บลจ.ยูโอบีตั้งเป้า AUM โต 10-15% หลังปี 67 ผลงานหรูเติบโต 10% สินทรัพย์รวมแตะ 273,000 ล้านบาท กองสำรองเลี้ยงชีพโตพุ่งสถาบันแห่เป็นลูกค้าอื้อ ดันอันดับพุ่งพรวด 2 ขั้นจากอันดับที่ 8 ขึ้นมาอันดับที่ 6 ส่วนปีนี้เดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่อเนื่อง ส่วนกองทุนรวมเน้นออกกองใหม่ อัดเทอมฟันด์และตราสารหนี้นอกตลาดตอบโจทย์ความหลากหลายและกระจายการลงทุนแก่ลูกค้า พร้อมคาดหุ้นเศรษฐกิจโลกปีนี้ไม่ถดถอย ส่วนหุ้นไทยดัชนีมีโอกาส 1,295 ดาวน์ไซด์เริ่มจำกัด ชี้เป้ากลุ่มแบงก์ โรงพยาบาลน่าสนใจ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด (บลจ. ยูโอบี) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนจะเติบโตได้ประมาณ 10% ส่วนบริษัทคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีนี้ 2568 น่าจะเติบโตได้ในระดับ 10-15% ตามเป้าหมายของบริษัทที่เน้นการเติบมากกว่าอุตสาหกรรมกรรม
ส่วนในปีที่ผ่านมา 2567 บริษัทมี AUM อยู่ที่ 273,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% แบ่งเป็นกองทุนรวม 146,593 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) 83,128 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล (PF) 43,485 ล้านบาท
สำหรับปีนี้ในส่วนของกองทุนรวมบริษัทมีแผนการออกกองทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง และพยายามสื่อสารกับนักลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในกองตรสารหนี้แบบเปิด และกองทุนตลาดเงินซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้เป็นที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีแผนในการขยายฐานลูกค้าในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นเนื่องจากในปีที่ผ่านบริษัทได้รับวางใจจากสถาบันในการเข้ามาบิหารงานอย่างต่อเนื่อง
"ในปีที่ผ่านมามีหลายแห่งให้ความไว้วางใจเราบริหารกองสำรอง และที่เขาให้เอ่ยชื่อได้ มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ธนาคารออมสิน (GSB) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว (กสจ.) ทำให้เราขึ้นมาเป็นอันดัง 6 จากเดิมอยู่อันดับ 8 จากทั้งหมด 17 บลจ.ภายในปีเดียว ซึ่งกองสำรองเลี้ยงชีพในปีนี้จะขยายตัวได้ดีอีกเช่นกัน" นายวนา กล่าว
นายวนา ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางกลยุทธ์ในปี 2025 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบแบบองค์รวม (One-stop advisory services) เพื่อตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าให้เหมาะสมตามวัตถุประสงค์การลงทุน (Customer is Centric) ด้วยจุดแข็งจากความร่วมมือกันภายใต้ UOB Group ในไทย รวมไปถึงเครือข่ายในภูมิภาคเอเชีย และพันธมิตรการลงทุนระดับสากล การนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาใช้จริงในทุกขั้นตอนการลงทุน
กลุ่มลูกค้าสถาบัน จะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินแบบองค์รวม มุ่งหวังตอบโจทย์ครอบคลุม ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแต่การจัดการลงทุนเท่านั้น ส่วนกลุ่มลูกค้ารายย่อย เน้นการนำเสนอการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละภาวะตลาด โดยในแผนงานปี 2025 นี้จะจัดให้มีกองทุน Term Fund นำเสนออย่างต่อเนื่องในทุกเดือน และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ทั้งกองทุนในรูปแบบสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) กองทุนที่ตอบโจทย์แผนการเกษียณ (Retirement Solution) เป็นต้น
หุ้นไทย 1,295 ดาวน์ไซด์จำกัด ชี้เป้าแบงก์ โรงพยาบาล
นายวนา กล่าวอีกว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 3% โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับปานกลาง และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นสภาวะที่ดีสำหรับการลงทุน ส่วนการปรับขึ้นภาษีการค้าน่าจะเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการต่อรองมากกว่าจะเป็นการตั้งใจสร้างสงครามทางการค้า โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปี 2025 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายๆ ประเทศที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก จะยังเป็นปัจจัยเสริมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบี แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้น และลดน้ำหนักการลงทุนมาสู่ระดับน้อยถึงปานกลางสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ และควรกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ควบคู่กันไปด้วย
ส่วนตลาดหุ้นไทยคาดว่าดัชนี SET ในปีนี้น่ามีโอกาสกลับมาอยู่ในระดับ 1,295 จุด กำไรต่อหุ้น 95 บาท/หุ้น โดยอาจมีอัปไซด์ถึงระดับที่ 1,386 จุดได้ ส่วนดาวน์ไซด์บริษัทมองว่าค่อนข้างจำกัด แต่หากมีสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าที่คาดการณ์ก็เป็นไปได้ที่หุ้นไทยจะลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1,000 จุด อย่างไรก็ตามระยะต่อจากนี้อาจเห็นการกลับเข้าลงทุนในหุ้นไทยของต่างชาติได้ควบคู่กับการทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินดอลลาร์
"หุ้นไทยช่วงนี้คงเป็นการซื้อจากนักลงทุนในประเทศ ส่วน Fund Flow น่าจะหยุดไหลออก และแรงขายกองทุน LTF น่าจะชะลอลง และประมาณพฤษภาคมจะมีกอง Thai ESGX เข้ามารองรับอาจปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ส่วนหุ้นที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มปันผล กลุ่มแบงก์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นการใช้จ่าย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่รับประโยชน์จากการผ่อนคลาย LTV โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม" นายวนา กล่าว