บลจ.เอ็มเอฟซี จ่อออกกองทุนลุย Spot Bitcoin ETF เกาะกระแสโลกดิจิทัล-AI เชื่อมีโอกาสทำกำไรราคาปรับสูงกว่า 7 หมื่นดอลลาร์ต่อ1บิทคอยน์ เหตุซัพพลายจำกัด ดีมานด์นักลงทุนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนถ่ายทรัพย์สิน แนะจัดพอร์ตลงทุนเริ่มต้นไม่เกิน 5% เชื่อตอบโจทย์เพิ่มทางเลือกนักลงทุนในการจัดพอร์ต กับสินทรัพย์อนาคต สะดวก ปลอดภัยสูง และหมดกังวลเรื่องภาษี ต่างจากการลงทุนตรง
นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ตำแหน่ง Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างขออนุมัติกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุใน สินทรัพย์ดิจิทัลหรือบิทคอยน์กับทางสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) ซึ่งจะเป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุน Spot Bitcoin ETF ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจให้แก่นักลงทุนที่ต้องการมีสัดส่วนการลงทุนทางเลือกในสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าสนใจในปัจจุบัน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในบิทคอยน์บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตจากปัจจัยหลัก 3 ด้านด้วยกันคือ 1.ธรรมชาติของบิทคอยน์ที่มีซัพพลายจำกัดแค่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันจะถูกขุดไปแล้วประมาณ 19 ล้านเหรียญแต่กว่าจะขุดครบทั้งหมดจะต้องใช้เวลาอีกว่า 100 ปีถึงปี 20140 ถึงจะสามารถขุดได้ครบทั้งหมด 2.การเปลี่ยนผ่านทรัพย์สินไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันความมั่งคั่งจะอยู่ในส่วนของกลุ่มผู้สูงวัยและวัยทำงานใกล้เกษียณแต่ในอนาคตจะถูกเปลี่ยนโอนไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งเรื่องของรายได้และทรัพย์สินทำให้เป็นปัจจัยหนุนให้ราคาบิทคอยน์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และสุดท้ายคือการที่บิทคอยน์เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น
“ทั้ง3ปัจจัยมันซัพพอร์ตให้บิทคอย์มีโอกาสปรับขึ้นได้จากปัจจุบัน 7 หมื่นดอลลาร์ต่อ1บิทคอยน์เพราะเมื่อสินทรัพย์เป็นที่ยอมรับและมีซัพพลายจำกัด แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนถ่ายทรัพย์สินก็น่าจะทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้โอกาสในการลงทุนในบิทคอยน์จะสังเกตได้ว่าทุกอย่างมันเป็นดิจิทัลหมดและบิทคอยน์ก็ถูกพัฒนามาควบคู่กันเมื่อมาถึงยุคAI และดิจิทัล เพื่อรองรับในอีก 10-20 ปีข้างหน้า โดยถ้าเทียบกับสินทรัพย์ทั้งโลกจะอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านล้านดอลลาร์ แต่บิทคอยน์ยังมีมูลค่าอยู่แค่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 0.2-0.3% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมากทำให้บิทคอยน์ยังมีโอกาสในการลงทุนอยู่อีกค่อนข้างมาก”นายเชาวน์กร
ส่วนข้อดีในการลงทุนผ่านกองทุนคือ 1.นักลงทุนจะไม่ต้องกังวลในเรื่องของภาษี ซึ่งปัจจุบันจะต้องเสียภาษียิ่งถ้าบุคคลที่มีฐานภาษีสูงอยู่แล้วจะทำให้อัตราการคำนวณภาษีสูงขึ้นไปอีก 2.ความสะดวกในการซื้อขาย3.ความปลอดภัย โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการสูญหาย และถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ โดยทางกองทุนหลักที่ลงทุนมีระบบการจัดเก็บและการดูแลที่ปลอดภัยมากกว่า และกองทุนประเภทนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนระยะยาวหน่อยแตกต่างจากการลงทุนตรงที่อาจจะต้องการซื้อ-ขายการซื้อขายระหว่างวัน
นายเชาวน์กร กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนบิทคอยน์มีอัพไซด์อยู่แต่ระหว่างทางยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งนักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งหากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยบริษัทแนะนำพอร์ตการลงทุนจากสินทรัพย์ทางเลือกที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ประมาณ 1-3% ของพอร์ตการลงทุนรวมก่อน ขณะที่นักลงทุนที่เริ่มรับความเสี่ยงได้บ้างก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมาอยู่ที่ประมาณ 3-5% ได้ โดยต่อจากนี้บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือกให้แก่นักลงทุนเพิ่มเติมอีกอาทิ การลงทุนในหุ้นนอกตลาด และการลงทุนให้กู้ยืมตรงกับบริษัทขนาดใหญ่(Private Credit)เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีความเสี่ยงสูง เบื้องต้นบริษัทจะทำการเปิดขายให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ที่มีประสบการณ์และความเสี่ยงในการรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ก่อน และอาจมีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน