นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยจัดตั้งกองทุนใหม่ชื่อว่า กองทุนเปิดเค พรีเมียมอินคัมหุ้นโลก UH หรือ K-GPINUH ที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก JPMorgan ETFs (Ireland) ICAV - Global Equity Premium Income Active UCITS ETF มุ่งหาโอกาสสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากเงินปันผล และค่าพรีเมียม (Premium) จากการขายสัญญาสิทธิ หรือออปชัน (Options) โดยเปิดขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 20-27 สิงหาคม 2567
นายวจนะกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-GPINUH มีให้ผู้ลงทุนเลือกได้ 2 แบบ ได้แก่ 1) K-GPINUH-A(A) แบบสะสมมูลค่า เสริมพอร์ตเติบโต เน้นสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว และ 2) K-GPINUH-A(R) แบบรับซื้อคืนอัตโนมัติ เน้นสร้างโอกาสรับผลตอบแทนรายเดือน โดยกองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติสูงสุดไม่เกิน 12 ครั้ง/ปี ทั้งนี้ ความน่าสนใจของกองทุน K-GPINUH อยู่ที่การกระจายลงทุนในหุ้นหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในภาพรวมได้ต่ำกว่าดัชนีหุ้นโลก (MSCI World Index) ประกอบกับการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มของรายได้จากการขาย Options ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการถือครองหุ้นเพียงอย่างเดียว สำหรับตัวอย่างหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตของกองทุน K-GPINUH จะเป็นหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในแต่ละหมวดอุตสาหกรรมและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เช่น T-Mobile US บริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ, UnitedHealth ผู้ให้บริการด้านดูแลสุขภาพแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก, Microsoft ผู้นำระบบ Cloud Computing ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, Coca-Cola ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและน้ำอัดลมชื่อดังของโลกภายใต้แบรนด์ Coca-Cola, Fanta และ Sprite รวมถึง Yum! Brand ผู้ดำเนินธุรกิจฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของแบรนด์ KFC และ Pizza Hut เป็นต้น(ข้อมูล ณ พ.ค. 2567, J.P. Morgan Asset Management)
“ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตของกองทุน K-GPINUH อยู่ค่อนข้างมาก ยังมีความน่าสนใจต่อการเข้าลงทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งด้านเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ดี ในขณะที่เงินเฟ้อกำลังปรับตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มทำกำไรและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นกลุ่มสุขภาพ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การกระจายลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงเป็นการช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยเข้ามากระทบตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้นได้บ้างจากนโยบายหาเสียงในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” นายวจนะกล่าว