บลจ.วรรณเพิ่มโอกาสพัฒนาธุรกิจ Startup ตั้งแต่ช่วง Seed ถึง Pre-series A ทั้งในไทยและอาเซียน ในรูปแบบกองทุนรวม ผ่านกองทุน ONE-FINEPE-UI ซึ่งลงทุนใน Finno Efra Private Equity Trust ที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ Startup และเน้นกลุ่มธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่าง Impact และ Digital Transformation พร้อมเปิดเสนอขายครั้งแรก 11-28 พ.ย.นี้
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า ในฐานะนักลงทุนสถาบัน บริษัทเล็งเห็นโอกาสการพัฒนา Tech Environment ในไทยให้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสการสร้างศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจในประเทศ และสามารถเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนไทยได้ในอนาคต จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกันระหว่าง บลจ.วรรณ พร้อมด้วย บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ บริษัท อี-ฟราสทรัคเชอร์ จำกัด ในรูปแบบการระดมทุนผ่านกองทุนรวมที่มีชื่อว่า กองทุนเปิด วรรณ ฟินโน อีฟรา ไพเวทอิควิตี้ (ONE-FINEPE-UI) มีนโยบายลงทุนใน Finno Efra Private Equity Trust ซึ่งเป็นกองทรัสต์ Private Equity (หุ้นนอกตลาด) โดยลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท อายุกองประมาณ 10 ปี* ลงทุนได้เฉพาะช่วง IPO ระหว่างวันที่ 11-28 พ.ย.นี้เท่านั้น
“ONE-FINEPE-UI ถือเป็นกองทุน Accelerator Fund กองแรกของประเทศไทยซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของ Finno Efra Private Equity Trust ที่มี Accelerator Program เพื่อเน้นพัฒนาและติดสปีดให้ธุรกิจ Startup ที่เข้าโครงการให้เกิดศักยภาพสูงสุดและเพิ่มโอกาสสร้างความสำเร็จ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวจะมุ่งเน้นให้ความรู้แก่ทีมผู้บริหาร Startup ผ่านประสบการณ์จาก Mentor, Trainer และ Coach มากความสามารถ โดยโปรแกรมได้ถูกพัฒนาและออกแบบโดย บริษัท กรุงศรีฟินโนเวต จำกัด และ บริษัทอี-ฟราสทรัคเซอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในธุรกิจ Startup ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จด้านธุรกิจ Startup และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและทางเลือกการลงทุนให้นักลงทุนไทย อย่างไรก็ดี ONE-FINEPE-UI เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจ Startup ช่วง Seed ถึง Pre-series A หรือ Early Stage ดังนั้นกองทุนนี้มีความเสี่ยงสูง 8+ จึงจะเปิดเสนอขายแก่นักลงทุนรายใหญ่พิเศษและสถาบันเท่านั้น” นายพจน์กล่าว
สำหรับ Finno Efra Private Equity Trust เป็นกองทรัสต์ขนาดประมาณ 1,300 ล้านบาท (หรือประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) มุ่งลงทุน Startup ที่อยู่ในช่วง Seed ถึง Pre-series A เป็นหลัก และเน้นลงทุนในกลุ่ม Impact & Digital Transformation เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มศักยภาพและนวัตกรรมการผลิตของอุตสาหกรรม, ธุรกิจเทคโนโลยีการตลาด พัฒนาระบบ AI ช่วยประมวลผลการวิเคราะห์ในข้อมูลการตลาด และการประเมินผล, ธุรกิจเทคโนโลยีฝ่ายบุคคล ส่งเสริมการจัดการแรงงานในตลาด, ธุรกิจเทคโนโลยีการท่องเที่ยว เพิ่มความคล่องตัวและสะดวกสบาย อาทิ การจองตั๋ว วางแผนการเดินทาง, ธุรกิจออนไลน์ E-Commerce ในกลุ่มธุรกิจที่สามารถซื้อ-ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และธุรกิจเทคโนโลยีเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เน้นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยคาดว่ายอดการลงทุนในแต่ละดีลอยู่ที่ราว 8-40 ล้านบาทต่อกิจการโดยประมาณ
นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และในฐานะ Co-Trust Manager, Finno Efra Private Equity Trust เผยว่า "กอง Finno Efra Private Equity Trust นี้จะโฟกัสที่ Startup สัญชาติไทย คิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณราว 60% และที่เหลืออีก 40% จะเลือกลงทุนใน Startup ประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งเราพบว่ามี Startup ที่มีความมั่นใจ และเก่งๆ ในไทยจำนวนมาก เพียงแต่ยังไม่ได้รับโอกาสจากนักลงทุน กองทรัสต์นี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีต่อ Startup ที่จะได้ทั้งเงินทุน ความรู้ และคอนเนกชันต่างๆ ด้วย โดยปัจจุบันเราพบว่า Startup ส่วนใหญ่ต้องการขยายกิจการ แต่ไม่ได้ต้องการเงินทุนเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก เนื่องจากมีพื้นฐานสำคัญที่ดีเป็นทุนอยู่แล้ว คือ ผลิตภัณฑ์หรือโซลูชัน ดังนั้นมีโอกาสที่จะเดินหน้าต่อไปได้ไม่ยากนัก และ Startup ที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะและเป็นที่ต้องการของตลาด นอกจากกองทรัสต์นี้จะดีต่อ Startup แล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้น โดยคาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดอาจจะอยู่ที่ประมาณ 25% ต่อปี และยังได้เข้ามาอยู่ใน Startup Ecosystem ได้พบกับ Startup มากขึ้น คล้ายกับการได้ซื้อ Golden Ticket ที่สามารถช่วยให้เห็นสตาร์ทอัพมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่เพียง Startup ในประเทศไทยอย่างเดียว แต่รวมถึงในอาเซียนด้วย
ขณะที่ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อี-ฟราสทรัคเซอร์ จำกัด และในฐานะ Co-Trust Manager, Finno Efra Private Equity Trust กล่าวเสริมว่า "ช่วงนี้เป็นเวลาที่ดีและเหมาะสมสำหรับการลงทุนใน Tech Startup มากที่สุด จากประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมา ผมเห็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ถึง 10 เท่า ซึ่งเติบโตเร็วกว่า SME มาก ตอนนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสดีในการลงทุน เพราะ Startup ได้มีการปรับตัวหลังจากยุคโควิดที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้นักลงทุนรายใหญ่พิเศษถ้าสนใจลงทุนในกองทุน ONE-FINEPE-UI สามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 11-28 พฤศจิกายน 2567 เชื่อว่านี่จะเป็นมิติใหม่แห่งการลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะเวลาที่ไม่ต้องรอนานเหมือนสมัยก่อน และสามารถที่จะได้ผลตอบแทนกลับไป และยังเป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยมี Startup ที่แข็งแรงและพร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มประเทศขึ้นไปได้ อันนี้เป็นเป้าหมายของกองทุนนี้"
นายกฯ เดินทางถึงสหรัฐฯ แล้ว พร้อมประชุมมอบนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลแก่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคอเมริกา ก่อนพบปะชุมชนคนไทยที่วัดไทยลอสแองเจลิส
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 67 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาแล้ว เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ 10-18 พฤศจิกายน 2567
โดยกำหนดการในวันนี้ เวลา 10.00- 11.30 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคอเมริกา เพื่อนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลแก่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคอเมริกา รับฟังสถานะความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาค ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้น14.00-15.00 น. นางสาวแพทองธารจะพบปะชุมชนไทยในนครลอสแองเจลิส ที่วัดไทยลอสแองเจลิส
ก่อนที่เวลา 18.00 น.เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ โดยเอกอัครราชทูต ที่กรุงวอชิงตันเป็นเจ้าภาพ (ทั้งนี้เวลาที่นครลอสแองเจลิสช้ากว่ากรุงเทพฯ 14 ชั่วโมง)