xs
xsm
sm
md
lg

การมาของ Deepseek และการเปลี่ยนแปลงของโลกการลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด

DeepSeek เป็นสตาร์ทอัปด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.2023 โดย Liang Wenfeng ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง High-Flyer บริษัท Hedge Fund สาย Quantitative ที่เน้นการพัฒนาและใช้ AI ในการซื้อขายหุ้น โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา DeepSeek นั้นได้เป็นที่รู้จักของทั่วโลกหลังจากพัฒนาและเปิดตัวโมเดล AI ที่มีชื่อว่า DeepSeek-R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับโมเดลชั้นนำของ AI ฝั่งสหรัฐฯ อย่างเช่น GPT-4o ของ OpenAI แต่จุดเด่นที่ทำให้ DeepSeek ดังในชั่วข้ามคืน คือต้นทุนในการพัฒนา โดย OpenAI ใช้เงินถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 เพื่อพัฒนาโมเดล AI ล่าสุด ในขณะที่ DeepSeek ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโมเดลดังกล่าว

การตอบสนองของตลาดหุ้น
การมาของ DeepSeek-R1 ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากไปท้าทายความเป็นผู้นำของบริษัท AI ที่มีชื่อเสียง และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนอย่างมากด้วยต้นทุนที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ นำมาซึ่งคำถามเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตรวมถึงเม็ดเงินของการลงทุนใน AI ซึ่งการมาของ DeepSeek-R1 ได้เขย่าตลาดหุ้นโลกทันทีหลังเปิดตัว โดยบริษัทที่เป็นต้นน้ำของ AI Supply chain ต่างได้รับผลกระทบเชิงลบกันอย่างมีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น NVIDIA บริษัทที่เป็นผู้นำด้านชิป AI ปรับตัวลดลงถึง -17% คิดเป็นมูลค่ากว่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐที่หายไปในชั่วข้ามคืน หรือบริษัทจากไต้หวันอย่าง TSMC ก็ปรับตัวลงถึง -14% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นในกลุ่มต้นน้ำต่างปรับตัวลง แต่หุ้นกลุ่มปลายน้ำอย่างบริษัทที่มุ่งเน้นด้านซอฟต์แวร์ เช่น Apple Amazon และ Meta กลับปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีต้นทุนในการพัฒนา AI ที่ถูกลง

ในฝั่งของตลาดหุ้นจีน การมาของ DeepSeek นั้นเป็นเหมือน Catalyst ที่สำคัญในการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในครั้งนี้ หลังจากที่นักลงทุนทั่วโลกต่างระมัดระวัง รวมถึงชะลอการลงทุนในจีน จากทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าที่กำลังจะมาจากยุคสมัยของทรัมป์ 2.0 รวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ได้มีสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัดนัก DeepSeek ได้เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่บริษัทเทคโนโลยีในจีนอีกครั้ง สังเกตได้จากบริษัทเทคจีนยักษ์ใหญ่ที่ต่างพากันปรับตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Alibaba (+65%) Tencent (+20%) Xiaomi (+52%) หรือ Meituan (+15%) ในปี 2025 นี้

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราอาจรู้จักกันดีกับกลุ่ม Magnificent 7 หรือ หุ้น 7 นางฟ้า ของสหรัฐฯ ที่เป็นหุ้นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นโลกทั้งในแง่ราคาหุ้นและการเติบโตของกำไร แต่ในปีนี้นั้นได้ถือกำเนิดหุ้นกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า “China Terrific Ten” ซึ่งถูกนักลงทุนไทยเรียกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “10 เทพเซียน” หรือ “ทศเทพ” ซึ่งเป็นกลุ่มเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 10 บริษัท นำทัพมาโดย Tencent และ Alibaba
 
โอกาสการลงทุน
ทั้งนี้ เรามองว่าการมาของ DeepSeek นั้นไม่ได้มาแย่งความเป็นผู้นำทางด้าน AI จากฝั่งสหรัฐฯ แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านในแง่ความสามารถ แต่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม AI รวมถึงลดความผูกขาดทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯลง โดย DeepSeek นั้นจะทำให้รายย่อยมีโอกาสเข้าถึง AI มากขึ้น เนื่องจากเป็นโมเดลแบบ Open Source และต้องการเพียงชิปประมวลผลระดับกลางเท่านั้นในการพัฒนา ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำลงอย่างมาก

ในแง่การลงทุนนั้น แน่นอนว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของทางฝั่งจีนในครั้งนี้ ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนโดยตรง ทั้งในมิติเชิงพื้นฐาน รวมถึงเชิงความเชื่อมั่น โดยกลุ่มที่รับผลประโยชน์โดยตรงจะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน ซึ่งโดยส่วนมากนั้นจะจดทะเบียนอยู่ในตลาด H-shares ทำให้กลุ่ม H-shares เป็นกลุ่มที่ Outperform อย่างมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับหุ้นจีนนั้นเป็นกลุ่มที่มี Valuation อยู่ในระดับต่ำ จากการโดนขายมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ Upside นั้นยังค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีของจีน กลับกันกับกลุ่ม A-shares ที่ไม่ค่อยได้รับผลประโยชน์มากนักในครั้งนี้

ในส่วนของหุ้นกลุ่ม AI จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถสรุปได้ว่าการมาของ DeepSeek นั้น จะมีทั้งบริษัทที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มปลายน้ำที่สามารถพัฒนา AI ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ส่วนกลุ่มต้นน้ำจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์จากการถูกลดอำนาจการผูกขาดลง อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่ม AI นั้นจะยังเป็นกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นในอีกหลายปีข้างหน้า เราจึงยังคงแนะนำการลงทุนหุ้นกลุ่ม AI ในแผนระยะยาว โดยลงทุนให้ครอบคลุมทั้ง Supply Chain อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI นั้นมีความกระจุกตัวในแง่อุตสาหกรรม ซึ่งอาจมีความผันผวนมากกว่าตลาดได้ ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนตามความเหมาะสม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมถึงทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น