xs
xsm
sm
md
lg

KAsset ตั้งเป้า AUM 2 ล้านล้าน ชี้เป้าหุ้นปันผล "แบงก์-สื่อสาร"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้า AUM แตะ 2 ล้านล้านบาทใน 3 ปี หลังปีที่ผ่านมาโตอู้ฟู่ 11% หรือกว่า 1.6 แสนล้านบาท ครองแชมป์กองทุนรวมเบอร์ 1 ในประเทศส่วนแบ่งตลาด 25% พร้อมแนะนักลงทุนจัดพอร์ต พร้อมกระจายเสี่ยงช่วยสร้างผลตอบแทนฝ่าตลาดผันผวน ชูกลุ่มกองทุน K-Wealth PLUS พอร์ตหลักช่วยกระจายการลงทุนด้วยความร่วมมือกับบริษัทระดับโลก J.P. Morgan ระบุหุ้นไทยยังน่าลงทุน ทยอยสะสมเพิ่มได้ช่วงตามกว่า 1,200 จุด ชี้เป้าหุ้นปันผลสูงกลุ่มแบงก์ สื่อสาร

นายวิน พรหมแพทย์ CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะระดับ 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 ส่วนปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยในปี 2567 บริษัทมี AUM อยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 11% หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประกอบด้วยธุรกิจกองทุนรวม 1.19 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.46 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.72 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่ 25% และมีอัตราการเปิดบัญชีของลูกค้ารายใหม่สูงถึง 5 แสนบัญชีในปีที่ผ่านมา

สำหรับปีนี้บริษัทตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Enhance Customer Experience ยกระดับประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านแนวทางการบริหารพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio พร้อมอัปเดตสถานการณ์การลงทุน มีข้อมูลเชิงลึกให้ลูกค้า เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ 2) Collaboration with Distributors & Partners เสริมแกร่งความร่วมมือผ่านธนาคารกสิกรไทย และตัวแทนผู้สนับสนุนการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ 3) Productivity Enhancement การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้ง AI และ Robotic Process Automation (RPA) มาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

แนะนำจัดพอร์ต -K-Wealth PLUS ฝ่าลงทุนผันผวน
นายวิน กล่าวอีกว่า จากสภาวะตลาดทั่วโลกที่ยังมีความผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุน และการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาดได้ โดยในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะการจัดการพอร์ตการลงทุนที่มีนักลงทุนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นจาก 4 หมื่นบัญชีเป็น 1 แสนบัญชีในปีที่ผ่านมา

สำหรับพอร์ตการลงทุนที่บริษัทแนะนำจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนเสริมพอร์ตให้เติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ในสัดส่วนประมาณ 70-80% ของพอร์ต ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยแนะนำกองทุน K-GSELECT, K-USA, K-GTECH, K-VIETNAM, K-PROPI ในสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ต และส่วนที่ 3: Liquidity เน้นลงทุนเสริมสภาพคล่อง เพื่อโอกาสทำกำไรที่ได้มากกว่าเงินฝาก ในขณะเดียวกันยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-2 วันทำการ โดยแนะนำกองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED, K-FIXEDPLUS ในสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ต

“นอกจากการจัดพอร์ตในรูปแบบดังกล่าวแล้วปีนี้บริษัทยังเพิ่มรายละเอียดการจัดพอร์ตตามช่วงอายุเพื่อวางแผนการเกษียณโดยนักลงทุนสามารถเลือกการลงทุนในกองทุนหลักได้ 3 รูปแบบคือ กองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ซึ่งจะมีความเสี่ยงจากน้อยไปหามากเพื่อสอดคล้องกับช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นและรับความเสี่ยงได้น้อยลง โดยแต่ละกองมีผลตอบแทนแตกต่างกันคือ 4% 6% และ 8% ตามลำดับความเสี่ยง ซึ่งแนวทางนี้บริษัทเตรียมขยายการแนะนำเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล”

หุ้นไทยยังมีโอกาสลงทุนเน้นหุ้นปันผล

นายวิน กล่าวอีกว่า ตลาดทุนไทยและตลาดทุนโลกยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความสามารถในการทำกำไรให้นักลงทุนต่อเนื่องได้ และปีนี้คาดว่าเติบโตได้ถึง 15% ส่วนตลาดตราสารหนี้โลกและไทย เชื่อว่ายังสามารถเข้าลงทุนได้เนื่องจากเป็นช่วงของอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุประมาณ 1 ปีสำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว

ส่วนตลาดหุ้นไทยกรอบดัชนีปีนี้ ภายใต้การปรับ Earnings Per Share (EPS) ใหม่ซี่งจะอยู่ที่ระดับ 1,350 จุด โดยหุ้นไทยจะมีดาวน์ไซด์ค่อนข้างจำกัด ซึ่งแนวรับน่าจะอยู่ในช่วง 1,100-1,200 จุด แต่คงจะต้องจับตาปัจจัยที่อาจกดดันตลาดหุ้นเพิ่มเติมทั้งในส่วนของนโยบายด้านภาษีของทรัมป์หากมีผลกระทบกับไทยโดยตรง และปัญหาการเมืองภายในประเทศอาจจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในระยะต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,200 จุด เป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุนหุ้นไทยในกลุ่มที่มีปันผลสูง อย่างหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มธนาคารมีแผนซื้อหุ้นคืนหนุนให้ธนาคารมีโอกาสเพิ่มเงินปันผลได้ ส่วนกลุ่มสื่อสารให้เงินปันผลสูงเช่นกัน รวมถึงกองทุนรีทที่ให้ยิลด์สม่ำเสมอเฉลี่ย 6-8% ต่อปี

“ดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่โตในระดับต่ำ แต่หากมองย้อนไปเทียบกับโควิดแล้วดัชนีหุ้นไทยกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวแตกต่างกันเยอะ ซึ่งหุ้นไทยยังมีกลุ่มที่น่าสนใจแต่คนส่วนใหญ่โฟกัสที่ดัชนี แต่หากดูย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2020 จะพบว่าถึงแม้จะลงทุนในหุ้นไทยแล้วขาดทุนประมาณ 14% แต่หากลงทุนในหุ้นปันผลสูงกลับมีผลตอบแทนสูงถึง 17.65% เลยทีเดียว” นายวินกล่าว

ส่วนประเด็นการเปิดกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน 2 (Thai ESG 2) เชื่อว่าน่าจะช่วยชะลอการขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอีกกว่า 1.6 แสนล้านบาทได้แต่คงจะต้องติดตามรายละเอียดทั้งหมดก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น