตามราคาทุนทั้งสิ้น ณ 31 ธ.ค. 67 ของบริษัท อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ตราสารหนี้ 35% และ ตราสารทุน 65 % ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment : ROI) อยู่ที่ 3.75% ของมูลค่าเงินลงทุนตามราคาทุน

ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า(EV) ของบริษัทฯ มีพอร์ตอยู่ 7,000 คัน คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกันอยู่ที่ 215 ล้านบาท และ ค่าสินไหมทดแทน(loss ratio) อยู่ที่ 68% จากตลาดรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ 160,000 คัน ซึ่งการที่ loss ratio ของบริษัทฯ อยู่ต่ำกว่าตลาดนั้นเกิดจากบริษัทฯ คิดค่าเบี้ยประกันสูงกว่าคู่แข่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น