โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
ตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคม 2025 กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามอง โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
ในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจของเขายังคงเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ
ความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าและการควบคุมผู้อพยพ อาจกระทบต่อความสมดุลทางเศรษฐกิจและเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ จะยังแข็งแกร่ง ทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตร และดัชนี ISM ภาคบริการที่ดีกว่าคาดการณ์ แต่ความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายยังคงมีอยู่ รวมถึงการประชุม FED ในวันที่ 28-29 มกราคมนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 50 bps ในปีนี้ แต่ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งและความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อาจทำให้การลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นน้อยลงและล่าช้ากว่าที่เคยคาดไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาต้นทุนการเงินต่ำ เช่น อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน
สำหรับตลาดหุ้นไทย การประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2024 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิรวม 2.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่มาจากฐานกำไรที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ยังไม่สะท้อนถึงการฟื้นตัวในเชิงโครงสร้างของตลาดเนื่องจาก SET Index เริ่มต้นปี 2025 ได้ไม่สดใสนัก โดยปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม และหลุดระดับ 1,350 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 5 เดือน แม้จะมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นจากภาวะ Oversold แต่ยังต้องจับตาดูว่า SET Index จะสามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1,370 จุดได้หรือไม่
เทศกาลตรุษจีนในวันที่ 29 มกราคมนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับตลาดหุ้นไทย จากข้อมูลเชิงสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SET Index มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 0.6-0.9% ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนเทศกาล เนื่องจากความคาดหวังต่อหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการ E-Receipt และการแจกเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุในวันที่ 27 มกราคม นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติมักชะลอการลงทุนในช่วงหยุดยาว ทำให้นักลงทุนภายในประเทศมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในช่วงนี้
แม้ตลาดการเงินในช่วงนี้จะเผชิญกับความผันผวนจากหลายปัจจัย แต่การจับตาพัฒนาการนโยบายสหรัฐฯ และการประชุม FED จะเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยควรใช้กลยุทธ์ "Wait & See” เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมก่อนลงทุน ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงควรใช้กลยุทธ์ "Selective Buy" โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม หุ้นปันผลสูง และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน